22 ก.ค. 2020 เวลา 03:00
ความรุนแรงในห้องฉุกเฉิน ภัยความมั่นคงของสาธารณสุขที่มีแต่จะเพิ่มขึ้น........
จากเหตุการณ์ความรุนแรงของวัยรุ่น 2 กลุ่ม ที่ทำร้ายร่างกายกันภายในโรงพยาบาล ในจังหวัดสมุทรปราการ จนลุกลามบานปลายไปจนถึงทำร้ายร่างกายแพทย์และบุรุษพยาบาล ทำลายข้าวของ ทรัพย์สินของโรงพยาบาล
เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นน่าตกใจและเป็นอุปสรรคส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ พยาบาล และบุคลากร รวมถึงส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง ของบุคลากรทางการแพทย์
ข่าวการเกิดความรุนแรงในโรงพยาบาลเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งๆที่เป็นสถานที่ที่ควรปลอดอาวุธ ปลอดความรุนแรง แม้แต่ในยามสงครามยังต้องละเว้นโรงพยาบาลให้เป็นที่ปลอดภัยที่สุด แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลของรัฐในช่วงที่ผ่านมาดูจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเหตุการณ์ไม่เพียงแต่มีท่าทีจะลดลง แต่กลับความจำนวนเพิ่มขึ้นและมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยสถานการณ์ความรุนแรงในสถานพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ย้อนหลัง 7 ปี ตั้งแต่พ.ศ.2555-2562 รวมเกิดเหตุรุนแรงทั้งสิ้น 64 เหตุการณ์ โดยผลจากความรุนแรงทำให้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 15 ราย ขณะที่ประชาชนก็ได้รับผลกระทบถึงขั้นเสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บ 58 ราย
ทั้งนี้ แยกเหตุการณ์เป็นรายปี จะเห็นได้ว่า 5 ปีหลังสุด เหตุการณ์ความรุนแรงในสถานพยาบาล มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปี 2558 จำนวน 7 เหตุการณ์
ปี 2559 จำนวน 4 เหตุการณ์
ปี 2560 จำนวน 10 เหตุการณ์
ปี 2561 จำนวน 17 เหตุการณ์
ปี 2562 จำนวน 28 เหตุการณ์
ในต่างประเทศมีการเก็บสถิติพยาบาลที่ทำงานในห้องฉุกเฉิน พบว่า70% หรือ 7 ใน 10 คน ถูกทำร้ายขณะปฏิบัติหน้าที่ทั้งด้วยวาจาและการกระทำ
ส่วนภาระงานของการทำงานในห้องฉุกเฉินก็หนักอึ้งไม่แพ้กัน ผลการสำรวจพบว่า 43% ต้องกินไปทำงานไป พร้อมๆ กับการดูแลเอาใจญาติและผู้ป่วย 85% มีปัญหาเหนื่อยจากการทำงาน และ 50% ต้องขึ้นกะติดต่อกันเกิน 10 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังพบว่าเหตุความรุนแรงจะเกิดขึ้นกับผู้ช่วยพยาบาลมากที่สุด เนื่องจากเป็นผู้รับหน้าในด่านแรก ลำดับที่สองคือพยาบาล ส่วนลำดับสามคือแพทย์ โดยแนวโน้มเหตุรุนแรงของคนทั้ง 3 กลุ่มนี้ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการห้ามยอมความ ต้องเอาผิดถึงที่สุด พร้อมเตรียมทำระบบในการเชื่อมสัญญาณตรงจากโรงพยาบาลไปถึงสถานีตำรวจ กรณีเกิดเหตุการณ์รุนแรง เพื่อขอความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ด้าน นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ประกาศเอาผิดถึงที่สุด และจำเป็นต้องมีมาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อลดความรุนแรง เพิ่มความปลอดภัยเจ้าหน้าที่และผู้ที่มารับบริการ หากเกิดกรณีความรุนแรงต่อร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สินในโรงพยาบาล ให้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุทันที ตามกฎหมาย ม.360 ม.364 และม.365 มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี โดยให้ทุกโรงพยาบาลในสังกัดเตรียมความพร้อม หากเกิดกรณีความรุนแรงให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาด
ทั้งนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ เพื่อจัดทำระบบควบคุมประตูให้มีห้องหรือทางเข้าออกที่ปลอดภัยอย่างน้อย 2 ทางภายในห้องฉุกเฉิน พร้อมจัดสถานที่สำหรับญาติผู้ป่วยเพื่อจำกัดการเข้าออก การติดตั้งกล้องวงจรปิดให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานตามจุดเสี่ยงต่างๆ รวมถึงการจัดระบบคัดกรองผู้ป่วย สำหรับผู้ป่วยห้องฉุกเฉิน เพื่อให้ได้รับการบริการที่เหมาะสมและปลอดภัย จัดทำเวรยามรักษาความปลอดภัยประจำห้องฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะที่ด้านกฎหมาย นาย โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกอัยการสูงสุด ระบุว่า หากมีการบุกรุกในสถานพยาบาล ถึงแม้จะเป็นสถานที่สาธารณะ หาก ทางเจ้าหน้าที่มีการสั่งให้ออกจากพื้นที่เพื่อระงับเหตุความไม่สงบแล้วไม่ออก ทางกฎหมายถือว่าประพฤติตนไม่เหมาะสม มีความผิด ฟ้องร้องได้ ในข้อหาบุกรุสถานที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หากบุกรุกทะเลาะวิวาทในห้องฉุกเฉิน ห้องตรวจ ในยามค่ำคืน มีโทษหนักจำคุกไม่เกิน5ปี พร้อมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้
ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น ที่เกิดปัญหาความรุนแรงในสถานพยาบาล ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ก็เกิดเหตุความรุนแรงเช่นเดียวกัน ในเดือนมิถุนายน 2561 เกิดรายงานกราดยิงในโรงพยาบาล บรองซ-เลบานอน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 7 ราย
หรือแม้กระทั่งในประเทศจีน วันที่ 29 ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา กรณีลูกชายของคนไข้รายหนึ่ง ใช้อาวุธมีดปาดคอแพทย์หญิงประจำห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลการบินพลเรือนปักกิ่งจนเสียชีวิต เนื่องจากไม่พอใจที่รักษาชีวิตมารดาไว้ได้
เหตุการณ์ดังกล่าวคงเป็นบทเรียนซ้ำๆให้กับทุกฝ่าย ไม่ว่ากระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องกลับมาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและเข้มข้น อย่าให้ปัญหาแบบนี้ต้องเกิดขึ้นอีกต่อไป.....
และที่สำคัญ อย่ามองว่าความรุนแรงในรพ. เป็นเรื่องปกติ !!!!
ด้วยรักและปรารถนาดี จากเรื่องเล่าเม้าท์ไปเรื่อย....
โฆษณา