28 ก.ค. 2020 เวลา 04:58 • กีฬา
พรีเมียร์ลีก ปีนี้จบลงไปเป็นที่เรียบร้อย
แชมป์ตกเป็นของสโมสร ลิเวอร์พูล ที่ได้แชมป์ก่อนที่จะแข่งขันจบถึง 5 นัด
ปฎิเสธ ไม่ได้เลยบอกว่าหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จอย่างรวดเร็วในปีนี้ นั่นก็คือความมุ่งมั่น ในการเป็นแชมป์
ในปีที่แล้วพวกเขาพลาดคว้าแชมป์เพียงไม่กี่คะแนนจากคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้ ในปีนี้เขาจึงกลับมา แข่งด้วยความมุ่งมั่นที่มากกว่าเดิม เพื่อที่จะคว้าชัยชนะและ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดให้ได้ในรอบ 30 ปี
ส่วนทีมที่ได้อันดับ 3 และ 4 อย่าง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและเชลซีนั้น พวกเขามีคะแนนแตกต่างกับที่ 1 ถึง 33 คะแนน!!
ความแตกต่างของคะแนนที่ห่างกันขนาดนี้ นอกจากเรื่องของฝีมือ และปัจจัยอื่น ๆ แล้วน่าจะเป็นเรื่องความแตกต่างทางความคิด ซึ่งมีผลต่อความมุ่งมั่น
ในตอนแรก ทุกทีมใหญ่ ก็คงคิดถึงการจบอันดับที่ แชมป์ลีก เป็นอันดับแรก แต่เมื่อประเมินศักยภาพของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะลดหลั่นเป้าหมายไปตาม สิ่งที่ประเมิน บางทีมก็เหลือเพียง โควต้าให้ได้ไปแชมเปียนส์ลีก ก็เพียงพอแล้ว
หากมองตามความจริง นั่นก็เป็นการตั้งเป้าหมายที่สมควร และไม่เกินตัว แต่ถ้าให้มองในอีกมุมหนึ่ง
นั่นก็คือ ความท้าทายและการสร้างความมุ่งมั่นให้กับการเล่นของทีม ย่อมแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ลิเวอร์พูล ลงเล่นด้วยความมุ่งมั่นจะคว้าแชมป์เป็นที่ 1 ซึ่งก็ทำให้เราได้เห็นเครื่องจักรสีแดงที่คืนชีพจากอดีตขึ้นมาอีกครั้ง การกระหายชัยชนะของนักเตะ ที่เห็นได้ชัดว่า ใส่กันเต็มที่ ชนิดไม่กั๊ก เล่นเพื่อชัยชนะและคว้า 3 แต้มให้ได้
แมนเชสเตอร์ซิตี้ แชมป์เก่า ก็เล่นด้วยความมุ่งมั่นที่จะรักษาแชมป์เดิมให้ได้ พยายามบดขยี้แต่ละทีมและเก็บแต้มให้มากที่สุด
สองทีมที่มองถึงเรื่องแชมป์เป็นสำคัญ จะเห็นได้ว่า ผลงานของทั้งคู่นั้น ออกมาดีกว่าทีมอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ลิเวอร์พลู ชนะไปถึง 32 แมตซ์ แพ้เพียง 3 และ เสมอ เพียง 3 ทำคะแนนถึง 99 คะแนน ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่ได้เห็นกันมานานมากแล้ว ในพรีเมียร์ลีก
ส่วน แมนเชสเตอร์ซิตี้ ก็ทำได้ดีเช่นกัน ชนะไป 26 แมตซ์ เสมอ 3 แพ้ 9 ทำคะแนนได้ 81 คะแนน ซึ่งถ้าว่ากันตามสถิติ คะแนนที่แมนเชสเตอร์ซิตี้ ทำได้นั้น เทียบเท่าคะแนนของแชมป์ในหลาย ๆ ฤดูกาลแล้ว
ส่วนทีมอื่น ๆ ที่น่าจะมองเป้าหมายรองลงมา อย่างโควต้าที่จะไปเล่น แชมเปียนส์ลีก และ ยูโรป้าลีก นั้นมีผลงานที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
มี 3 ทีม ที่เรียกว่า ลุ้นกันจนนัดสุดท้าย เพื่อที่จะได้ไป แชมเปียนส์ลีก นั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เชลซี และ เลสเตอร์ ซิตี้
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จบลงที่อันดับ 3 กับคะแนน 66 แต้ม
เชลซี จบลงที่อันดับ 4 กับคะแนน 66 แต้ม
เลสเตอร์ซิตี้ จบลงที่อันดับ 5 กับคะแนน 62 แต้ม
และถ้าใครเป็นแฟนที่คอยติดตามผลงานของแต่ละทีม สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน ระหว่าง ทีมที่ 1-2 กับทีมที่ 3-5 นั้นคือความมุ่งมั่นระหว่างการแข่ง
ทีมอันดับ 3-5 บางครั้งเราเห็นนักเตะ เริ่มถอดใจ กับคำว่าชัยชนะ เรียกว่าเสมอก็ดี ไม่เป็นไร แมตซ์หน้าเอาใหม่
แต่ในทีมอันดับ 1-2 เรามักจะเห็นการไม่ยอมแพ้จนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนสิ้นเสียงนกหวีด ที่พร้อมจะบดขยี้ต่อไป เพื่อจะทำประตูให้ได้
เป้าหมายที่แตกต่าง นำมาสู่ความมุ่งมั่นที่แตกต่าง
ถึงแม้ว่า ในการเล่นฟุตบอลนั้นจะมีปัจจัยต่าง ๆ มากมาย ที่รายล้อม ประกอบกัน แต่หนึ่งในปัจจัยที่เป็นพลังให้กับ การเล่นของคนได้เป็นอย่างดี ก็คงหนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่า "กำลังใจ" หรือพลังจากข้างใน เป็นพลังที่จะทำให้ คนมีแรงฮึดขึ้นมา ต่อให้เรี่ยวแรงที่ขามันกำลังจะหมด
พลังที่จะทำให้ คนไม่ยอมแพ้ ต่ออุปสรรคตรงหน้าง่าย ๆ เพราะคิดถึงเป้าหมายในวันข้างหน้า
พลังที่จะทำให้ คนกล้าเผชิญหน้า ต่อกำแพงที่รู้ว่าหนา และยากจะเอาชนะ
สิ่งนี้แหละ ที่สามารถเติมพลังให้ได้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
การแข่งขันลีก เป็นการเล่นระยะยาว แน่นอนอยู่แล้วว่า ต้องมีหมดไฟ หมดใจกันบ้าง แต่หน้าที่สำคัญของโค้ช หรือ คนภายในทีม ก็ต้องเป็นคนคอย จุดไฟ จุดความมุ่งมั่นให้กับลูกทีมอย่างสม่ำเสมอ
ผมเชื่อว่า ไม่มีใครหรอกที่ลงไปเล่นเพื่อ แพ้ตั้งแต่แรก
แต่พลังของคนที่ กระหายชัยชนะ กับคนที่เล่นเพียงเพื่อไม่ให้แพ้ นั้นมันแตกต่างกันมาก และนั่นก็คือความแตกต่างที่ทำให้ แพ้ชนะ ได้ในแต่ละแมตซ์
ในการใช้ชีวิตเองก็เช่นกัน ความสำเร็จ ของสิ่งที่เราได้ทำ ก็เริ่มต้นจากความคิดที่เราได้กำหนดตั้งแต่เริ่มนี่แหละ บางคนมองว่างานที่ทำเป็นเรื่องที่จริงจัง เขาก็จะทำงานออกมาอย่างเต็มที่และดีมาก
บางคนมองว่าฉันแค่มาทำงานให้จบ ๆ เสร็จ ๆ เขาก็จะทำงานออกมาอย่างขอไปที
จุดเริ่มต้นของผลงาน ก็คือการวางหมุดปักฐานของความคิด
เราจะทำอะไรได้ดีหรือไม่ดี อยู่ที่ว่า เราให้ความสำคัญกับมันแค่ไหน
ขอให้บทความนี้ "ฉุดคิด" คนอ่าน ได้บ้างนะครับ
โฆษณา