22 ก.ย. 2020 เวลา 12:11 • ธุรกิจ
การควบรวมกิจการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติแบรนด์เนม ที่วื้ดแรงแบบหักมุม จนต้องฟาดกันผ่านศาล😱
ไม่นานมานี้ดบสท.ได้มีโอกาสดูหนังเก่าเรื่อง Breakfast at Tiffany’s ซึ่งฉายครั้งแรกในปี 1961 นำแสดงโดยออเดรย์ เฮปเบิร์น ที่หน้าตาละม้ายคล้ายดบสท.อยู่มาก (หมายถึงภาพที่2นะคะไม่ใช่ภาพแรก) ช่วงนั้นพอดียังไม่เกิดอะเนอะ แม่ออเดรย์เลยได้เฉิดฉายเป็นเบอร์ 1 ของโลกไปก่อน สิ่งที่สัมผัสได้จากนอกเหนือจากความโรแมนติก-คอมเมดี้ที่มีกลิ่นอายความคลาสสิกคือความหรูหราชวนฝันของสาวๆนิวยอร์ค เมื่อฉากเปิดตัวของนางเอกยืนกินอาหารเช้ามองผ่านกระจกไปในร้านแบรนด์จิวเวอรี่ระดับตำนานอย่าง Tiffany & Co ที่มีซิกเนเจอร์เป็นสีฟ้าอมเขียวสุดชวนฝัน(เพราะสตางค์ไม่พอ) 😆
ก่อนที่จะกลายเป็นบทความในนิตยสารโว้ค ดบสท.ขอตัดไปเม้าท์เรื่องราวเกี่ยวกับดีลการเทคโอเวอร์สุดปังของ LVMH อาณาจักรสินค้าหรูหราที่เกิดอยากจะครอบงำตำนานอย่าง Tiffany & Co กันดีกว่านะคะ ไปค่ะแม่
Breakfast at Tiffany's (1961)
LVMH บริษัทฝรั่งเศสยักษ์ใหญ่ข้ามชาติโดยท่านประธานเบอร์นาร์ด อาโนลต์ แกขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องการซื้อกิจการแบรนด์หรูต่างๆ เริ่มเป็นอาณาจักรตั้งแต่ครั้น หลุยส์วิตตองได้ควบรวมกิจการกับMoët Hennessy ซึ่งเป็นผู้ผลิตแชมเปญและคอนยัครายใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1987
ปัจจุบันLVMH ครอบครองราว 60 บริษัทลูกที่ไปบริหารแบรนด์หรูกว่า 75 แบรนด์แบ่งเป็นหมวด แฟชั่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและจิวเวอรี่ และอื่นๆ ถ้าจะนึกภาพให้ออก LVMH มีสินทรัพย์รวม 4.7 ล้านล้านบาทคิดเป็น2 เท่ากว่าของ ปตท. มีการจ้างงานราว 150,000 คนทั่วโลกคิดเป็นราวๆ 5 เท่าของปตท.และลูกๆ
ดีนะแม่ ยังไม่ขายยำ
ทีนี้มาดูฝั่ง Tiffany & Co. ที่มีสัดส่วนยอดขาย 80% เป็นจิวเวอรีที่วางขายในกว่า 200 ร้านทั่วโลก ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 3 ของโลกในตลาดจิวเวอรี่ เป็นรองแค่ Cartier และ Rolex ในปี 2016 ประกอบด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นระดับตำนาน
LVMH นำโดยลุงเบอร์นาร์ดแกก็เลยกระเหี้ยนกระหือรืออยากได้อ่ะสิ จะให้ไปซื้อ Cartier ก็ไม่ได้เพราะคู่แข่งตัวฉกาจอย่างเครือ Richemond ครอบครองอยู่
คาเฟ่เก๋ๆพี่ทิฟก็มีนะคะ
เพราะงั้น เมื่อพ.ย.ปีที่แล้วLVMH เลยเซอไพรส์โลกธุรกิจแฟชั่นด้วยการประกาศจะเค้าครอบครองกิจการ Tiffany & Co.ด้วยเงิน 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงิน 135เหรียญต่อหุ้น เรียกได้ว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการซื้อกิจการในโลกสินค้าหรูหรา
เข้าไปประจำค่ะ ห้องน้ำสะอาด
ดีลเหมือนจะต้องสำเร็จไปแล้วใช่มั้ยคะ ไครจะคาดคิดว่าโลกจะเจอภัยโรคระบาดหลอกหลอนจนนักช็อปกระเป๋าหนักออกจากบ้านไม่ได้ในปีนี้
และแล้ว อยู่ๆลุงอาโนลต์แกก็ออกมาบอกว่าจะขอเลื่อนการซื้อกิจการนี้ออกไปก่อนเนื่องจากรัฐบาลฝรั่งเศสเรียกร้องให้บริษัททบทวนดีลนี้ หลังมีข้อขัดแย้งกับรัฐบาลสหรัฐฯ สืบเนื่องจากที่ก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสได้เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยี เป็นผลให้ Amazon, Facebook และ Google ที่มีสัญชาติเมกันได้รับผลกระทบมากพอตัว ตาทรัมป์ก็ตอบโต้โดยการขึ้นภาษีสินค้าแบรนด์เนมจากฝรั่งเศสบ้าง
ก็ดูสมเหตุสมผลอยู่นะแม่ แต่พี่ทิฟฟังแล้วร้องกรีสเลย ออกมาตอบโต้ทันควันว่า ลุงอาโนลต์ต้องอยากต่อราคานั่นแหละ อย่ามาแอ๊บว่าขึ้นภาษี พี่รู้ทันนะยะ พี่ทิฟจะฟ้องพวกฝรั่งเศส แบบนี้ต้องเจอกันที่ศาล! ถ้าจะยกเลิกดีลนี้ แกก็ต้องจ่ายเงินอย่างสาสม!!!!!🤬🤬🤬🤬
ฟาก LVMH ก็ยังแอ๊บไม่เลิก ออกมาป่าวประกาศว่า “มันเป็นคำสั่งรัฐบาล” เราไม่มีทางเลือก เรามีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะเลื่อนดีลนะรู้ยัง? ซึ่งดบสท.มองว่าเป็นคำสั่งที่ผิดปกติมากๆที่ออกจากรัฐบาลเพราะรัฐบาลไม่ได้มีหน้าที่ในการงดหรือเลื่อนการซื้อขายใดๆตราบที่ดีลไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่เนียนไปเรียนมาใหม่ไหมแม่!
และก็เป็นไปตามคาดหุ้นพี่ทิฟในนิวยอร์คก็ร่วงหลุดลุ่ยไป 11% ในขณะที่หุ้น LVMH ในฝรั่งเศสก็คือชิลๆไม่รู้ร้อนไป
แรกๆดบสท.ก็ยังไม่เชื่อพี่ทิฟจนกระทั่งเห็นว่า ยอดขายสุทธิของพี่ทิฟลดลง 29% ในไตรมาส 2จากผลพวงของการล็อกดาวน์ เลยเริ่มคิดว่าลุงอาโนลต์แกอาจจะต่อราคามากกว่าตามนั้นจริงๆแหละ
ทีนี้ล่าสุดนักข่าว NYTimes ก็ตามเผือกจนขอบตาคล้ำอดใจไม่ไหวต่อสาย CFO ของLVMH ถามว่าคุณพี่ไปขอให้รัฐบาลช่วยทำให้ดีลล่มรึป่าวคะ CFO แกก็สตันท์ไป 3 วิ แล้วบอกปฏิเสธว่า เรื่องจริงจ้าไม่จ้อจี้เนอะ!
สุดท้ายแล้ว ดบสท.มองว่าเรื่องนี้จบได้สองแบบ แบบแรกทั้งสองบริษัทหาทางออกเจรจาซึ่งน่าจะออกมาในรูปการลดราคาจากเดิมที่ตั้งมาบนพื้นฐานของ 15 เท่าของ EBITDA แต่ตอนนี้ราคานั้นกลายเป็น 18 เท่าของ EBITDA ไปซะแล้ว ก็ลดช่วยๆกันเนอะแม่ๆ หรือไม่ก็อย่างที่สอง LVMH เดินหนีไป ปล่อยพี่ทิฟยืนงงในดงไวรัส😅
โฆษณา