17 ก.ย. 2020 เวลา 17:24 • กีฬา
ท็อป 5 ลีกชั้นนำของยุโรป.. .
สรุปว่าแล้วลีกไหนกันล่ะ ที่มันดีที่สุดในยุโรปจริงๆ?
Cr. Google.com
เป็นคำถามที่ถกเถียงกันมาอย่างเนิ่นนานพอสมควรในวงสุราของท่านสุภาพบุรุษและในวงลาบ ข้าวเหนียว ส้มตำ น้ำตก ซกเล็ก ต้มแซ่บ ของท่านสุภาพสตรีที่มีจิตใจคลั่งไคล้ ไหลหลงในเกมลูกหนัง "เฮ้ย!! มึงว่าลีกไหนที่มันดีที่สุดในยุโรปว้า?!!
ครับ!! จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงเป็นแม่นมั่นว่า ในจำนวน 5 ลีกชั้นนำหรือ "บิ๊กไฟว์" ของยุโรป ไอ้ลีกไหนกันแน่ ที่มันดีที่สุดจริงๆ? ระหว่าง ลา ลีก้า สเปน, พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี, บุนเดสลีกา เยอรมัน และ ลีกเอิง ฝรั่งเศส ลีกใดหนอเจ้า ที่ดีที่สุดในยุโรป ณ เพลานี้
เอาตามความรู้สึกตัวเองเหมือนเคย (ผมค่อนข้างเผด็จการ ขอคิดเองเออเอง แบบไม่ต้องไปอิงบทความไหนที่มันมีมาก่อนหน้านับสิบๆบทความให้ปวดสมอง เพราะเพจนี้ใช้คติ "ในทรรศนะของข้าพเจ้า" ในการบรรเลงตัวอักษร
คำว่า "ชั้นนำ" นี่วัดกันจากอะไร? จากค่านิยมในการชมฟุตบอลของชาวไทยหรือชาวโลก แล้วหน่วยงานหรือองค์กรใด ที่เป็นคนสำรวจ แล้วไอ้หน่วยงานหรือองค์กรเนี้ย มันเชื่อถือได้มั้ย? ใครเป็นคนรับรอง?
ความรู้สึกส่วนตัวของผม คงวัดมาจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์และสื่อโซเชียลต่างๆ อย่างแน่นอน เพราะถ้ายิ่งลิขสิทธิ์ลีกนั้นแพงเท่าไหร่ ย่อมต้องแปลว่าลีกดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างสูงสุด
ซึ่งมีการสำรวจอย่างเป็นทางการแล้วว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มีรายรับจากค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดแพงที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าสูงถึง 1,665 ล้านปอนด์ต่อปี หรือประมาณ 66,921 ล้านบาท!!! จากสัญญาสี่ปี ที่เพิ่งสะบัดน้ำหมึกกันไปเมื่อปี 2019
แต่เราจะไม่มาพูดถึงตัวเลขมูลค่าอะไรต่อมิอะไรให้ปวดหัวหรอก ผมไม่ได้จะมาเล่าถึงเรื่องค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดเป็นประเด็นหลัก เราจะมาพูดถึงจุดเด่น ข้อดี สิ่งดึงดูดต่างๆ ของแต่ละลีกกันดีกว่า ว่าเหตุผลอะไรลีกนั้นๆ ถึงได้ขึ้นแท่นกลายเป็นลีกชั้นนำ แต่บอกไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่การจัดอันดับว่าลีกไหนดีที่สุด หรือแข็งแกร่งที่สุด เอาเป็นว่าผมเขียนไปตามความรู้สึกก็แล้วกัน
1.พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
Cr. Google.com
ก็อย่างที่ท่านอ่านผ่านตามาก่อนหน้านี้ ว่าค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ต้องยกให้พรีเมียร์ลีกเป็นเบอร์หนึ่ง เหตุผลง่ายๆก็คือ พรีเมียร์ลีก เป็นลีกที่รวมบรรดาแข้งซูเปอร์สตาร์ไว้อย่างคับคั่ง พ่อค้าแข้งทั้งหลายทั่วสารทิศ แทบทุกผู้ทุกนาม ล้วนแล้วแต่อยากมาประกอบอาชีพที่นี่ เนื่องด้วยเงินค่าแรงดี มีโอกาสได้เผชิญหน้ากับซุป'ตาร์ด้วยกันบ่อยๆ แต่ไอ้ที่มาเสียผู้เสียคนกับลีกนี้ก็มีไม่น้อย แปลงสภาพจากซุป'ตาร์กลายเป็นซุปหางวัวหายหัวจนลืมชื่อกันไปเลย
แน่นอนว่าเมื่อเป็นแหล่งรวมเหล่านักเตะแข้งทองชื่อดัง ฝีเท้าดีไว้อย่างล้นหลาม จำนวนแฟนบอลที่อยากรับชมเกมดีๆ ที่เต็มไปด้วยดาราดังๆ ย่อมมีมากตามไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อมึงกระสันอยากจะดู มึงก็ต้องจ่ายให้กูหนักหน่อย เพราะกูก็ต้องไปแบ่งกับสโมสร เพื่อให้พวกมันมีตังค์ไปซื้อซุป'ตาร์เข้าทีมมาเล่นให้มึงดูอีกเยอะๆ เปรียบไปก็เหมือนละครช่องเคเบิ้ลล่ะครับ ที่ต้องดูดเอาดาราระดับแม่เหล็กมารวมตัวกันไว้แยะๆเพื่อเรียกเรทติ้ง
อีกหนึ่งประการก็คือ สไตล์ฟุตบอลแบบลีกอังกฤษ ที่เล่นกันเร็ว ตื่นเต้นเร้าใจ ใส่กันแบบไม่ยั้ง เปิดเกมรุกแลกหมัดกันแบบสะใจคนดู อันเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของพรีเมียร์ลีก
นอกจากนั้นแล้วคุณภาพเกม ก็เป็นจุดดึงดูดให้นักเตะชื่อดังที่อยากพิสูจน์ตัวเอง มาลองของกันดูที่นี่ เมื่อมีนักเตะที่ฝีเท้าเจ๋งๆ มารวมตัวกันอยู่ในทีมมากๆเข้า มันก็ช่วยยกระดับทีมให้พัฒนาก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งด้วย
อย่างสมัยเมื่อซักประมาณ 10 กว่าปีก่อน จะมีเพียง 4 ทีมเท่านั้นที่เบียดกันลุ้นแย่งแชมป์กัน เรียกว่า "บิ๊กโฟร์" อันได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, เชลซี และลิเวอร์พูล ผ่านมาได้อีกซักระยะ เมื่อกลุ่มอาบูดาบี เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และทุ่มทุนปลุกเสกให้ทีมก้าวขึ้นมาท้าทายบัลลังก์ ตอนนั้นก็เรียกกันว่า "บิ๊กไฟว์" และหลังจากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ ที่ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ส ก้าวขึ้นมาอีกระดับด้วยกลุ่มนักเตะพลังหนุ่ม นำโดยแฮร์รี่ เคน, เดเล่ อัลลี่, เอริค ดายเออร์ จนซีซั่น 2018-2019 พีคถึงขนาดทะยานเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยบิ๊กเอียร์ ทุกคนจึงพร้อมใจกันบรรจุสเปอร์ให้เข้าเป็นหนึ่งใน "บิ๊กซิกส์" เพราะผลงานเป็นที่ประจักษ์นั่นเอง
และปัจจุบัน มีแนวโน้มอีกเช่นกันที่จะอัพเกรดแคนดิเดตผู้ท้าชิงถ้วยพรีเมียร์ลีกให้กลายร่างเป็น "บิ๊กเซเว่น" หลังจากการติดลมบนของเลสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าเมื่อฤดูกาล 2017-2018 ที่ตอนนี้ศักยภาพทีมก้าวทะลุขึ้นมาอีกขั้น กลายเป็นขาประจำถ้วยยุโรปไปแล้ว อย่างไม่ขัดสายตาใคร
ไม่ใช่เพียงแต่นักเตะเท่านั้น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยังมีมนต์สเน่ห์ดึงดูดบรรดาโค้ชชื่อดัง ฝีมือดี ให้มาประลองกึ๋นกันที่ลีกนี้อีกด้วย โค้ชอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ของแมนซิตี้, เจอร์เก้น คล็อปป์ ของลิเวอร์พูล, โชเซ่ มูรินโญ่ ของสเปอร์, แบรนดอน ร็อดเจอร์ส ของเลสเตอร์ และล่าสุดกับ คาร์โล อันเชลอตติ ของเอเวอร์ตัน ล้วนแล้วแต่เป็นโค้ชระดับแถวหน้าของวงการ แล้วไอ้พรีเมียร์ลีกนี่มันก็หอมหวลยวนเย้าเสียนี่กระไร โค้ชคนไหนพอมีชื่อเสียงและฝีมือหน่อย ก็จะต้องถูกดูดมาที่ลีกนี้นี่แหละ ไอ้ที่เอาชื่อมายัดโถส้วมทิ้งไว้ก็มีไม่น้อย ไม่เว้นแม้กระทั่งโดนทีมเก่าในพรีเมียร์ลีกปลดด้วยผลงานไม่เข้าตา สุดท้าย มึงก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด วนมันอยู่ในพรีเมียร์ลีกอีกนั่นแหละ เหมือนติดฝิ่นหากินที่อื่นไม่ได้
นั่นทำให้ภาพโดยรวมของพรีเมียร์ลีกจึงเต็มไปด้วยคุณภาพเกมที่เข้มข้น เร้าใจ ถูกจริตคนดู อีกทั้งอุดมไปด้วยผู้เล่นซูเปอร์สตาร์ ผนวกเข้ากับโค้ชที่มากด้วยชื่อเสียงและฝีมือ การเผชิญหน้ากันของทีมลุ้นแชมป์ รวมถึงเกมดาร์บี้แมทช์ที่เล่นกันแบบเตะลืมตาย ยิ่งเพิ่มรสชาติ ความตื่นเต้นในการรับชมเป็นเท่าทวีคูณ ไม่แปลก ถ้าผมจะบอกว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คือลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกจริงๆ
2.ลา ลีกา สเปน
Cr. Google.com
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ซูเปอร์สตาร์อันดับต้นๆของโลก ล้วนแล้วแต่มากระจุกรวมตัวกันที่ลีกนี้ และซูเปอร์สตาร์เหล่านี้ ก็จะเลือกข้างกันสังกัดเพียงแค่ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลนาเท่านั้น
ถ้ามึงอยากรู้ว่าตัวเองมาถึงการเป็นนักเตะระดับโลกแล้วหรือยัง มึงต้องมาเล่นให้สองทีมนี้ ถ้าพวกมันสนใจมึง นั่นแหละคือมึงเข้าขั้นมนุษย์ต่างดาวแล้ว เตรียมโดนดูดขึ้นยานแม่ได้
ในอดีตที่ผ่านมา เอาแบบสักราวๆ ไม่เกิน 20 ปีมานี้ โคตรแข้งทองฝังเพชรอย่าง หลุยส์ ฟิโก้, ซีเนดีน ซีดาน, โรนัลโด้ R9, ริวัลโด้, เดวิด เบ็คแฮม, ไมเคิล โอเว่น, ฟาบิโอ คันนาวาโร่, โรนัลดินโญ่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ลิโอเนล เมสซี่, กาก้า, หลุยส์ ซัวเรส, เนย์มาร์ และล่าสุด เอแด็น อาร์ซา ซึ่งล้วนแล้วแต่มีชื่อคับก้อง ไม่มีใครบนโลกนี้ไม่รู้จัก อย่างนี้สิถึงขึ้นชื่อว่าระดับโลกจริง เลือกที่จะเล่นให้กับสองยักษ์ใหญ่นี้เท่านั้น
นั่นเป็นเพราะว่า สองสโมสรแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มาอย่างยาวนาน ประเพณีที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นอย่างเข้มขลัง เป็นมนต์สะกดให้นักเตะดังๆ อยากเข้ามาค้นหา อย่างรีลมาดริด ที่ครองความเป็นเจ้ายุโรปถึง 13 สมัย นักเตะหน้าไหนก็อยากมาร่วมทีมเพื่อประสบความสำเร็จในอาชีพ ทั้งกับสโมสรและเกียรติยศส่วนตัว ส่วนบาร์เซโลนา ที่มีฉายาว่า "เจ้าบุญทุ่ม" อันเนื่องมาจากความร่ำรวยของสโมสรในสมัยก่อน อยากได้ใครเป็นต้องกระชากตัวมาให้ได้ เพื่อเอามาต่อกรกับคู่อริตลอดกาลอย่างเรอัล มาดริด ประกอบกับสนามเหย้าของทีม "คัมป์ นู" ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โอ่อ่า อลังการสมฐานะ
มันเลยทำให้เกิดการขับเคี่ยว ชิงดีชิงเด่นแย่งแชมป์ลีกกันแค่สองทีมอยู่แทบทุกปี ที่พอสอดแทรกได้บ้างก็เห็นจะมีเพียง แอตเลติโก มาดริด เท่านั้นในปัจจุบัน ส่วนเซบีย่า ออร่ายังไม่เข้าขั้น, บาเลนเซีย มันเป็นอดีตไปแล้ว นอกนั้นก็เป็นเพียงแค่ไม้ประดับ
แต่ในระดับภูมิภาคทวีปยุโรปนั้น จะสังเกตได้ว่า ตัวแทนจากสเปนล้วนแล้วแต่เข้าไปสู่รอบลึกๆทั้งสิ้น และบั้นปลายก็คว้าถ้วยรางวัลมาครองได้สำเร็จ อย่างรีล มาดริด ที่เคยฟาดแฮททริคแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัยติด ส่วนเซบีย่า ก็เอามั่ง คว้าถ้วยยูโรป้าลีกมันสามสมัยติดเช่นกัน และล่าสุดก็ได้แชมป์ถ้วยนี้อีกแล้ว รวมเป็น 6 สมัย ซึ่งนับว่าไม่ธรรมดาเลย
นั่นแปลว่าอะไรครับ แปลว่าลา ลีกา สเปน อาจเป็นลีกที่แข็งแกร่งและดีที่ที่สุดในยุโรป อันเนื่องมาจากผลงานในเวทีระดับทวีปนั่นเอง ซึ่งหมายความว่า ทีมอันดับรองลงไปจากเรอัล มาดริด และบาร์เซโลนา ล้วนแล้วแต่เขี้ยวลากดินทั้งนั้น ไม่ว่าจะทีมเล็กหรือทีมระดับกลางๆ
3.บุนเดสลีกา เยอรมัน
Cr. Google.com
อีกลีกหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าอุดมไปด้วยว่าที่ซูเปอร์สตาร์เดินกันขวักไขว่ ชนไหล่ให้เกลื่อนลีกไปหมด พอเริ่มมีออร่าเปล่งประกาย ก็จะถูกซื้อตัวไปโดยทีมจากลีกอื่นที่มีกำลังจ่าย อ๊ะ อ๊ะ!! ไม่ใช่ว่าบุนเดสลีกาเป็นลีกระดับรอง ที่จะปั้นแต่นักเตะเพื่อขายส่งออกนำเงินเข้าสโมสรอย่างเดียวนะครับ แต่มันมีเหตุผลในตัวของมันเองอยู่ ผมจะเล่าให้ฟัง
ขึ้นชื่อว่าชนชาติเยอรมัน ความเป็นระเบียบ จริงจัง วางแผนการทุกอย่าง อย่างมีระบบ รวมถึงเรื่องการใช้จ่ายเงินด้วย
จะเห็นได้ว่าบุนเดสลีกา ไม่เคยมีทีมไหนที่ทุ่มเงินอย่างบ้าเลือดเพื่อดึงตัวนักเตะฝีเท้าระดับโลก ค่าเหนื่อยแพงระยับเข้าสู่มาทีมเลยสักสโมสรเดียว จะมีที่พอจะเป็นเจ้าบุญทุ่มหน่อย ก็บาเยิร์น มิวนิค เท่านั้น อย่างรายล่าสุดคือ เลรอย ซาเน่ ที่ทุ่มซื้อมาจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยราคาค่าหัว 44.7 ล้านปอนด์ แต่ก็เป็นการซื้ออนาคต ซึ่งอยู่บนพื้นฐานการจัดการด้านการเงินอันรอบคอบ บาเยิร์นเป็นทีมเดียวในยุโรปนะครับ ที่ไม่มีตัวเลขติดลบตัวแดงในบัญชี แถมทุกปียังมีผลกำไรที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
นักเตะอย่างเมซุต โอซิล, โทนี่ โครส, เลรอย ซาเน่ตอนอยู่ชาลเก้, มิชาเอล บัลลัค, ซามี่ เคดิร่า, มาร์ค-อันเดร แทร์ สเตเก้น รวมถึง ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นว่าที่ซูเปอร์สตาร์ที่กำลังรอวันเฉิดฉายกันทั้งนั้นในตอนที่ค้าเกือกอยู่ลีกเยอรมัน เมื่อจังหวะที่ทีมเงินถุงเงินถังกำลังต้องการตัว ก็พร้อมจะเทขายเพื่อทำกำไร แล้วก็แปลงร่างกันไปเป็นซุป'ตาร์ กันทั้งสิ้น
แต่นั่น ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพของทีมลดลงไปเท่าไหร่ ในความคิดเห็นของผม สโมสรในบุนเดสลีกานั้น มีทีมงานแมวมองที่สุดยอดสายตาแหลมคมดั่งเหยี่ยว ซื้อมาถูก กูก็ปั้นแม่มสักสองสามปี พอได้ราคาดี กูก็ขายให้แพงๆ เอากำไรมาต่อทุน ตัวอย่างก็ ดอร์ทมุนด์นั่นปะไร ที่ตอนนี้กำลังคาราคาซังกับดีลของซานโช่อยู่ เอ้าเฮ้ยแมนยู!! มึงจะเอาป่าว 108 ล้านปอนด์ ราคานี้ราคาเดียวขาดตัว ซื้อก็ซื้อ ถ้าไม่มีปัญญาก็เรื่องของมึง กูไม่อยากคุยกับพวกโบ๋ เชี่ย!! เหม็นสาบผู้ดีตกยาก
บุนเดสลีกา ระยะหลังอาจจะผูกขาดแชมป์แม่มอยู่ทีมเดียวคือ บาเยิร์น แล้วมีมาทำให้เสียวช่วงก่อนเข้าโค้งสุดท้ายคือ ดอร์ทมุนด์ แต่ในบั้นปลายเสร็จเสือใต้เกือบตลอด นั่นเป็นเพราะกลยุทธ์ทางการตลาดที่พี่เสือแกเล่นซื้อนักเตะตัวท็อปมันในลีกนั่นแหละ เตะตัดขาเถรกวาดลานชาวบ้านเขา ไอ้ตัวเก่งๆ มากระจุกรวมกันอยู่นี่หมด ผมพยายามศึกษากลไกการซื้อตัวของบาเยิร์นอยู่นะครับ ว่าทำไมทีมอย่างดอร์ทมุนด์ถึงยอมขาย โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ให้เสือใต้เพื่อเอามาเป็นหอกข้างแคร่ หรือแม้แต่ มานูเอล นอยเออร์ ที่ซื้อมาจากชาลเก้ในราคาที่ถือว่าไม่แพงเลย
ส่วนเรื่องความนิยมนั้น ถ้าใครเคยดูถ่ายทอดสดฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน จะเห็นว่าแฟนบอลของทุกทีม ไม่ว่าจะทีมเล็กทีมใหญ่ ล้วนแน่นขนัดทุกนัด เชียร์สนุก เป็นระเบียบ แต่ดูปลุกเร้า ให้กำลังใจนักเตะตัวเองตลอดเวลา นั่นคือความนิยมภายในประเทศ ส่วนภายนอกประเทศนั้น ดูได้จากการที่ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ตามหลังพรีเมียร์ลีก อังกฤษไกลๆ ในอันดับสอง นั่นแปลว่า ผู้ชมจากนอกเยอรมัน มีไม่น้อยเลยที่ให้ความนิยมในการชมเกมบุนเดสลีกา และหากวัดกันที่ความสำเร็จในระดับยุโรป ทีมจากเยอรมันก็ประสบความสำเร็จในระดับเทียบเคียงกับทีมจากบิ๊กไฟว์ด้วยกันอย่างไม่น้อยหน้า อย่างล่าสุด ที่บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมาครองได้เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา
แต่สำหรับผม ถ้าวัดกันกับพรีเมียร์ลีกและลา ลีกา คุณภาพเกมอาจไม่ต่าง แต่เรื่องความแข็งแกร่งภายในลีกนั้น ยังเหลื่อมล้ำและห่างชั้นกันพอสมควร
4.กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี
Cr. Google.com
ย้อนไปเมื่อซักราวๆ ผมอายุ18 สมัยยังเป็นนักศึกษาอยู่ ยุคนั้นกัลโช่ เซเรียอา ได้ขึ้นชื่อเลยว่าเป็นลีกที่หิน และแข็งแกร่งที่สุดในยุโรป 7 ทีมเป็นอย่างน้อย จะต้องมีซุป'ตาร์ระดับโลกประดับทีมอย่างน้อย 3 คน ยูเวนตุสมี ซีดาน, เดล ปิเอโร่, อินซากี้, ดาวิดส์/อินเตอร์มิลานมี วิเอรี่, โรนัลโด้ R9, ซิเมโอเน่, ซาเน็ตติ/เอซีมิลานมี โบบัน, เวอาห์, มัลดินี่, อัลแบร์ตินี่/ลาซิโอมี ซาลาส, เนสต้า, เนดเวด/ปาร์ม่ามี เวรอน, เครสโป, คันนาวาโร่, ตูราม/โรม่ามี ต็อตติ, คาฟู, อัลแดร์เอีย/ฟิออเรนติน่ามีบาติสตูต้า, รุย คอสต้า, มิยาโตวิช เป็นต้น
ปัจจุบัน เป็นยุคเสื่อมถอยอย่างแท้จริงของเซเรียอา อิตาลี ด้วยรูปเกมแบบเดิมๆเหมือนที่เคยเป็นมาแต่ดึกดำบรรพ์ เน้นตั้งรับเหนียวแน่นแบบคาเตนัคโช่ ในแบบฉบับฟุตบอลอิตาลี ซึ่งน่าเบื่อ อืดๆ เนือยๆ ซุป'ตาร์ที่ตอนนี้น่าจะมีเพียง CR7 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอยู่ภายในลีก นอกนั้นถึงจะฝีเท้าดี แต่โลว์โปรไฟล์
จากอดีต ที่เคยเข้มข้น ขับเคี่ยวกันจนแมทช์สุดท้าย กลับกลายเป็นว่ามีเพียง ยูเวนตุสทีมเดียวที่ผูกขาดการเป็นแชมป์มานาน 9 ปีแล้ว แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำดำดิ่งอย่างแท้จริง จะเห็นมีเพียงที่พอจะมีเรี่ยวแรงสู้หน่อยก็ อินเตอร์มิลาน ส่วนลาซิโอ และโรม่านั้นก็พอจะเบียดไปได้ แต่พอเอาเข้าจริง กว่าจะตั้งลำกันได้ ม้าลายก็วิ่งฉิวไปไหนต่อไหนแล้ว ส่วนเอซีมิลานก็แทบไม่เหลือเค้าคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับม้าลายเลย ปาร์ม่ากลายเป็นทีมดาดๆ กระจอกๆ ในขณะที่ฟิออเรนติน่าเปลี่ยนสถานะเป็นทีมหนีตกชั้น ที่น่าจับตามองหน่อยก็อตาลันต้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะยืนระยะได้นานแค่ไหน ก็ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความนิยมในการชมเซเรียอา จึงลดน้อยถอยลง ชนิดว่าค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดยังต่ำกว่าลีกเอิง ของฝั่งเศสเสียอีก
ถ้าให้พูดกันแบบตรงๆเลย ผมก็ยังไม่เคยคิดอยากจะดูมาหลายปีดีดักแล้ว นับตั้งแต่อิตาลีได้แชมป์โลกเมื่อปี 2006 รู้สึกว่าการจัดการฟุตบอลลีกภายในอิตาลีก็ไม่ค่อยโปร่งใส ทีมใหญ่ๆอย่างยูเว่ เหมือนได้อภิสิทธิ์แอบแฝงบางอย่าง โอเคว่าในเกมระดับยุโรปนั้น ทั้งม้าลายและงูใหญ่ทำได้ดีพอสมควร แต่โดยองค์รวมก็คล้ายกับบุนเดสลีกา เยอรมันนั่นแหละ คือเหลื่อมล้ำกันพอสมควร แต่ที่แตกต่างและแย่กว่าคือคุณภาพเกม สไตล์ฟุตบอลแบบอิตาลี มันน่าเบื่อ!!!
5.ลีก เอิง ฝรั่งเศส
Cr. Google.com
ดูเหมือนการมาของตระกูล อัล เคไลฟี่ และ Qatar Sport Investments ได้เปลี่ยนขั้วอำนาจจากเดิมที่ ลียง ผูกขาดการเป็นแชมป์ลีกเอิง อยู่หลายปี ให้โมเมนตั้มมันหันเหมาที่เมืองหลวงบ้าง
เท่านั้นยังไม่พอ การหว่านเม็ดเงินของกลุ่มทุนใหญ่เพื่อดึงซูเปอร์สตาร์มาประดับทีม ด้วยจุดประสงค์จะครองบัลลังก์แชมป์ลีกเอิงแต่เพียงผู้เดียวอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมถึงเป้าหมายอันสูงสุดคือคว้าแชมป์ยุโรปให้จงได้ มันได้เปลี่ยนจุดโฟกัสจากกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี มาสู่ลีกเอิง เพราะปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง ระดมซื้อซุป'ตาร์ส่วนใหญ่ มาจากลีกอิตาลี ไม่ว่าจะเป็น เอดินสัน คาวานี่, เอเซเกล ลาเวซซี่, ติอาโก้ มอตต้า, ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ติอาโก้ ซิลวา แน่นอนล่ะว่า มันทำให้ผู้ชมส่วนหนึ่ง หันมาสนใจลีกเอิงกันมากขึ้น
ยิ่งเมื่อได้พ่อยอดชายนาย เนย์มาร์ มาจากบาร์ซ่า ด้วยค่าตัวสถิติโลกแล้วด้วย ยอดผู้ชมการถ่ายทอดสดยิ่งพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
มันทำให้ลีกเอิงเป็นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ใครก็อยากดู เนย์มาร์ เล่นกันทั้งนั้น
ทีนี้มาดูองค์รวมของลีกเอิงดีกว่า แต่ก่อน ลีกเอิงจะผลิตนักเตะฝีเท้าดีป้อนสู่ตลาดไปทั่วยุโรป เมื่อขายออกไปแล้วก็มองหาเยาวชนฝีเท้าดีจากทั่วทุกมุมฝรั่งเศสมาปั้นต่อ ให้โอกาสลงสนามตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เมื่อมีทีมใหญ่ๆสนใจ ก็ขายออกทำกำไรอีก เป็นอยู่อย่างนี้รุ่นสู่รุ่น
ปัจจุบัน มีเพียงลียงทีมเดียวเท่านั้น ที่สามารถต่อกรกับเปแอสเช ได้อย่างสูสี นอกนั้นดูเหมือนจะห่างชั้นกันมากเกินไปทั้งหมด แม้แต่โมนาโกที่เคยแข็งแกร่ง หากแต่จุดอ่อนก็คือไม่สามารถรักษาความสม่ำเสมอเอาไว้ได้ ส่วนยักษ์หลับอย่างมาร์กเซย ชั่วโมงนี้ ก็หมดปัญญาจะต่อสู้
เพียงแต่รูปเกมต่างหากที่น่าติดตาม แม้คุณภาพเกมจะไม่เข้มข้นเท่าพรีเมียร์ลีก และบุนเดสลีกา แต่ก็แฝงไปด้วยความสนุกตื่นเต้นมากกว่าเซเรียอาเป็นไหนๆแล้วถ้านัดไหนได้ดูแมทช์ที่ เนย์มาร์ลงเล่นสดๆ มันก็เหมือนกับได้ดูเต้นระบำบนฟลอร์หญ้าดีๆนี่เอง จึงไม่น่าแปลกที่ในอนาคตอันใกล้ ทีมในลีกเอิงที่ได้รับส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์โทรทัศน์ อาจมีการเสริมทัพด้วยผู้เล่นคุณภาพเพื่ออัพเกรดตัวเองให้มีเขี้ยวเล็บพอที่จะต่อกรกับเปแอสเชและลียงได้บ้าง
นั่นหมายความว่า เมื่อถึงจุดนั้น ลีกเอิงจะแข็งแกร่งขึ้น ยกระดับให้เทียบเคียงกับ "บิ๊กไฟว์" ด้วยกันได้อย่างไม่ต้องขัดเขินใคร
แล้วส่วนตัวท่านผู้อ่านละครับ คิดว่าลีกไหนในบิ๊กไฟว์ที่ดีที่สุดในยุโรป?.. .
โฆษณา