14 ก.ย. 2020 เวลา 03:45 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิว 127 Hours (2010): ติดอยู่ในร่องภูเขา ไปไหนไม่ได้ หรือจะต้องตายที่นี่?
หากมนุษย์คนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุตกลงไปในหุบเขา มีหินทับแขน ขยับไปไหนไม่ได้ อาหารและน้ำก็มีอยู่อย่างจำกัด มนุษย์ผู้นั้นจะทำอย่างไร?
ฟังดูแล้วเป็นสถานการณ์ที่กดดันแล้วสิ้นหวังมาก แต่มีผู้ที่รอดชีวิตมาแล้วจริงๆ นั่นก็คืออารอน รัลสตัน นักผจญภัยที่เคยเจอสถานการณ์ติดแหง็กอยู่ในร่องหินที่ Bluejohn Canyon ในรัฐยูท่าห์ ในปี 2003
และ 127 Hours ก็สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ที่ถ่ายทอดผ่านหนังสือ Between a Rock and a Hard Place
127 Hours ได้ James Franco มารับบทเป็นอารอน ชายหนุ่มที่ชอบออกผจญภัยโดยไม่บอกใครล่วงหน้าว่าเขาจะไปไหน ระหว่างที่เขากำลังบุกตะลุย Bluejohn Canyon อยู่นั้น ก็เกิดอุบัติเหตุระหว่างปีนเขา ทำให้เขาร่วงลงไปในซอกเขา แค่นั้นยังไม่พอ ยังเจอก้อนหินขนาดใหญ่หล่นลงมาทับแขนขวาของเขาอีก ทำให้เขาไม่สามารถขยับไปไหนได้ ติดแหง็กอยู่แบบนั้น จะผลักก้อนหินออกไปก็ทำไม่ไหว หนักเกิน เขาต้องติดอยู่ที่นั่นโดยมีอาหารและน้ำในปริมาณจำกัด และสติที่พร้อมจะหลุดไปได้ทุกเมื่อ
มีสปอยล์
นี่เป็นหนังแนวเอาตัวรอดที่ถือว่าดีมากๆ อีกเรื่อง โดยผู้กำกับ Danny Boyle อธิบายว่านี่คือหนังแอ็กชั่นที่พระเอกขยับตัวไม่ได้ ส่วนหนึ่งที่มันดีเพราะมันสร้างจากเรื่องจริง จึงทำให้สถานการณ์ดูสมจริง มุมกล้องดูมีความดิบและสถานการณ์มีความเป็นไปได้มากๆ อุบัติเหตุที่อารอนเจอนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพียงแค่ประมาทนิดเดียว ชีวิตก็เปลี่ยนได้ ดูแล้วเป็นเรื่องตลกร้ายจริงๆ ที่คนเราต้องทุกข์ทนทรมานเพียงเพราะก้อนหินก้อนเดียว เหมือนธรรมชาติเล่นตลกกับเรา
พอเจอสถานการณ์แบบนี้ หลายคนคงจะสติแรกและไม่เป็นอันทำอะไร แต่อารอนนั้นประคองสติไว้ได้ดีมาก เขาค่อยๆ คิดว่าจะมีวิธีเอาตัวรอดแบบไหนบ้าง เขางัดเครื่องมือเครื่องไม้ทุกอย่างมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นมีดพกเพื่อหั่นหิน หรืออุปกรณ์สลิงที่หวังว่าจะยกหินออกไปได้ แม้ทั้งหมดนี้จะไม่ได้ผล แต่เราก็นับถืออารอนมากที่ไม่สิ้นหวังในสถานการณ์แบบนี้ และยังสามารถไตร่ตรองได้อย่างดีว่าจะเอาตัวรอดยังไง
แน่นอนว่าเมื่อลองทุกวิธีแล้วไม่ได้ผล ก็ต้องท้อแท้เป็นธรรมดา บวกกับสภาพร่างกายที่ขาดอาหารขาดน้ำ เลือดไหลเวียนไม่ดี ก็ทำให้อารอนสติหลุดไปบ้าง ยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งประสบกับปัญหาภาพหลอน เรื่องราวในอดีตฉายวนกลับเข้ามาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน คนรัก ภาพเหล่านี้รีเพลย์ในหัวของเขา ตรงกับเรื่องเล่าที่บอกว่าเวลาคนใกล้จะตาย ชีวิตทั้งชีวิตของเขาจะถูกรีเพลย์ให้ดูอีกครั้งโดยอัตโนมัติ
เหตุการณ์เฉียดตายครั้งนี้ ทำให้อารอนเห็นคุณค่าของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต และเห็นว่าตัวเองเคยทำพลาดอะไรมาบ้าง
วินาทีนั้นเราลุ้นมากว่าอารอนจะรอดไหม เพราะสภาพพี่แกคือพร้อมไปแล้วจริงๆ แถมนอกจากจะมโนเห็นอดีตแล้ว อารอนยังเห็นนิมิตภาพตัวเองในอนาคตอีก แต่นั่นถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันทำให้เขาฮึดที่จะสู้ต่อ แสดงให้เห็นเลยว่าแรงฮึดของมนุษย์นี่มีพลังจริงๆแม้ว่ากายจะอ่อนแอแต่ถ้าใจสู้ ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แน่นอนว่าอารอนได้เปรียบเพราะมีการเตรียมตัวมาระดับนึง และเป็นนักผจญภัยที่ร่างกายและจิตใจแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาด้วย
แม้จะเป็นหนังสู้ชีวิตที่คาบเกี่ยวระหว่างความฮึดกับความท้อ แต่หนังก็ไม่ได้เล่าออกมาในเชิงน่าเศร้าหรือหดหู่เลยนะ ตรงกันข้าม หนังเลือกที่จะเล่าแบบตรงไปตรงมา และบางทีก็ติดตลกด้วยซ้ำ จนรู้สึกว่า เอ่อ แกยังมีอารมณ์มาเล่นมุกอีกเหรออารอน 555 อย่างการอัดวิดีโอแซะตัวเอง คุยกับตัวเอง ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะร้องห่มร้องไห้ สั่งเสียต่อหน้ากล้อง แต่อารอนเล่าทุกอย่างแบบชิลๆ มาก เล่าตามแบบที่มันเกิดขึ้นจริง ซึ่งในแง่นึงก็ทำให้หนังไม่หนักเกินไป แต่อีกแง่นึงก็อดรู้สึกถึงความเหงาเปล่าเปลี่ยวไม่ได้ ในพื้นที่ที่มีแค่ตัวเองอยู่คนเดียว การต้องจินตนาการว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยนี่มันยิ่งทำให้รู้สึกเหงากว่าเดิมไปอีก
สุดท้าย ทางออกของอารอนก็คือการตัดแขนตัวเองทิ้ง เป็นทางเลือกที่ฟังแล้วชวนหลอนมาก ต้องใช้แรงใจมหาศาลในการค่อยๆ หั่นเนื้อหักกระดูกตัวเอง ส่วนนี้หนังทำออกมาได้ดิบมากๆ เลือดสาดไม่แพ้หนังซาดิสต์ แถมยังมีการเล่นเอ็ฟเฟ็กส์เสียงเตือนตอนที่เผลอตัดโดนเส้นประสาทด้วย เป็นฉากที่กล้าพูดเลยว่าไม่ได้ดูเต็มตา ต้องเอาหมอนปิดหน้า ในใจภาวนาว่าให้ฉากนี้จบไปสักที เรียลเกินไปละโว้ยยย ฉากนี้โหดถึงขนาดว่าช่วงแรกๆ ที่นำไปฉาย มีคนเป็นลมและอ้วกเยอะที่สุดตั้งแต่ The Exorcist ฉายเลย
หนังจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง นั่นก็คืออารอนหนีรอดออกมาได้ แม้ว่าจะด้วยสภาพอิดโรยก็ตาม แต่ก็โชคดีที่เขาเจอคนระหว่างทาง และได้รับความช่วยเหลือพอดี หนังจบด้วยการสรุปเหตุการณ์จริงที่เกิดกับอารอนตัวจริงต่อจากนั้น ว่าเขาได้สร้างครอบครัวขึ้นมา แล้วก็ยังไปเที่ยวผจญภัยอยู่นะ แต่ที่เปลี่ยนไปคือเขาบอกคนอื่นทุกครั้งแล้วว่าเขาจะไปไหน เรียกได้ว่าเหตุการณ์ติดร่องหินนี่เป็นบทเรียนที่ติดตัวเขาไปจนวันตายเลยก็ว่าได้
ถามว่าหนังเรื่องนี้ใกล้เคียงกับความจริงที่เกิดกับอารอนมากแค่ไหน? ก็คงไม่มีใครบอกได้ดีเท่ากับตัวเขาเอง ซึ่งอารอนก็บอกว่า นอกเหนือไปจากซีนพาสาวไปเล่นน้ำที่ตอนแรกเขารู้สึกไม่ชอบเท่าไรเพราะมันไม่ตรงกับความจริง ที่เหลือของหนังนั้นเรียกได้ว่าตรงมากๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงความเป็นสารคดี แต่ก็ยังมีความดราม่าลุ้นระทึกอยู่ด้วย ตัวเขาเองได้ดูหนังเรื่องนี้ไป 8 รอบแล้ว และร้องไห้ทุกรอบเลยด้วย
โดยรวมแล้ว 127 Hours เป็นหนังเอาตัวรอดที่ไม่ใช่แค่แอ็กชั่นอย่างเดียว แต่ยังบอกเล่าความทุกข์ความกดดันของคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นอย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา นอกจากนี้ยังย้ำเตือนให้เรามีสติกับชีวิตในทุกย่างก้าว รวมถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากด้วย เพราะสติและแรงใจอันเข้มแข็งนี่แหละจะเป็นตัวช่วยพยุงเราขึ้นมา
และที่สำคัญก็คือ อย่าลืมใส่ใจคนรอบข้าง และมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ในชีวิตด้วยละ
โฆษณา