17 ต.ค. 2020 เวลา 12:34 • ประวัติศาสตร์
โฆษณาชวนเชื่อที่ถูกเปิดเผย
โดย
นิติภูมิธณัฐ
มิ่งรุจิราลัย
ผู้นำจำนวนไม่น้อยที่ขณะอยู่ในอำนาจได้รับการเคารพรักนับถือจากประชาชน แต่พอสิ้นอำนาจไปแล้วก็มีการนำความชั่วออกมาเปิดเผย ทำให้ภาพลักษณ์ที่ประชาชนเคยจำมาหายไป
ผู้นำตอนอยู่ในอำนาจมีสื่อสารมวลชนอยู่ในมือ มีหน่วยงานของรัฐตามกระทรวงทบวงกรมคอยประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ เพื่อเรียกความน่าเคารพศรัทธาให้กับผู้นำนั้น
ที่เห็นชัดที่สุดก็คือกรณีของโจเซฟ วิสซาริโอโนวิช สตาลิน ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตระหว่าง ค.ศ.1927-1953 เป็นคนที่สร้างระบอบสังคมนิยมโซเวียตตามแนวความคิดสังคมนิยมภายในประเทศเดียวจนประสบความสำเร็จ
26 ปีที่ปกครองสหภาพโซเวียต สตาลินได้รับการยกย่องจากคนโซเวียตอย่างมาก แม้สถาบันมากซ์-เองเงิลส์และเลนินซึ่งผลิตตำราและหนังสือทฤษฎีการเมืองในกรุงมอสโกก็ยังตีพิมพ์งานนิพนธ์ทางการเมืองของสตาลินมากถึง 13 เล่ม
คนโซเวียตอ่านหนังสือของสตาลินแล้วก็เคลิบเคลิ้ม ยกย่องเชิดชูให้เป็นนักคิดและนักปรัชญา เป็นบุคคลที่มีความชำนาญด้านต่างๆ หลายด้าน เป็นบิดาของประชาชน และเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีชีวิตอยู่บนโลก
เช้าตรู่ของวันที่ 6 มีนาคม 1953 มีประกาศข่าวด่วนเรื่องการอสัญกรรมของผู้นำที่ย่ิงใหญ่ของพรรคและประเทศ สตาลินป่วยด้วยโรคหัวใจและอัมพาต อายุ 73 ปี ศพของสตาลินถูกบรรจุในโลงแก้วและไปตั้งไว้ที่ห้องโถงใหญ่ของเครมลิน 3 วัน ประชาชนคนทั้งประเทศร้องไห้ร้องห่มโศกาอาดูรเศร้าอาลัย
https://www.theguardian.com/books/2016/aug/18/last-days-of-stalin-joshua-rubinstein-review#img-1
26 ปีก่อนหน้านั้น สถานีโทรทัศน์ของโซเวียตเปิดเผยแต่ข่าวทางบวกของสตาลินจนประชาชนซาบซึ้งตรึงหัวใจ แม้จะมีข่าวว่าสตาลินสั่งประหารชีวิตคนโน้นคนนี้ แต่ก็เป็นข่าวที่ไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่เป็นเพียงข่าวลือ สมัยนั้นยังไม่มีโซเชียลมีเดีย ข่าวทุกประเภทถูกเซ็นเซอร์ได้ง่าย
สตาลินประสบความสำเร็จในการสร้าง Cult of Personality หรือ Cult of Individual หรือ ‘ลัทธิบูชาบุคคล’ ซึ่งเป็นแนวคิดว่าด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นและการเทิดทูนบูชาผู้นำหรือผู้ปกครองประเทศให้มีสถานะเหมือนพระเจ้า
เลนินรู้จักนิสัยใจคอของสตาลิน ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เลนินเรียกร้องให้ปลดสตาลินออกจากตำแหน่ง
แต่สตาลินถ่วงเวลาจนเลนินตายจึงรวบอำนาจเป็นของตนเอง และค่อยๆ สร้างลัทธิบูชาบุคคล พอถึงวันเกิดอายุครบ 50 ปีของสตาลินใน ค.ศ.1929 สื่อมวลชนทุกประเภทยกย่องสดุดีสตาลินอย่างใหญ่โตและต่อเนื่อง จนชื่อสตาลินกลายเป็นส่วนหนึ่งของพรรค
เมื่อได้รับความศรัทธาแล้ว สตาลินก็กวาดล้างศัตรูทางการเมืองครั้งใหญ่ระหว่าง ค.ศ.1934-1938 จนกุมอำนาจทางการเมืองเอาไว้คนเดียวได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
หลังจากสตาลินถึงแก่อสัญกรรม นิกิตา ครุชชอฟ ผู้นำคนใหม่ของโซเวียตก็ดำเนินนโยบายล้มล้างอิทธิพลของสตาลิน ความชั่วของสตาลินที่ถูกซ่อนเร้นไว้ก็ถูกนำมาเปิดเผย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสั่งลับที่เคยสั่งให้ปราบปรามประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า
1
เมื่อความจริงถูกเปิดเผยอย่างมีหลักฐานครบครัน กระแสการต่อต้านสตาลินก็ขยายแบบไฟลามทุ่ง ทั้งสหภาพโซเวียตและรัฐบริวาร
https://www.rbth.com/history/330850-why-stalins-body-was-removed-mausoleum
แม้แต่ศพของสตาลิน ผู้คนยังไม่ยอมให้ได้รับเกียรติฝังไว้ที่สุสานเลนิน ต้องย้ายศพออกไปฝังไว้ที่กำแพงเครมลินด้านหลังสุสานเลนิน มีการลบชื่อสตาลินออกจากสถานที่ ถนนหนทางทั่วประเทศ เมืองสตาลินกราดก็กลับไปใช้ชื่อเดิมคือวอลโกกราด สมัยก่อนมีรางวัลสาขาวรรณคดีที่ตั้งมาแข่งกับรางวัลโนเบลชื่อรางวัลสตาลิน ประชาชนก็ตะโกนว่าไม่เอา ให้ยกเลิก
ครุสชอฟผู้นำคนใหม่กล่าวสุนทรพจน์ลับประณามระบบทรราชย์ของสตาลิน และการสร้างอำนาจเผด็จการเฉพาะตัวโดยการสร้างแนวความคิดลัทธิบูชาบุคคลเพื่อทำลายหลักการปกครองร่วมกันของพรรค
อนิจจัง อนิจจา เมื่อหมดอำนาจวาสนา เรื่องที่เคยโฆษณาชวนเชื่อไว้ก็ถูกเปิดเผย.
โฆษณา