27 ก.ค. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
ผมยืนยันชัดเจนตั้งแต่หลังจบเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-1 แล้วว่า ฤดูกาลนี้ที่ทีมปีศาจแดงมี โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ คุมทีมแบบเต็มซีซั่น มันจะน่าพอใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับบทสรุปหลังจบเกมนัดสุดท้ายกับ เลสเตอร์ ซิตี้
อาจฟังดูโหดร้าย แต่ผมถือวิสาสะตั้งเกณฑ์ไว้จริงๆ ว่าถ้าได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือ “สอบผ่าน” แต่หากไม่สามารถติดท็อปโฟร์ได้คือ “สอบตก”
แน่นอนว่าเราต้องให้เครดิตกุนซือชาวนอร์เวย์ ที่ค้นพบ 11 ตัวจริงชุดที่ดีที่สุดหลังจากฟุตบอลกลับมารีสตาร์ทหลังเบรกยาวเพราะโควิด-19 โดยมี บรูโน่ แฟร์นันเดส เป็นหัวใจสำคัญ จนทำให้ทีมยังไม่เคยแพ้ในลีกแม้แต่นัดเดียว
แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์ลุ้นติดท็อปโฟร์มันเข้าทาง มันเป็นเพราะ เชลซี กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ทำคะแนนหล่นเรี่ยราดด้วย
เพราะฉะนั้น ถ้าหาก โซลชาร์ ดันมาตกม้าตาย พาทีมพลาดท่าในเกมที่ไม่อนุญาตให้พลาด ทั้งที่คู่แข่งหยิบยื่นโอกาสชงมาให้ซะขนาดนี้ คุณต้องยอมรับความจริงว่ามันคือผลงานที่ยังไม่ดีพอ
 
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีก 1 ฤดูกาล มันต้องตัดสินด้วยผลการแข่งขันของแต่ละทีมตลอดทั้ง 38 นัด ไม่ใช่แข่งกันแค่ 14 เกม
ไม่อย่างนั้นมันคงมีโทรฟี่พิเศษ สำหรับทีมที่เก็บแต้มเยอะที่สุดหลังจากปิดตลาดซื้อขายเดือนมกราคม แยกออกมาอีกถ้วยไปแล้ว
แล้วเมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด โชว์ความนิ่งด้วยการไม่พลาดชัยชนะนัดสำคัญเหนือ เลสเตอร์ จนทะยานขึ้นไปจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 เป็นอันว่าบรรดาแฟนผีส่วนใหญ่ต่างลืมความผิดหวังที่ โซลชาร์ พาทีมตบขุนค้อนไม่สำเร็จไปจนหมด
เกมพรีเมียร์ลีกนัดชี้ชะตาท็อปโฟร์ที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ไม่ใช่เกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม หรือน่าประทับใจอะไรนัก
แต่สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือการทำยังไงก็ได้ ให้เก็บผลการแข่งขันที่ต้องการ ซึ่งความได้เปรียบของทีมปีศาจแดงอยู่ที่การมี 1 คะแนนนำหน้า เลสเตอร์ ก่อนเกมนั่นแหละ
ด้วยความที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มีนักเตะไว้ใจได้แค่ไม่กี่คน ทำให้ 11 ตัวแรกจึงยังเป็นผู้เล่นเดิมๆ โดยเปลี่ยนแค่ อารอน วาน-บิสซาก้า กลับมาทวงแบ็กขวาตัวจริงจาก ทิโมธี โฟซู-เมนซาห์ เท่านั้น
ขณะที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ปรับระบบการเล่นเล็กน้อยจากที่ใช้ 3-4-3 ในเกมออกไปโดน สเปอร์ส ถล่มยับ 3-0 มาออกสตาร์ทเกมนี้ด้วยระบบ 3-5-2
ตัวรุกอย่าง อโยเซ่ เปเรซ กับ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ รวมถึงกองหลังที่ฟอร์มบู่ในนัดก่อนอยาง ไรอัน เบนเน็ตต์ หลุดไปนั่งสำรองก่อน
มาร์ค อัลไบรท์ตัน ได้ลงมาเล่นวิงแบ็กขวา, ฮัมซ่า เชาดูรี่ ถูกส่งมาช่วยไล่บอลอีกแรงในแดนกลาง ส่วนกองหน้าก็เพิ่ม เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ มาช่วยวิ่งดึงตัวประกบออกจาก เจมี่ วาร์ดี้
เดอะ ฟ็อกซ์ ใช้ความได้เปรียบด้านความสดที่พักมาเต็มๆ 1 สัปดาห์ เดินหน้าเพรสซิ่งสุดชีวิตใส่ทีมปีศาจแดง ซึ่งไม่ชอบการเจอคู่แข่งที่วิ่งบีบเข้าใส่ จนทำให้การผ่านบอลขาดความแม่นยำ
แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่นักเตะเริ่มกรอบเป็นข้าวเกรียบ ก็เลือกใช้ความได้เปรียบจากสถานการณ์ที่ว่า “ตราบใดที่ยังไม่เสียประตู ก็ไม่มีใครพรากตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก ของกูได้”
นั่นทำให้พวกกองหลังผีแดงยืนตำแหน่งในแดนตัวเองอย่างรัดกุม ไม่เปิดโอกาสให้ อิเฮียนาโช่ และ วาร์ดี้ มีพื้นที่มากพอในการใช้ความเร็วหลุดเข้าพื้นที่อันตราย
สิ่งที่ทีมของ โซลชาร์ พยายามทำในครึ่งแรก จึงเน้นที่การถ่ายบอลเอาตัวรอด ดึงเกมให้ช้าเข้าไว้ ก่อนจบครึ่งแรกได้ตามเป้าหมายด้วยผลเสมอ 0-0 ซึ่งมีจังหวะเกือบขึ้นนำในช่วงทดเจ็บครึ่งแรกจากการตะบันเน้นๆ ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไปติดเซฟของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ด้วย
โชคดีของทีมเยือนอยู่ตรงที่พวกเขารอดพ้นการเสียประตูช่วงต้นเกมจนแฟนบอลต้องเป่าปาก ในจังหวะที่ เนมานย่า มาติช จ่ายบอลพลาดหน้าเขตโทษไปเข้าทาง เคเลชี่ อิเฮียนาโช่
เพราะจังหวะที่ มาติช เสียบอลถัดจากนั้นไม่กี่วินาที วิลเฟรด เอ็นดิดี้ เติมขึ้นมายิงหลุดกรอบออกไปเอง ทั้งที่ไม่มีคนประกบเลย
การที่ผลอีกคู่ เชลซี ขึ้นนำ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-0 ได้ก่อนพักครึ่ง ยิ่งเป็นการเข้าทางทีมเยือน เพราะนั่นหมายความว่า เลสเตอร์ จะต้องเล่นด้วยความกดดันยิ่งกว่าเดิมในครึ่งหลัง
ความผิดพลาดเสียบอลในแดนตัวเองของ ฮัมซ่า เชาดูรี่ กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อโดน เมสัน กรีนวู้ด แซะไปเข้าทาง บรูโน่ แฟร์นันเดส จ่ายเร็วทะลุช่องให้ อองโตนี่ มาร์กซิยาล หลุดไปโดน จอนนี่ อีแวนส์ และ เวส มอร์แกน รุมกันอัดจนล้มในกรอบเขตโทษ
แล้วเมื่อ บรูโน่ รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด เป็นอันว่า แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างเอาไว้ได้ทันที
ทีมเยือนเล่นได้อย่างผ่อนคลายกว่าเดิมในช่วงเวลาที่เหลือ ขณะที่ เลสเตอร์ ก็ไม่มีทีเด็ดมากพอจะเอาชนะแนวรับปีศาจแดงที่ป้องกันได้อย่างเหนียวแน่นสุดๆ ในเกมนี้
พอเวลาผ่านไปจนไม่มีอะไรให้ลุ้น เจ้าถิ่นจึงพลาดซ้ำสอง แล้วโดนตัวสำรองของทีมเยือนอย่าง เจสซี่ ลินการ์ด ยิงประตูตอกฝาโลงไปแบบส้มหล่น และกลายเป็นสีสันฮือฮาประจำนัดปิดซีซั่น
สกอร์ 2-0 คือชัยชนะที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ตามเป้าหมาย และถือเป็นการได้อันดับ 3 ในลีกเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่หมดยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ผมอยากจะบอกว่า อันดับ 3 มันคืออันดับที่ แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะเล็งเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลแล้วด้วยซ้ำ
เพียงแต่ผลงานระหว่างทางที่สะเปะสะปะ มันเลยกลายเป็น “ผลงานดีเกินเป้า” ในตอนสุดท้ายไปแทนซะอย่างนั้น
หลับตานึกย้อนกลับไปช่วงก่อนเปิดฤดูกาล ที่ทุกสโมสรเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้ที่ทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะตั้งเป้าหมายไว้ว่าเมื่อจบเกมนัดที่ 38 พวกเขาอยากอยู่ต่ำกว่าพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก
เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้น สโมสรคงไม่จัดหนักทุ่มซื้อ อารอน วาน-บิสซาก้า มาในราคาถึง 50 ล้านปอนด์ และคงไม่ยอมจ่ายเงินค่าตัวสถิติกองหลังโลก กระชาก แฮร์รี่ แม็กไกวร์ มาจาก เลสเตอร์ ซิตี้
กวาดสายตาไปดูคู่แข่งทั้ง 19 ทีม มันมีแค่ 2 ทีมเท่านั้นที่มีทุกอย่างเหนือกว่าปีศาจแดงอย่างแท้จริง นั่นคือ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
นอกนั้นต้องบอกเลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เป็นรองใครเลยด้วยซ้ำ...
เชลซี เจอปัญหาโทษแบนห้ามเสริมทัพจากฟีฟ่า แถมต้องเสียนักเตะที่เก่งที่สุดในทีมอย่าง เอแด็น อาซาร์ ให้ เรอัล มาดริด ขณะที่กุนซือคนใหม่อย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็ไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมในลีกสูงสุดมาก่อน
อาร์เซน่อล ยังไม่มีขุมกำลังที่ลงตัวเท่าไร แถมเดินหน้าเสริมทัพค่อนข้างช้า ทำให้ อูไน เอเมรี่ ทำงานไม่ค่อยราบรื่น
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ส่งสัญญาณให้เห็นตั้งแต่ปลายฤดูกาลก่อนแล้วว่า ทีมชุดเดิมๆ ที่เล่นร่วมกันมานาน มันกำลังเข้าสู่ช่วงขาลง แถมเพิ่งเจอความผิดหวังจากความพ่ายแพ้ในนัดชิงเจ้ายุโรป
เพราะฉะนั้น อันดับที่เหมาะสมที่สุดที่อดีตแชมป์ลีกอังกฤษ 20 สมัยควรตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องไปให้ถึงให้ได้คืออันดับ 3
แต่ที่แฟนบอลไม่ค่อยมั่นใจว่าจะทำได้ มันเป็นเพราะผู้จัดการทีมอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่ดูเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้นั่นแหละ
ด้วยชัยชนะสวยหรูที่เปิดบ้านถล่ม เชลซี ราบคาบ 4-0 ตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาล ใครจะไปคิดว่าหลังจากนั้นมันจะเต็มไปด้วยช่วงเวลาที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มกระท่อนกระแท่น
การมีปัญญาชนะแค่ 2 นัดจาก 8 เกมแรก เสียแต้มในการเจอทีมอย่าง คริสตัล พาเลซ, เซาธ์แฮมป์ตัน, เวสต์แฮม และ นิวคาสเซิ่ล จนหล่นไปอยู่กลางตาราง ห่างโซนตกชั้นเพียง 2 แต้ม มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่แฟนบอลจะอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวกุนซือ
แม้อันดับจะกระเตื้องขึ้นมาบ้างหลังจากนั้น แต่การจบเดือนมกราคมด้วยการตามหลังอันดับ 4 อย่าง เชลซี ถึง 6 แต้ม โดยไม่เคยชนะในลีกติดกันเกิน 2 นัด มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอีกเช่นกัน ถ้าในตอนนั้น โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ จะถูกมองว่า “มือไม่ถึง” สำหรับการพาทีมติดท็อปโฟร์
อย่างไรก็ตาม การมาถึงของ บรูโน่ แฟร์นันเดส ก่อนตลาดหน้าหนาวปิดลง แล้วพลิกโฉมให้ทีมเล่นดีขึ้นผิดหูผิดตาอย่างรวดเร็ว ถือเป็นปรากฎการณ์ที่ “คาดไม่ถึง” เช่นกัน
แน่นอนว่า บรูโน่ คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดแห่งซีซั่นนี้ของ เร้ด เดวิลส์ เมื่อระเบิดฟอร์มยิง 8 แอสซิสต์ 7 และช่วยให้ทีมไม่แพ้เลย ตลอดทั้ง 14 นัดในพรีเมียร์ลีกที่เขาลงตัวจริง
ผลงานมีส่วนกับประตูโดยตรงในพรีเมียร์ลีกถึง 15 ลูกของกองกลางทีมชาติโปรตุเกส คิดเป็น 50% ของ 30 ประตูที่ผีแดงทำได้ในลีกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
แต่ที่สำคัญกว่านั้นมันคืออิทธิพลของ บรูโน่ ที่ยกระดับประสิทธิภาพของเพื่อนร่วมสังกัดใหม่ขึ้นมาได้ทั้งทีม
เราจึงบอกได้เต็มปากว่าปีศาจแดงคงไม่มีทางมาถึงจุดนี้ ถ้าไม่ได้เขาเข้ามาเป็นตัวปั้นเกม
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากการต้องใช้งานนักเตะฝีเท้าไว้ใจไม่ได้อย่าง อันเดรียส เปเรยร่า และ เจสซี่ ลินการ์ด จนทีมผลงานห่วยแตก แล้วโซลชาร์ต้องเป็นแพะรับบาปต่อฟอร์มย่ำแย่ทั้งหมด...
เราก็ต้องให้ความยุติธรรมกับกุนซือหน้าทารกด้วย ในยามที่เขาทำให้ผลงานของทีมดีขึ้นเยอะ เมื่อมีเพลย์เมกเกอร์ที่เก่งกว่าของเดิมหลายเท่า
หากคุณมีน้ำใจนักกีฬา ถ้าคุณกล้าด่าใครแบบไม่ไว้หน้าตอนเห็นความห่วยแตก คุณก็ต้องแมนพอที่จะชมเขาได้ตอนที่เห็นพัฒนาการ
อย่างน้อย โซลชาร์ ก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่า ขอแค่มีผู้เล่นที่มีคลาสมากกว่าเก่า ไอ้ผลงานไม่เอาไหน มันจะไม่เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยๆ อีกแล้ว
สถิติบอกว่าหากไม่นับแชมเปี้ยนอย่าง ลิเวอร์พูล ก็มีเพียง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกแค่ทีมเดียวเท่านั้น ที่ทำสถิติไม่แพ้ในพรีเมียร์ลีกติดต่อกันได้นานถึง 14 นัดในฤดูกาลนี้
ถึงแม้จะโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอาแต่ฝืนใช้ทีมชุดเดิมลงเล่นติดๆ กัน แทบไม่ขยับเปลี่ยนตัวจนนักเตะเหนื่อยจนขาลาก แทบไม่ลุกมาสั่งการอะไรระหว่างเกม แต่เขาทำให้แฟนผีแดงได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบ 2 ปี นั่นคือระบบการเล่นที่มั่นคง พร้อมด้วย 11 ตัวจริงที่ลงตัวที่สุดของทีม
11 ตัวจริงตอนนี้มันอาจยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นไลน์อัพที่ดีที่สุดเท่าที่มีในตอนนี้ และมันก็ดีพอที่จะได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก จริงๆ
ซึ่งมันจะดีกว่านี้ได้อีก ถ้าการได้ไปเล่นฟุตบอลรายการใหญ่สุดของยุโรป มันหมายถึงแรงดึงดูดนักเตะระดับท็อปเข้ามาเสริมได้อีกอย่างน้อย 2-3 คน
หากไปย้อนดูตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกหลังจบเกมสุดท้ายของฤดูกาลนี้ เทียบกับหลังจบเกมนัดที่ 38 ของซีซั่นก่อน คุณจะพบว่า แมนฯ ยูไนเต็ด คือทีมเดียวในกลุ่ม “บิ๊กซิกซ์” ที่ไม่ใช่ ลิเวอร์พูล ที่แต้มไม่ได้น้อยลงจากเดิม
ทีมที่ทำได้ดีขึ้นกว่าฤดูกาล 2018-19 คือ ลิเวอร์พูล ปีนี้มี 99 แต้ม ทั้งที่ปีก่อนมี 97 คะแนนก็โหดแล้ว
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปีก่อนเป็นแชมป์ด้วยการเก็บ 98 แต้ม ปีนี้มาตรฐานตกลงเหลือแค่ 81 คะแนน จนได้แค่อันดับ 2 และต้องยอมตั้งแถวปรบมือให้หงส์แดงก่อนทีมอื่น
เชลซี ฤดูกาลก่อนคว้าอันดับ 3 ด้วย 72 แต้มภายใต้การคุมทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ พอมาปีนี้แต้มลดลงเหลือ 66 คะแนน และเข้าป้ายอันดับ 4
อาร์เซน่อล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไม่ต้องพูดถึง การที่พวกเขาย่ำแย่ในซีซั่นนี้จนถึงขั้นต้องปลดกุนซือระหว่างทาง ทำให้มีผลงานแย่กว่าปีก่อน ทั้งอันดับและคะแนนที่เก็บได้
ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซีซั่น 2019-20 เก็บได้ 66 แต้มเท่ากับฤดูกาลที่แล้วเป๊ะๆ
แต่สิ่งที่พัฒนาขึ้นก็คือผลต่างประตูได้-เสีย ที่ดีขึ้นจากเดิมถึง 19 ลูก โดยยิงประตูได้มากขึ้น 1 ลูก และเสียน้อยลงถึง 15 ประตู ถือว่าการลงทุนเปลี่ยนแบ็กขวา, เซนเตอร์แบ็ก และเพลย์เมกเกอร์ ได้ผลงานที่น่าพอใจ
ส่วนทีมกลุ่มหัวตารางที่ยกระดับผลงานขึ้นมาในฤดูกาลนี้ได้อย่างเซอร์ไพรส์ แน่นอนว่าเป็น เลสเตอร์ ซิตี้ ปีก่อนมี 52 แต้ม ปีนี้มีถึง 62 คะแนน
ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง การได้อันดับ 5 ของทีมจิ้งจอกสยาม ก็ถือว่าเกินเป้าจากที่ตั้งไว้ก่อนเปิดฤดูกาลแล้ว เพราะ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส คาดหวังถึงการท้าทายทีมในกลุ่มบิ๊กซิกซ์เป็นเป้าหมายหลัก ส่วนการได้ไปเล่น UCL หรือไม่ถือเป็นโบนัส
ไอ้ที่มันน่าเสียดายมันอยู่ตรงที่ เลสเตอร์ เคยเกาะกลุ่มท็อปโฟร์มาตลอดทาง แถมมีช่วงที่นำห่างทีมอันดับ 5 ถึง 14 แต้ม พอสุดท้ายพวกเขาหลุดท็อปโฟร์ มันเลยกลายเป็นซีซั่นที่น่าผิดหวังสำหรับพวกเขา
สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ สุดท้ายแล้ว อันดับ 3 มันคืออันดับที่คู่ควรกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2019-20 มาตั้งแต่แรก เพียงแต่มันได้มาอย่างยากลำบากกว่าที่ควรจะเป็นเท่านั้น
ในฤดูกาลหน้า โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ จะต้องเจอกับความคาดหวังที่สูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสเต็ปต่อไปคือเรื่องของการต้องลดช่องว่างจาก ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม มันมีสัญญาณที่ดีหลายอย่าง ว่าในฤดูกาลหน้า ทีมปีศาจแดงมีแนวโน้มน่าจะพัฒนา มากกว่าถดถอย
แน่นอนว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ไม่ใช่กุนซือที่ดีที่สุด จนป่านนี้หลายคนก็ยังคงไม่เชื่อมือ
แต่ตอนที่แฟนบอลเรียกร้องให้เปลี่ยนคนคุมทีมเป็นพวกโค้ชบิ๊กเนม เพราะโอกาสไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ดูไม่มีหวัง พวกคุณอยากให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำอะไรให้ล่ะ?
ไม่ใช่การจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ดีพอไปเล่นถ้วยใหญ่สุดของยุโรปหรอกหรือ?
ถึงแม้ โซลชาร์ จะยึดติดแต่กับทีมชุดเดิมๆ แต่เขาน่าจะรู้ซึ้งดีแล้วอย่างแน่นอน ว่าขนาดของทีมยังเล็กเกินไป สำหรับการรับมือการแข่งขันหลายๆ รายการ
เขารู้แล้วว่าการจะไปให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ มันต้องอาศัยนักเตะที่มีคุณภาพดีพอ ไม่ใช่ฝืนใช้งานคนที่ไม่ใช่ จนเสียโอกาสเก็บแต้มที่ควรจะได้ไปหลายนัด
เขารู้แล้วว่าตำแหน่งที่ทีมยังขาด ซึ่งต้องการให้บอร์ดบริหารจัดหามาให้ มันคือตรงไหนบ้าง
เขาก้าวข้ามความกดดันที่เคยโดนแฟนบอลเหยียดหยามไว้ว่า “ไอ้โลกสวย” ว่าสิ่งที่เขาขอให้กองเชียร์ศรัทธา เขาทำให้มันเป็นไปได้
ก้าวข้ามความกดดันที่แฟนบอลทั่วโลกอยากให้สโมสรไล่เขาออก กลับมาสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองได้ทำงานต่อแบบมีเครดิต ด้วยการพาทีมบรรลุเป้าหมายที่หลายๆ คนเคยเลิกหวัง
ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้ว โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ คือผู้จัดการทีมที่ดีพอจะพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จได้หรือไม่
แต่สิ่งที่เขาพิสูจน์แล้ว ก็คือคำพูดที่ว่า “โซลชาร์ ไม่ดีพอพาทีมติดท็อปโฟร์” มันไม่เป็นความจริง
#เสียบสามเหลี่ยม #Solskjaer #ManUtd #MUFC #GGMU #Leicester #LCFC #PremierLeague #UCL #ChampionsLeague
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา