16 ก.ค. 2020 เวลา 09:54 • กีฬา
เกิดอะไรขึ้นกับเลสเตอร์ ซิตี้ "จิ้งจอกสยาม" ทีมนี้ ดูเหมือนจะการันตีการไปแชมเปี้ยนส์ลีกแน่ๆ ในช่วงแรก แต่ก็แผ่วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายกำลังจะหลุดท็อปโฟร์ ปัญหาของพวกเขาคืออะไร และจะแก้ไขทันหรือไม่ วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
ถ้าย้อนกลับไปดูครึ่งซีซั่นแรก เราไม่คิดฝันแน่ๆ ว่าเลสเตอร์ จะมาอยู่จุดนี้ได้
เกมที่ 9 ของฤดูกาล เมื่อเลสเตอร์ เอาชนะเบิร์นลีย์ ได้ 2-1 ในบ้านตัวเอง พวกเขาขึ้นไปอยู่อันดับ 3 ของพรีเมียร์ลีก และจากวันนั้นมา เลสเตอร์เล่นได้อย่างแข็งแกร่ง และไม่เคยอันดับหล่นลงมาต่ำกว่าที่ 3 อีกเลย
ระหว่าง fixture เกมที่ 9 ถึงเกมที่ 16 เลสเตอร์ชนะรวด 8 นัดติดต่อกัน ทำสถิติ 100% นี่เป็นผลงานที่น่าทึ่งมาก
มีบางช่วง พวกเขาไล่บี้ลิเวอร์พูลจ่าฝูงอย่างน่าเร้าใจ แม้จุดหนึ่ง พวกเขาจะหล่นจากรองจ่าฝูง โดนแมนฯซิตี้ แซงขึ้นไปแทน แต่เลสเตอร์ ก็ยังประคองตัวยึดอันดับ 3 ได้มาตลอด และน่าจะการันตีพื้นที่ ท็อปโฟร์ ไปแชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นหน้าได้ไม่ยาก
ส่วนอันดับ 4 ก็ปล่อยให้ เชลซี แมนฯยูไนเต็ด วูล์ฟส์ อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส ขับเคี่ยวกันไป ดูเหมือนเลสเตอร์จะลอยตัวมากๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือ นับตั้งแต่วันที่ 11 มกราคมเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน เลสเตอร์ลงเล่นมาแล้วทั้งหมด 13 เกม พวกเขาชนะคู่แข่งได้แค่ 3 เกมเท่านั้น เลสเตอร์ที่เคยแข็งแกร่งสามารถแพ้ได้ทุกทีม อย่างไม่มีเหตุผลอธิบายได้
ในครึ่งฤดูกาลแรก พวกเขาชนะเซาธ์แฮมป์ตัน 9-0 ที่เซนต์แมรีส์ แต่พอเจอกันอีกครั้งในครึ่งฤดูกาลหลัง เลสเตอร์แพ้คาบ้าน 1-2 การเจอกับทีมตกชั้นที่ใครๆก็ชนะอย่างนอริช แต่เลสเตอร์กล้าๆจะแพ้ด้วยสกอร์ 1-0
หลังจากเบรกช่วงโควิด-19 เลสเตอร์ได้หายใจหายคอโล่งหน่อย นักเตะในทีมมีเวลามาสงบสติ เพื่อรวมใจคัมแบ็กกลับมาให้ได้ แต่สิ่งที่เห็นคือ พอฟุตบอลคัมแบ็ก เลสเตอร์ไม่ได้เล่นดีขึ้นเลย
5 เกมในช่วง โควิด พวกเขาชนะ 1 เสมอ 3 แพ้ 1 โดยเกมที่ควรชนะมากๆอย่างเช่น ไปเยือนวัตฟอร์ด ทีมหนีตาย ซึ่งพวกเขานำ 1-0 นาที 90 แต่ยังอุตส่าห์มาโดนตีเสมอนาที 90+3
หรือเกมที่เล่นในบ้านเจอไบรท์ตัน อีกทีมหนีตายเช่นกัน กลับเสมอ 0-0 แบบทำอะไรไม่ได้เลย
หลังจากเสมออาร์เซน่อลแบบหืดจับ 1-1 เมื่อคืนนี้ อันดับของเลสเตอร์ "ร่วง" มาอยู่อันดับ 4 เป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน อันดับ 3 ที่เคยมั่นคงมาตลอด ในที่สุดก็โดนเชลซีแซงหน้าขึ้นไปได้แล้ว และ ณ เวลานี้ แต้มของพวกเขา "เท่า" กับแมนฯยูไนเต็ด อันดับ 5 ของตารางเป๊ะ ห่างแค่ลูกได้เสียเท่านั้น
การที่แมนฯซิตี้ชนะคดี หรืออุทธรณ์ผ่าน โควต้าไปชปล.ของพรีเมียร์ลีกก็จะกลับมาเป็น 4 ทีมเหมือนเดิม แปลว่าถ้าเลสเตอร์ร่วงไปอยู่ที่ 5 แปลว่าพวกเขาก็จะ "พลาด" การไปเล่นยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นหน้า
คำถามคือมันเกิดอะไรขึ้นกับเลสเตอร์ ซิตี้กันแน่ จากทีมที่แข็งแกร่งสุดยอด เคยเบียดลุ้นแชมป์เบาๆ ในช่วงหนึ่งมาแล้ว กลับกลายมาออกทะเลแบบกู่ไม่กลับแบบนี้ เราจะลองไปวิเคราะห์กันทีละสเต็ป
[ เปิดฤดูกาล ทีมอื่นยังตั้งตัวไม่ติด ]
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของเลสเตอร์ อย่างแรกคือผู้จัดการทีม โคล้ด ปูแอล โดนไล่ออกซีซั่นก่อน แล้วเบรนแดน ร็อดเจอร์ส เข้ามาเสียบแทน ปลายๆฤดูกาล จากนั้นเขาได้เริ่มออกสตาร์ตฤดูกาลเต็มๆ ในซีซั่น 2019-20
ทีเด็ดของเลสเตอร์ในอดีตคือ ทีมที่เน้นเกมโต้กลับเร็ว ใช้กองหลังวางบอลยาวให้กองหน้าอย่างเจมี่ วาร์ดี้สปรินท์ตัวไปยิง แต่เมื่อเข้าสู่ยุคของร็อดเจอร์ส ทรงบอลเปลี่ยนไป กลายเป็นทีมที่ครองบอลนานขึ้น เน้นการต่อบอลสั้นมากขึ้น
ปีที่เลสเตอร์เป็นแชมป์ลีก ค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์การครองบอลแต่ละเกมอยู่ที่ราวๆ 30% คือเน้นเกมโต้กลับเป็นหลัก ไม่ต้องเล่นเยอะจังหวะ แต่เมื่อเป็นร็อดเจอร์ส เขาโฟกัสที่การครองเกมให้นานที่สุด เหมือนที่ทำมาตลอดทั้งกับ สวอนซี ลิเวอร์พูล และเซลติก
วิธีการเล่นใหม่ๆ มันทำให้คู่แข่งตั้งตัวไม่ติด ใครจะไปคิดว่าคนอย่างเจมี่ วาร์ดี้ ที่วิ่งหาย วิ่งหาย จะถอยต่ำลงมาเชื่อมเกมด้วย บางนัดก็เล่นเหมือน False 9 ด้วยซ้ำไป ซึ่งในช่วงแรกคู่แข่งยังรับมือกับสไตล์ใหม่ๆไม่ได้ เผลอไปบีบ ไปเพรส เพื่อแย่งบอลมาให้เร็ว สุดท้ายก็โดนเลสเตอร์จ่ายบอลทะลวงช่องจนเสียประตู
นอกจากนั้น กลุ่มผู้เล่นใหม่ๆ ก็ทำผลงานได้ดีมาก ตอนเสียแฮร์รี่ แม็กไกวร์ไปในราคา 80 ล้าน ใครๆก็คิดว่ากองหลังรั่วแน่ แต่เลสเตอร์ก็มีคักลาร์ โซยุนซู เข้ามาอุดรอยรั่ว ซึ่งกองหน้าคู่แข่ง ไม่เคยเห็นฝีเท้าโซยุนซูมาก่อน ก็มีความประมาท จนสุดท้ายก็โดนโซยุนซูเก็บกินหมด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ คู่แข่งก็เริ่ม "รู้จัก" สไตล์การเล่นของร็อดเจอร์ส และ รู้จักตัวผู้เล่นใหม่ๆของเลสเตอร์ ดังนั้นจึงรับมือได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ
ตัวอย่างเช่น เกมที่เลสเตอร์ เสมอไบรท์ตัน 0-0 ไบรท์ตันรู้แล้วนี่ว่าเลสเตอร์เคาะบอลไปมา คือพยายามรอให้คู่แข่งพลาดเอง ดังนั้นไบรท์ตันก็ยืนเฉยๆในกรอบเขตโทษ ไม่ไล่ ไม่เพรส อยากเคาะบอลก็เคาะไป สุดท้ายเลสเตอร์เกมนั้นครองบอลได้ 66.4% แต่โอกาสยิงเข้ากรอบแค่ 2 ครั้ง และเสมอกันไป 0-0
ขณะที่นักเตะในทีมก็โดนจับทางได้ โซยุนซุ เล่นบอลบนพื้นดี แต่มีส่วนสูงแค่ 186 ซม. ซึ่งนับว่าน้อยสำหรับเซ็นเตอร์แบ็กในอังกฤษ คู่แข่งก็ใช้การเปิดบอลด้านข้างเข้ามากดดัน หรือเบน ชิลล์เวลล์ ที่เปิดบอลแม่น แอสซิสต์กระจาย ก็โดนประกบติดแน่นไม่ให้ขยับมาช่วยเกมรุกได้
แผนของร็อดเจอร์สไม่มีอะไรใหม่ จากนั้นก็จับทางนักเตะได้ ไม่แปลกที่การรับมือกับเลสเตอร์ของแต่ละทีมจะทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
[ วาร์ดี้ หมดพลัง ]
ต่อให้เลสเตอร์ มีกองหน้าในทีมเยอะแค่ไหน แต่คนที่เป็นแกนหลักอันดับ 1 ยังไงก็ต้องเป็นเจมี่ วาร์ดี้ เขาคือหัวใจของทีมเสมอมา
16 เกมแรกในฤดูกาลนี้ วาร์ดี้สร้างโอกาสยิงได้ 41 ครั้ง เปลี่ยนเป็นประตูได้ 16 ลูก เขามี Conversion rate (เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนจังหวะยิงให้เป็นสกอร์) อยู่ที่ 39% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เฉียบขาดมาก คิดง่ายๆคือโอกาสยิง 5 ที เปลี่ยนเป็น 2 ลูก คือเรียกได้ว่าคมกริบ
แต่หลังจากผ่าน 16 เกมแรก วาร์ดี้ก็ฟอร์มดร็อปลง ความคมหายไป คือตั้งแต่เข้าสู่ปีใหม่ค่า Conversion Rate ลดเหลือ 14% ผลิตสกอร์แทบไม่ได้เลย จนเพิ่งมาคืนฟอร์มได้ในเกมกับคริสตัล พาเลซเมื่อนัดก่อนหน้านี้ แล้วก็ยิงต่อเนื่องในเกมกับอาร์เซน่อลได้อีกหนึ่งลูก
สำหรับทีมอื่น ยังมีความหลากหลายในการเข้าทำ อย่างแมนฯยูไนเต็ด แรชฟอร์ดยิงไม่ได้ ยังมีมาร์กซียาล ถ้ายิงไม่ได้ทั้งสองคนก็มีเมสัน กรีนวู้ด ที่สอดแทรกมายิงได้ แต่เลสเตอร์ไม่มีคนแทนเลย
วาร์ดี้ยิงได้ 22 ลูกในพรีเมียร์ลีก ส่วนกองหน้าคนอื่นล่ะ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ยิงได้ 5, อโยเซ่ เปเรซยิงได้ 7 แม้แต่เจมส์ แมดดิสันที่เล่นมิดฟิลด์ตัวรุกก็ยิงได้แค่ 6 ทั้งสามคนรวมกันยังยิงไม่เท่าวาร์ดี้คนเดียวเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อทีมที่มีคีย์แมนในตำแหน่งกองหน้าแค่คนเดียว วันไหนวาร์ดี้เล่นไม่ออก ทีมก็ลำบากตามไปด้วย
เกมพรีเมียร์ลีกเป็นสงครามระยะยาว ถ้าคุณไม่ใช่เมสซี่ หรือโรนัลโด้ มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะเล่นท็อปฟอร์มไปทั้งซีซั่น มันก็ต้องมีวันแผ่ว วันเงียบ ซึ่งถ้าทีมที่ไม่มีอะไหล่ดีพอ ก็จะเจอปัญหาแบบที่เลสเตอร์เผชิญในตอนนี้
[ ความมั่นใจจมดิ่ง ]
มีการวิเคราะห์กันว่า จากที่เล่นร้อนแรงอยู่ดีๆ กลับมาออกทะเลได้ในพริบตา สาเหตุหนึ่งที่เกี่ยวแน่ๆคือความมั่นใจ เพราะถ้าคนเราขาดความมั่นใจแล้ว โอกาสจะชนะการแข่งขันอะไรก็ทำได้ยาก
หลังจากเลสเตอร์ชนะ 8 นัดรวด พวกเขามาสะดุดแบบงงๆ เมื่อเสมอบ๊วยนอริช 1-1 ในบ้านตัวเอง ซึ่งเกมนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่อีกสองนัดต่อมา เลสเตอร์เจอบททดสอบสำคัญคือ ต้องไปเยือนแมนฯซิตี้ ตามด้วยเปิดบ้านเจอลิเวอร์พูล
เกมเจอแมนฯซิตี้ เลสเตอร์นำก่อนก็จริง แต่ไม่สามารถยืนระยะได้ แพ้ไป 3-1 ความแตกต่างคือ "คุณภาพ" ของนักเตะ สุดท้ายเลสเตอร์ก็รู้ว่าตัวเองยังมีช่องว่างห่างจากแมนฯซิตี้มาก
จากนั้นในเกมต่อมา เจอลิเวอร์พูลที่เพิ่งกลับมาจากการคว้าแชมป์ฟีฟ่าคลับเวิลด์ ทีมหงส์แดงเดินทางมาไกลจากกาตาร์ แถมต้องเล่นกับฟลาเมงโก้ 120 นาทีเต็ม ดูยังไงเลสเตอร์ก็ได้เปรียบกว่าเยอะเรื่องความสด แต่ผลลัพธ์คือ เลสเตอร์แพ้เละเทะ 4-0 แบบสู้กันไม่ได้เลย
การที่แพ้แมนฯซิตี้ กับลิเวอร์พูล สองเกมติดกัน ในทรงเกมที่เป็นรองคนละเรื่อง ทำให้ความมั่นใจของนักเตะหดหาย พวกเขาอาจมีช่วงที่เคยคิดว่าตัวเองดีพอจะลุ้นแชมป์ แต่เมื่อมาเจอความโหดของสองทีมเต็ง จึงได้เข้าใจว่า ตัวเองยังห่างไกลแค่ไหน
และพอแพ้สองเกมนี้เอง มันก็เลยกลายเป็นจุดเสื่อมถอยของเลสเตอร์ ในช่วงปีใหม่ในที่สุด
[ ครึ่งซีซั่นแรก มีดวงช่วยหลายช็อต ]
เลสเตอร์มากับดวงอย่างแท้จริงในครึ่งซีซั่นแรก บางเกมที่ควรเสมอกลับชนะ ตัวอย่างเช่นเกมชนะสเปอร์ส 2-1
เกมนั้นสเปอร์สนำ 1-0 และมายิงอีกเม็ดได้จากแซร์ช โอริเย่ร์ แต่ว่ากรรมการหยิบ VAR มาดู และตัดสินว่าซน ฮึง-มินล้ำหน้าในจังหวะก่อนนั้นหลายวินาที ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดู VAR จริงๆ มันดูแทบไม่ออกเลยว่าซน ฮึง-มิน ล้ำหน้าจริงหรือเปล่า มันไม่เคลียร์และมองได้ทั้ง 2 แบบ ซึ่งพอเลสเตอร์ไม่เสียลูกสอง กลายเป็นพลังใจให้คัมแบ็กกลับมา และชนะไปได้ 2-1 คือลองคิดว่าถ้าโดนเม็ดสอง เกมอาจจะจบไปแล้ว
เกมชนะนิวคาสเซิล 5-0 เกมตื้อๆอยู่ดีๆ ไอแซ็ค เฮย์เด้นของทีมเยือนก็พุ่งหลาวเสียบใส่เดนนิส ปราเอต์ โดนใบแดงไล่ออกไปเลย จนเลสเตอร์ที่มีตัวมากกว่าก็ไล่ยิงจนเละ หรือเกมที่ชนะเซาธ์แฮมป์ตัน 9-0 ไรอัน เบอร์ทรานด์ไปเสียบอลแล้วพยายามแย่งคืน แต่ไปสกัดผิดจังหวะจนโดนใบแดงนาที 12 ซึ่งพอเหลือสิบคน สกอร์เลยไหลแล้วจบที่ 9 ลูก
แน่นอน เลสเตอร์มีฝีมือ แต่พวกเขามีจังหวะแบบนี้ที่เป็นใจบ่อยๆในช่วงต้นฤดูกาล ซึ่งพอเข้าครึ่งฤดูกาลหลัง ดวงตรงนี้ก็ไม่มีอีก จังหวะ VAR แบบก้ำกึ่งๆ ก็เสียประโยชน์ตลอด ในเกมแพ้แมนฯซิตี้ 1-0 เลสเตอร์โดนสกัดในเขตโทษ 2 ครั้ง แต่กรรมการไม่ยอมใช้ VAR ส่วนวาร์ดี้หลุดเดี่ยวไปก็ยิงชนเสาอีก อะไรๆก็ไม่เป็นใจ สุดท้ายในครึ่งหลัง กรรมการมาดู VAR แล้วให้จุดโทษกับแมนฯซิตี้ ในจังหวะที่เดนนิส ปราเอต์ทำแฮนด์บอล
โชคชะตาเหมือนกลั่นแกล้ง เลสเตอร์ตอนนี้อะไรๆก็ไม่เป็นใจไปหมด
[ SQUAD เล็กเกินไป ]
ด้วยแผนการเล่นของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่เน้น Possession Game แปลว่า นักเตะต้องใช้พลังเยอะมาก ลองนึกภาพตาม บาร์ซ่ายุคติกี้-ตาก้า ผู้เล่นต้องเคลื่อนที่เสมอ เพื่อไปรอรับบอลจากเพื่อน จุดประสงค์คือสร้างเปอร์เซ็นต์การครองบอลให้เยอะที่สุด ซึ่งมันตรงกันข้ามกับแผนรับแล้วรอโต้ที่เลสเตอร์เคยถนัด
แผนรับแล้วรอโต้ ในยุคเคลาดิโอ รานิเอรี่ นักเตะจะไม่ต้องเคลื่อนที่เยอะ บรรดาตัวรุกจะเก็บกำลังขาเอาไว้ รอจังหวะที่กองหลังตัดบอลได้แล้วสาดบอลยาว จากนั้นก็สปีดเต็มที่เพื่อควบไปเอาบอลให้ได้ แต่เมื่อมาเปลี่ยนเป็นสไตล์ร็อดเจอร์ส ตัวรุกทุกคนต้องใช้แรงเยอะขึ้นกว่าปกติ
ขนาดทีมของเลสเตอร์นั้น เล็กกว่าทีมใหญ่ทีมอื่น ระดับของ 11 ตัวจริง นั้นต่างจาก 11 ตัวสำรองพอสมควร ซึ่งลองเทียบกับแมนฯซิตี้ ถ้ากุน อเกวโร่ไม่ลงก็มีกาเบรียล เชซุส ถ้าราฮีม สเตอร์ลิ่งไม่ลง ก็มีริยาด มาห์เรซ คือมันทดแทนกันได้ตลอด ดังนั้นต่อให้แมนฯซิตี้ของเป๊ป จะใช้พลังเยอะในแต่ละเกม แต่ก็มีตัวพร้อมโรเทชั่นได้ทุกเวลา
การเล่นปกติก็ว่าเหนื่อยแล้ว ยิ่งถ้าหากมีนักเตะเจ็บอีกยิ่งหาคนทดแทนยาก เลสเตอร์ ณ เวลานี้ พวกเขาไม่มีแบ็กขวาตัวหลักริคาร์โด้ เปเรยร่า ก็ต้องไปหาคนอื่นมาแทน ล่าสุดใช้เจมส์ จัสติน มาลงเล่น ซึ่งก็เห็นชัดเลยว่าคุณภาพต่างกันชัดเจน
ถ้าหากใน 4 เกมที่เหลือ เลสเตอร์ประคองตัวไปแชมเปี้ยนส์ลีกได้ พวกเขาต้องตระหนักแล้วว่า ขุมกำลังที่มีอยู่ ณ เวลานี้ มันไม่พอจริงๆที่จะยืนระยะได้ไปจนจบซีซั่น
[ สบายใจเกินไปในตำแหน่งท็อปโฟร์ ]
ด้วยความที่แต้มของเลสเตอร์ กับพวกเชลซี, แมนฯยูไนเต็ด, สเปอร์ส ห่างกันเยอะมากในช่วงครึ่งซีซั่นแรก ทำให้สื่ออังกฤษมองว่าเลสเตอร์ยังไงก็ไม่พลาดไปแชมเปี้ยนส์ลีกแน่ๆ
ในขณะที่ทีมอื่นวางแผนใหม่ๆ เพื่อหาทีมที่ลงตัวที่สุด แต่เลสเตอร์นิ่งนอนใจเกินไป สื่อท้องถิ่นเลสเตอร์เมอร์คิวรี่วิจารณ์ว่า "นับตั้งแต่วีกที่ 3 ของฤดูกาล เลสเตอร์อยู่ท็อปโฟร์มาตลอด แม้จะไม่ชนะติดๆกันหลายนัด ก็ยังอยู่ท็อปโฟร์ นั่นทำให้พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่าทีมอื่นทำแต้มไล่จี้ขึ้นมาแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็อาจจะโดนแซงไปแล้วก็ได้"
การทำให้นักเตะในทีมมีไฟ 100% จนจบฤดูกาลเป็นเรื่องไม่ง่าย ซึ่งตรงนี้ เป็นหน้าที่ของผู้จัดการทีม ถ้าเราสังเกตผู้จัดการทีมแถวหน้าในวงการอย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือเจอร์เก้น คล็อปป์ จะมีจิตวิทยาในการทำให้นักเตะโฟกัสกับงานตรงหน้าเสมอ
แต่กับเบรนแดน ร็อดเจอร์ส เขาอาจเก่งเรื่องแท็กติกในสนาม แต่จุดอ่อนที่มักจะโดนวิจารณ์เสมอคือเรื่องจิตวิทยานอกสนาม
ในซีซั่น 2013-14 เขาพาลิเวอร์พูลเป็นจ่าฝูงจนถึงวีกที่ 36 ทีมจ่อจะได้แชมป์อยู่แล้วก็แผ่วปลาย จบได้แค่อันดับ 2 นี่คือตัวอย่างที่เห็นชัดมาก และมาคราวนี้ ทีมก็อยู่ในท็อปโฟร์มายาวนาน แต่ก็ค่อยๆแผ่ว จนจวนจะโดนแซงอยู่แล้ว
ถ้าเป็นกุนซือคนอื่นแบบรานิเอรี่ที่เขี้ยวๆ แฟนบอลอาจมั่นใจกว่านี้ แต่กับร็อดเจอร์ส แฟนๆ ก็ไม่มั่นใจนักว่าเขาจะมีจิตวิทยาดีพอหรือเปล่าในการประคองทีมให้จบท็อปโฟร์ในตอนจบ
[ บทสรุปของจิ้งจอก จะอยู่หรือไป ]
ปัญหารุมเร้าทุกอย่างกับเลสเตอร์เกิดขึ้นพร้อมกัน จนเมาหมัดไปหมด ตอนนี้พวกเขาโดนเชลซีแซงขึ้นอันดับ 3 แล้ว และโดนแมนฯยูไนเต็ดไล่หลังห่างแค่ลูกได้เสียเท่านั้น
ในตอนนี้ พวกเขารวมสติและสู้ต่อในช่วงโค้งสุดท้ายที่กดดันที่สุดในฤดูกาล
เพราะอีก 3 เกมที่เหลือจะเป็นบททดสอบที่แท้จริง ว่าเลสเตอร์ทีมนี้จะดีพอที่จะคว้าโควต้า ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกหรือไม่
อีก 3 เกมที่เหลือของเลสเตอร์ โปรแกรมคือ
นัดที่ 36 เหย้า - เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
นัดที่ 37 เยือน - สเปอร์ส
นัดที่ 38 เหย้า - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
และไม่รู้เหมือนกัน ว่าพระเจ้ามาเขียนสคริปต์ไว้หรือเปล่า เกมสุดท้ายของฤดูกาล เลสเตอร์จะต้องมาวัดกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพอดี ซึ่งถ้าช่องว่างของทั้ง 2 ทีม ห่างกันไม่เกิน 3 แต้มล่ะก็ มันจะเป็นเกมชี้ตายเลย
ในฤดูกาลที่เรารู้แชมป์แล้ว สิ่งที่น่าลุ้นที่สุดก็คือโควต้าท็อปโฟร์ ซึ่งถ้าทั้งเลสเตอร์ และแมนฯยูไนเต็ด ประคองตัวมาได้ทั้งคู่ บางทีเกมสุดท้ายของซีซั่น เมื่อเลสเตอร์ ปะทะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันอาจเป็นเกมที่มีความหมายที่สุดในฟุตบอลอังกฤษ ฤดูกาลนี้
#Leicester
โฆษณา