Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Mr. Roger Green
•
ติดตาม
20 ต.ค. 2020 เวลา 02:52 • ไลฟ์สไตล์
บันทึกความทรงจำแห่งมิตรภาพ ลาว-ไทย
(The Memory of Lao-Thai's Friendship)
ตอนที่ 1
Mr.Roger Green กับ แขวงจำปาสัก
Mr.Roger Green เป็นนามแฝงของผู้เขียน ที่ปรากฏในสื่อโซเชียล ตามเว็บไซ้ต์การท่องเที่ยวแบบเดินป่าเชิงสำรวจ เพื่อศึกษาธรรมชาติและผจญภัย มาตั้งแต่ปี 2004 (2547)
การเผยแพร่ภาพและข้อมูลที่ผ่านมาได้เล่าเรื่องราว และประสบการณ์ เมื่อครั้งได้รับอนุญาตจากแขวงจำปาสัก ให้ทำการสำรวจพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของแขวงจำปาสัก ให้มีข้อมูลเพิ่มเติมจากข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่เดิม หรือยังไม่เคยมี หรือยังรับรุู้ในวงจำกัด เพราะยังไม่เคยมีการสำรวจและจัดทำบันทึกรายละเอียดเนื้อหาและสาระที่สำคัญๆ ของพื้นที่ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อนำไปต่อยอดการพัฒนาต่อไปได้อย่างเหมาะสมเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ในเขตบ้านหนองหลวง เมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก
การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางสื่อโซเชียลในระยะแรกๆ ที่ผ่านมา ที่ปรากฏทางเว็บไซต์ของนักเดินป่าที่รู้จักแพร่หลายและมีสมาชิกนับพัน ก็คือ "คนแบกเป้"
www.khonbaakpae.com
ของกัณฑ์ พัตรพรหม (เสียชีวิตแล้ว), www.
trekkingthai.com
และได้ขยายช่องทางการเผยแพร่โดยสมาชิกของเว็บไซต์ข้างต้นไปสู่เว็บอื่นๆ เช่น
www.panthip.com
,
www.multiply.com
เป็นต้น
การเผยแพร่เพื่อประชาสัมพันธ์มีหลายรูปแบบ ทั้งภาพถ่าย วิดิโอ กระทู้ สารคดี รวมทั้งการเขียนบทวิจารณ์ และบทความทางสื่อออนไลน์ของผู้เขียนเอง ใน
OKnation.net
, Mblog ทาง
manageronline.net
ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณะได้รับรู้ข้อมูลอย่างแพร่หลาย กว้างขวาง ถูกต้อง ทั้งภายในประเทศ ในภูมิภาคใกล้เคียง และทั่วโลก
นอกจากการเผยแพร่ในช่องทางของผู้เขียนเองแล้ว ยังมีช่องทางอื่นๆ ที่สื่อต่างๆ เช่น สิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ นักจัดทำรายการสารคดี เช่น ส่องโลก รวมทั้งจากนักท่องเที่ยวที่เข้าไปสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวบ้านหนองหลวงด้วย ทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ อันมีส่วนอย่างมากที่ช่วยให้การกระจาย การรับรู้ข้อมูลข่าวสารสู่สาธารณะได้อย่างเจาะลึก กว้างขวาง หลากหลาย รวดเร็วยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ แต่ก็มีบางคน บางสื่อที่เผยแพร่ข้อมูลอย่างมั่วๆ เพราะได้ข้อมูลผิดๆ จากแหล่งข้อมูลที่ไม่รู้จริง หรือมีเจตนาบิดเบือน แอบแฝงเพื่อประโยชน์ส่วนตน
ปัจจุบัน แหล่งท่องเที่ยวบ้านหนองหลวงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ที่มีนักท่องเที่ยวเดินป่าและนักผจญภัยจากทุกสารทิศเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากประเทศไทย
กลุ่มคนแบกเป้ (ภาพบน) นับเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด เป็นผู้จุดประกายและนำทางให้กับนักเดินป่ากลุ่มอื่นๆ ทำให้แหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ติดตลาดในแวดวงนักเดินป่าไทยได้อย่างรวดเร็วและแน่นแฟ้น
แต่น่าเสียดายที่ "กัณฑ์ คนแบกเป้" ผู้ก่อตั้งกลุ่ม ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อ 26 มค.2017 ทำให้กิจกรรมของกลุ่มกับบ้านหนองหลวงหยุดชะงักหงอยเหงาไปมาก เพราะไม่มีผู้สานต่อ อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกหลายกลุ่ม ที่เคยเป็นทีมงานหรือสมาชิกกลุ่มคนแบกเป้นั่นเอง
"กัณฑ์ พักพรหม แห่ง คนแบกเป้" นับเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนร่วมในการสร้างตำนานการบุกเบิกแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้กับผู้เขียนมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงขอสดุดีและรำลึกถึง "กัณฑ์ คนแบกเป้" ณ ที่นี้ ด้วยความอาลัยยิ่ง
ต่อไปนี้เป็นบทกลอนประกอบภาพ ที่ปรากฏในหนังสือ "บันทึกความทรงจำแห่งมิตรภาพ บ้านหนองหลวง " หน้า 28-29 ที่พิมพ์เผยแพร่ในปี 2017 (ภาพล่าง)
ก่อนหน้านั้น ราวปลายปี 1989 (2532) หลังจากผู้เขียนลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารสาขาธนาคารทางภาคอีสานแห่งหนึ่ง เพราะมีนักธุรกิจผู้ใหญ่ที่ผู้เขียนรู้จักดีและเคารพนับถือมาตั้งแต่ก่อนเข้าทำงานธนาคาร (2521) ได้ทราบข่าวว่าผู้เขียนกำลังจะลาออกเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว จึงมาชวนให้ไปสานต่องานและเป็นที่ปรึกษาการลงทุนใน สปป.ลาว โครงการของเจ้าสัวโรงงานผลิตเหล้าขาวใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสมัยนั้น (ขณะนั้นยังไม่ใช่อภิมหาเศรษฐีระดับ Top 3 ของประเทศไทยเช่นทุกวันนี้ ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม)
ผู้เขียนเห็นว่ามันท้าทายดี จึงตกลงเข้าไปช่วยสานต่องานจนได้รับอนุญาตตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาล สปป.ลาว ในปี 1991ในนาม บริษัท พาณิชย์เจริญ (ลาว-ไทย) จำกัด โดยมีนายปองศักดิิ์ ว่องพาณิชย์เจริญ (เสี่ยป๋อง) เป็นประธานกรรมการ (เสียชีวิตแล้ว) นับเป็นเอกชนจากประเทศไทยบริษัทแรกที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน จากรัฐบาลลาว แขวงจำปาสัก สปป.ลาว (เหมือนได้ BOI บ้านของไทย) แต่ที่ลาวเรียกว่า FIMC _Foreign Invesment Management Committee )
พอจบโครงการแรกสักระยะ ราวปี 1992 ผู้แทนเจ้าสัว(เสี่ยป๋อง) ที่ไปทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการแรก ได้รับข้อเสนอจากผู้ใหญ่ระดับรองนายกรัฐมนตรีของลาวสมัยนั้น โดยให้ในนามเสี่ยป๋องเองเป็นการตอบแทนที่พาเจ้าสัวใหญ่ไปตั้งโรงงานเหล้า จึงได้มอบโครงการปรับปรุงพัฒนาอาคารเก่าของรัฐให้เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว นั่นคือ อาคารที่เจ้าบุญอุ้ม (ภาพบน) อดีตเจ้าครองนครจำปาสักองค์สุดท้ายได้สร้างไว้ นัยว่าจะเป็นบ่อนคาสิโนแต่ยังสร้างไม่เสร็จ
ช่วงนั้นเป็นยุคที่อเมริกาปกครองราชอาณาจักรลาว แต่ถูกรัฐบาลของกองทัพประชาชนปฏิวัติลาวเนรเทศ (บางข้อมูลว่าหลบหนีออกนอกประเทศ) ไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงก่อนสงครามที่พรรคประชาชนปฏิวัติ ปลดปล่อยประเทศชาติสำเร็จ และประกาศอิสรภาพ ในปี 1975
ต่อมาอาคารหลังนี้ ถูกเรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า"เฮือนใหญ่ประชาชน" (ເຮືອນໃຫຍ່ປະຊາຊົນ)ชาวบ้านเรียกว่า"ศาลาพันป่อง“ (ສາລາພັນປ່ອງ)“เพราะเป็นอาคารที่มีประตูหน้าต่างรวมกันเกือบ 1 พันบาน ต่อมาเป็นที่รู้จักและเรียกขานกันว่า "วังเจ้าบุญอุ้ม"
อาคารหลังนี้ เป็นอาคารคอนกรีต สูง 7 ชั้นๆบนสุดเป็นอาคารโดมคล้ายศาลาชมวิว ตัวอาคารตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของตัวเมืองปากเซ ติดถนนหมายเลข 13 ใต้ ด้านทิศตะวันออกติดกับวัดพระบาท ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ด้านหลังหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับแม่น้ำเซโดน (เซ แปลว่าแม่น้ำขนาดเล็ก)
แม่น้ำเซโดนเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง ที่ไหลผ่านด้านหลังอาคารไปทางทิศตะวันตกอีกราว 2 กิโลเมตรเศษ ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ตรงปากแม่น้ำเซโดนที่ไหลลงแม่น้ำโขงเรียกว่า "ปากเซ" อันเป็นที่มาของชื่อเมืองปากเซ นั่นเอง
ตรงปากแม่น้ำเซโดนจุดที่ไหลลงแม่น้ำโขงในสมัยนั้น ยังไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำเหมือนในปัจจุบัน จะมีทางคอนกรีตแยกจากในตัวเมืองลาดลงชิดแนวขอบตลิ่งของแม่น้ำด้านทิศตะวันออก(ฝั่งซ้าย)ยาวกว่า 20 เมตร ต่ำลงไปเรื่อยๆ เกือบถึงระดับน้ำต่ำสุด เป็นที่ตั้งท่าเรือเฟอรี่ข้ามฟากขนาดใหญ่ ใช้เครื่องยนต์ดีเซลมีกำลังเกือบ 1000 แรงม้า รองรับ รถบรรทุก 10 ล้อ ได้ราว 7-8 คัน หรือรถบรรทุกท่อนซุงยาวสิบกว่าเมตรได้ 4 คัน พร้อมบรรทุกคนโดยสาร รถสามล้อ มอเตอร์ไชด์ จักรยาน สินค้านานาชนิด ได้อีกมาก รวมน้ำหนักบรรทุกน่าจะเฉียดๆ100 ตัน
เรือลำนี้ชื่ิอว่า "นาวาจำปา" ลาวเรียกเรือชนิดนี้ว่าเฮือบัก (ເຮືອບັກ) ที่ขึ้น-ล่องเชื่อมการคมนาคมขนส่งฝั่งเมืองโพนทองหรือเมืองเก่ากับเมืองปากเซ หรืออำเภอเมืองของแขวงหรือจังหวัดจำปาสัก จวบจนกระทั่งสร้างสะพานสำเร็จจึงย้ายเฮือบักไปใช้ที่แขวงอื่น
ส่วนสะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น ดังที่เห็นในปัจจุบัน(ภาพบน) เป็นความช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่น ลักษณะกึ่งสะพานแขวน ความยาว 1380 เมตร จุดที่ตั้งฝั่งเมืองโพนทอง อยู่ที่ตีนภูสะเหล้า สำเนียงลาว ออกเสียงว่า พู-สะ-เหล่า (ພູສະເຫຼ່າ)
ส่วนฝั่งเมืองปากเซอยู่หน้าโรงแรมแกรนพาเลซ ใกล้กับตลาดดาวเรืองในปัจจุบัน สะพานแห่งนี้เปิดใช้เมื่อปลายปี 2000 (2553) นับเป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่สอง แต่เป็นการเชื่อมในแผ่นดินลาวเอง ไม่ใช่เชื่อมระหว่างลาว-ไทย
ส่วนสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งแรกและเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างประเทศลาวกับไทยแห่งแรกด้วย คือสะพานมิตรภาพลาว-ไทย 1 (ภาพล่าง) ที่เชื่อมระหว่างจังหวัดหนองคายกับนครเวียงจันทน์ พิธีเปิดใช้เมื่อ 8 เมษายน พ.ศ.2537 (1994)
เมื่อพูดถึงภูสะเหล่า อาจมีผู้สงสัยว่าทำไมถึงเรียก (ເອີ້ນ)เช่นนั้น ทั้งนี้เพราะมีตำนานเล่าขานเป็นนิทานก้อม กล่าวถึงภูเขา 5 ลูกที่อยู่ใกล้กัน ภูเขาลูกแรกคือ ภูมะโรง คือภูเขาที่ยอดแหลมสูงๆ (ภาพล่าง)
หากเดินทางเข้ามาจากด่านช่องเม็กไปเมืองปากเซ จะเห็นภูมะโรงสูงเด่นเป็นสง่าขวางหน้าอยู๋ เลยภูมะโรงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ (ทางขวา) ภูเขาที่มียอดสูงที่ปลายยอดมีติ่งคล้ายจุกหัวนมหรือหัวจุกบนเกล้าผม คือภูจำปาสักหรือภูเกล้า (ภาพล่าง) ซึ่ง ณ ตีนภูเขานี้ฝั่งทิศตะวันออกจะเป็นที่ตั้งของปราสาทหินวัดพูที่เป็นมรดกโลก(ภาพล่างถัดไป)
ส่วนภูเขาทางตะวันตกที่ไม่สูงนักมีสามลูกซ้อนทับกัน แนวลาดเอียงเกือบขนานกับแม่น้ำโขงโดยยอดภูลูกแรกจะเป็นส่วนหัว ยอดที่สองจะเป็นส่วนหน้าอก(นม) และยอดที่สามจะเป็นส่วนลำตัวที่ทอดยาวต่ำไปถึงปลายเท้า หากมองจากฝั่งตัวเมืองปากเซก่อนข้ามสะพาน จะดูคล้ายผู้หญิงนอนหงายเหยียดยาว หรือลอยน้ำอยู่ในแม่น้ำโขง จึงเรียกว่าภูนางนอนหรือนางลอย (ภาพถัดไป) ส่วนภูเขาลูกที่ 5 อยู่คนละฝั่งแม่น้ำโขงทางทิศตะวันออกคือภูบาเจียง ที่เป็นชื่อเดียวกับเมืองบาเจียงเจริญสุข (ภาพล่างถัดจากภูนางนอน)
ตำนานในเรื่องนี้มีหลายเวอร์ชั่น ที่ฟังมาจากหลายคนก็เล่าแตกต่างกัน ไม่มีข้อยืนยันว่าเวอร์ชั่นใดถูกต้อง จึงขอให้ผู้อ่านที่อยากทราบลองสืบค้นและตัดสินกันเอง ส่วนผู้เขียนจะขอไขข้อข้องใจเฉพาะชื่อของนางนอนและภูสะเหล่าเท่านั้น กล่าวคือ ในตำนานบอกคล้ายกันว่า...
"ท้าวบาเจียงยกขันหมากจะไปสู่ขอนางมะโรง แต่นางมะโรงหนีไปโดดแม่น้ำโขงตาย เพราะพ่อจะให้แต่งงานกับชายอื่น ศพนางมะโรงที่ลอยน้ำนั้นกลายเป็นชื่อภูนางนอน หรือนางลอย ส่วนท้าวบาเจียงก็เสียใจมาก จึงเทขันหมากที่มีเหล้ายาปลาปิ้งทิ้ง (คงเป็นเหล้าไห)กลายเป็นภูสะเหล่า นั่นแล
ย้อนกลับมาเรื่องโครงการปรับปรุงพัฒนาอาคารเก่าของรัฐให้เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่เล่ามาข้างต้น อยู่ในยุคของท่าน พลเอก คำไต สีพันดอน เป็นนายกรัฐมนตรี และท่านอ่อนเนื้อ พมมะจัน เป็นเจ้าแขวงจำปาสัก ขณะนั้น และเป็นเจ้าแขวงคนเดียวกับที่ทำโครงการแรก
โรงแรมแห่งนี้นับว่าเป็นโรงแรมหรูแห่งแรกของเมืองปากเซ แขวงจำปาสัก ซึ่งผู้เขียนเป็นผู้ตั้งชื่อโรงแรมแห่งนี้ว่า "โรงแรมจำปาสัก พาเลซ" (Champasak Palace Hotel) (ภาพล่าง)
หลังจากเปิดหลายปี ลูกหลานเจ้าของสัมปทานมีความคิดว่าอยากเปลี่ยนชื่อโรงแรมเป็น"ราชวังจำปาสัก" ตามความหมายในภาษาอังกฤษ จึงเปลี่ยนป้ายชื่อโรงแรมโดยพลการ ขณะที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากแขวง ซึ่งแขวงให้เหตุผลที่ไม่อนุญาต 2 ประการ
ประการแรก สปป.ลาว ไม่มีระบอบกษัตริย์แล้ว จึงไม่ต้องการให้ใช้คำว่า "ราชวัง" เพราะขัดกับระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยกึ่งสังคมนิยม (ไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) แต่หากจะใช้ชื่อนี้จริงๆ ต้องปรับปรุงโรงแรมให้หรูหราสง่างามสมกับที่จะใช้ชื่อว่า"ราชวัง" ซึ่งหมายถึงวังของพระราชา ในที่สุดจึงต้องกลับมาใช้ชื่อ "จำปาสักพาเลซ" ที่ผู้เขียนตั้งให้ดังเดิม
ภาพโรงแรมภาพล่าง จะเห็นว่ามีการสร้างอ่างบัวใหญ่ทรงกลมไว้ ซึ่งบริเวณนี้เดิมเป็นป้อมปืน ที่สร้างคล่อมหลุมหลบภัยสมัยสงคราม ซึ่งป้อมนี้มีตำนานเล่าว่ามีถ้ำเล็กๆ ที่รูถ้ำอยู่ลึกลงไปเป็นช่องแคบๆ สามารถเดินไปได้ไกลทะลุลงไปเชื่อมต่อกับถ้ำพญานาคใต้แม่น้ำโขง ยาวไปถึงวัดพู เมืองจำปาสัก และต่อไปถึงเมืองโขง (เดิมชื่อนาคะบุรี) ซึ่งเชื่อว่าเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ จะจริงเท็จอย่างไรยังเป็นปริศนาคาใจอยู่
ในยุคแรกๆของผู้ได้สัมปทานคนแรก (เสี่ยป๋อง) ไม่ได้ปรับเปลี่ยนป้อมแต่อย่างใด เพียงปลูกต้นไม้และตั้งกระถางต้นไม้ล้อมบังประดับไว้เท่านั้น
แต่ต่อมามีการเปลี่ยนเจ้าของคนใหม่ จึงได้รื้อป้อมนี้ทิ้งและปิดปากถ้ำหรือช่องทางดังกล่าว แล้วสร้างอ่างบัวขึ้นมาแทน ดังที่เห็นในภาพล่าง
ในตอนที่ปรับปรุงโรงแรมเสร็จใหม่ สปป.ลาวเริ่มเปิดตัวเป็นประเทศประชาธิปไตย หลังจากระบอบสังคมนิยมรัสเซีย ในยุคกอบาชอฟ ล่มสลายในปี 1991 ลาวได้ประกาศเป็นประเทศในระบอบสาธารณรัฐ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว ( The Lao People's Democratic Republic)
แต่ยังยึดแนวทางปกครองแบบสังคมนิยม ภายใต้ Slogan "สันติภาพ เอกราช ประชาธิปไตย เอกภาพ วัฒนาถาวร (Peace Independence Democracy Unity Prosperity)
ในปี 2532 (1989) ช่วงแรกที่ผู้เขียนลาออกจากธนาคารเพื่อเข้าไปทำงานในลาว ผู้เขียนได้ตั้งสำนักงานที่ปรึกษาธุรกิจและกฎหมาย (Busines and Law Consultant _IBLC) บริการรับศึกษาตลาดก่อนการลงทุน จัดทำแผนธุรกิจ รวมทั้งการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน เป็นที่ปรึกษาการจัดวางระบบงาน และด้านกฎหมายที่เกี่ยวกับส่งเสริมการลงทุนของประเทศนั้น (BOI)
ในระหว่างการทำงานใน สปป.ลาว 1 ปีเศษ ผู้เขียนมองเห็นศักยภาพในการทำมาหากินด้านที่ถนัดใน สปป.ลาว จึงเปลี่ยนชื่อจากสำนักงานที่ปรึกษาธุรกิจและกฎหมายเป็นสำนักงานที่ปรึกษาธุรกิจและการลงทุน อินโดจีน ( Indochina Business and Investment Consultancy _IBIC) มีเว็บไซต์ในเฟสบุ๊ค ชื่อ
www.facebook.com/ibicthailand
เพื่อรับทำงานที่ปรึกษาการลงทุนในประเทศอื่นๆ ในอินโดจีนด้วย (ขณะนั้นยังไม่มี AEC) โดยเน้นรับงานจากประเทศไทย ลาว เวียตนาม เป็นหลักเรื่อยมา
พอในช่วงหลังที่เกิดประชาคมเศรษกิจอาเซี่ยน (Asean Economic Community) หรือ AEC จึงได้เปิดเว็บไซต์ในเฟสบุ้คอีกเว็ปหนึ่งเพื่อแนะนำธุรกิจที่ปรึกษา ใช้ชื่อเว็ปว่า IBIC.AEC Asean (
www.facebook.com/ibic.aec
)
ในช่วงปี 1997 (2550) ผู้เขียนได้รับจ้อบพิเศษเพิ่มคือเขียนบทความด้านสิ่งแวดล้อมตามโครงการจัดทำบทความ 100 เรื่อง เพื่อให้ประชาชนรับรู้สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายตาม พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2535 ของกรมควบคุมมลพิษ ประเทศไทย ที่มีมูลนิธิศูนย์กฎหมายสิ่งแวดล้อม - ประเทศไทย เป็นผู้รับจ้าง
ผู้เขียนเป็นหนึ่งในทีมงานเขียนบทความด้วย ได้รับโควต้า 10 บทความ จึงไปหาสถานที่สงบๆเพื่อให้มีสมาธิในการทำงาน โดยขึ้นไปเช่าโรงแรมที่เมืองปากช่อง (โรงแรมป้ายืน-องค์เทือง) เป็นสถานที่เขียนบทความดังกล่าว ใช้เวลาเขียนราว 2 เดือน เขียนได้ 13 เรื่องเพื่อคัดเลือกเอา 10 เรื่อง ผ่านเกณฑ์เพียง 8 เรื่อง แต่ละเรื่องความยาวไม่เกิน 4 หน้ากระดาษ A4 ได้รับค่าตอบแทนมาเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง
ในระหว่างที่เขียนบทความ ณ เมืองปากช่องนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนได้พบรักกับสาวลาว จนได้ใช้ชีวิตร่วมกัน โดยจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ในปี 1998
หลังจากนั้นจึงได้เปิดธุรกิจนำเข้าเครื่อง จักรเครื่องมือทางการเกษตรอยู่ปีเศษ ขณะที่เป็นที่ปรึกษาให้บริษัทลาว ชื่อ บริษัทมหาชนผู้ผลิตกาแฟด่านสินชัย
แต่ต่อมาเกิดภาวะผันผวนค่าเงินกีบอย่างหนัก เกิดสภาพเงินเฟ้ออย่างรุนแรงและรวดเร็ว อัตราแลกเปลี่ยนปรับตามอัตรเงินเฟ้อจาก 1 บาท/ 250 กีบ เพียง 1 สัปดาห์ ขยับเป็น 1 บาท/480 กีบ มีผลกระทบกับการดำเนินงานของบริษัทมหาชนดังกล่าวอย่างมาก จนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ จึงต้องยุบเลิกไป
มีทำให้ธุรกิจของผู้เขียนเองที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของบริษัทมหาชนดังกล่าว จึงติดร่างแหประสบปัญหาไปด้วย เพราะซื้อสินค้านำเข้าด้วยเงินสด (เงินบาท) แต่ขายเป็นเงินผ่อนและชำระเป็นเงินกีบเป็นส่วนใหญ่ ราคาสินค้าจึงปรับสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ สินค้าส่วนใหญ่เป็นรถไถนั่งขับ 4 ล้อมือสองจากญี่ปุ่นค้างสต้อกอยู่ 4-5 คันๆละแสนกว่าถึงสองแสนกว่า และอะหลั่ยที่ยังไม่ได้ขาย
ในที่สุดจำเป็นต้องขายขาดทุนตามอัตราแลกเปลี่ยนเดิม เพราะค่าเงินเฟ้อยิ่งนับวันสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีท่าที่จะแข็งค่าขึ้นเลย ต้องยอมขายเท่าทุนก็เท่ากับขาดทุนส่วนต่างของอัตราเงินเฟ้อรวมเป็นเงินเฉียดล้านบาท จึงต้องเลิกธุรกิจนี้ไปในที่สุด
ในปีต่อมาได้หันไปเปิดร้านถ่ายเอกสาร รับพิมพ์งาน ถ่ายรูป ขายอุปกรณ์เครื่องเขียน แบบพิมพ์ อันเป็นร้านแรกของเมืองปากช่องชื่อ ร้าน PT เซ็นเตอร์
กิจการเจริญก้าวหน้าดีพอควร (ภาพล่าง) เป็นกิจการที่แก้ปัญหาด้านงานเอกสารให้กับเมืองนี้ โดยเฉพาะด้านงานที่ต้องติดต่อกับรัฐการ (ລັດຖະການ) ลาวไม่เรียกราชการเพราะเลิกระบอบกษัตริย์แล้ว
ก่อนหน้านั้น การติดต่องานกับทางการต้องใช้เขียนใส่กระดาษสมุดบ้าง กระดาษฟุสแก้ปบ้าง ส่วนกระดาษพิมพ์งานสีขาวแบบ A4 หรือ Legal (Double A) แบบปัจจุบันก็ยังไม่แพร่หลาย กว่าจะเขียนจบต้องใช้หมึกขาวลบแก้ไขคำผิดจนเลอะเทอะไปหมด หรือไม่ก็ต้องเขียนใหม่ทั้งฉบับ แต่หากต้องการพิมพ์เอกสารด้วยคอมพิวเตอร์ ต้องนั่งรถลงเขาไปเมืองปากเซ-ปากข่อง ไป-กลับราว 100 กม. ที่ตั้งร้านอยู่ กม.49 อยู่ฝั่งตรงข้ามกับปั้มน้ำมัน ปตท.เมืองปากช่องปัจจุบันนี้
ในช่วงเปิดร้านแรกๆ ราว 1998 ผู้เขียนจะอยู่ที่ร้านประจำ เพราะต้องคอยบริการลูกค้าด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็ฝึกสอนภรรยาชาวลาวให้ทำเองได้ทั้งการพิมพ์งานด้วยคอมพิวเตอร์ การใช้เครื่องถ่ายเอกสาร การถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตัล การย่อ-ขยาย ออกแบบ และตกแต่งภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การพิมพ์ภาพถ่ายด้วยกระดาษพิเศษ ไม่ต้องล้างฟีล์มและอัดภาพเหมือนสมัยก่อน งานอัดบัตรพลาสติก และการใช้อุปกรณ์อื่นๆ
ถัดมาอีกราวปี 2004-2007 เป็นช่วงที่ได้รับอนุญาตให้เป็นหัวหน้าทีมสำรวจพื้นที่บ้านหนองหลวงและนำนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่สำรวจ จึงเปิดร้านอาหารเพื่อเป็นจุดนัดพบ หรือรวมพลก่อนเดินทางเข้าจุดท่องเที่ยว ชื่อร้าน "จุดนัดพบนักเดินทาง"(The Traveler's Point) อยู่ติดกับร้าน PT Center (ภาพบน)
นอกจากนั้น ในปี 2005 ยังได้รับเกียรติ์ให้เป็นที่ปรึกษาในฐานะผู้เชี่ยวชาญ (ຊຽ່ວຊານ) ด้านประสานงานให้กับโครงการก่อสร้างศูนย์บำบัดและฟื้นฟูสุขภาพผู้ติดยาเสพติดให้โทษ ตั้งอยู่เมืองปะทุมพอน แขวงจำปาสัก ซึ่งเป็นทุนช่วยเหลือแบบให้เปล่าของรัฐบาลไทยแก่ สปป.ลาว จำนวน 500,000$ USD. มีบัตรประจำตัวผู้เชี่ยวชาญ (ຊຽ່ວຊານ) ที่กระทรวงภายใน (มหาดไทย) ออกให้ (ภาพล่าง)
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตค่อนข้างราบรื่นดี มีความสุขกับครอบครัวเพราะกิจการค้าเจริญเติบโตดี โดยไม่มีคู่แข่ง เพราะเป็นกิจการที่ค่อนข้างใหม่สำหรับเมืองนี้ เนื่องจากต้องใช้ความรุู้ และประสบการณ์พอสมควร เป็นงานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
เมืองปากช่องขณะนั้นยังเป็นเมืองชนบท หรือบ้านนอกอยู่ ธุรกิจที่คึกคักมีเพียงธุรกิจค้าไม้ ในขณะที่ทั้งเมืองมีโทรศัทพ์ตั้งโต้ะที่ห้องว่าการปกครองเมือง(ที่ว่าการอำเภอ) เพียงเครื่องเดียว แต่ก็ใช้การไม่ได้ เพราะติดค้างค่าโทรศัพท์จนถูกตัดสาย โทรศัทพ์มือถือก็ยังไม่มีใช้ เนื่องจากยังไม่มีเสาสัญญานเครือข่าย รัฐเองก็ยังไม่สามารถลงทุน เอกชนก็ยังไม่มีใครกล้าลงทุน
ผู้เขียนมองเห็นโอกาสทอง จึงติดต่อขอติดตั้งโทรศัพท์แบบตั้งโต้ะ 1 เลขหมาย มาบริการ สามารถโทรทางไกลต่างประเทศและใช้แฟกซ์ได้ด้วย ซึ่งช่วงนั้นมีพ่อค้าไม้ทั้งไทย เวียดนาม และจีนเข้ามาทำไม้กันอย่างคึกคัก จึงมาใช้บริการทั้งโทรศัพท์และโทรสาร (Fax) ที่ร้าน PT Center กันบ่อยมาก เพราะมีเพียงแห่งเดียว ส่วนใหญ่เป็นการโทรทางไกลกลับประเทศครั้งละหลายนาที ค่าบริการก็ค่อนข้างแพง แต่บรรดาเสี่ยพ่อค่าไม้ไม่เคยเกี่ยง ทำให้ทางร้านมีรายได้จากโทรศัพท์ทางไกลและแฟ็กซ์อย่างเป็นกอบเป็นกำ
ในปลายปี 2000 ได้กำเหนิดบุตรชาย 1 คน (4 ธันวาคม 2000) เป็นการส่งท้ายปีมังกรทองพอดี ผู้เขียนตั้งชื่อลูกชายแบบชื่อคนไทยว่า ธนบดี (ທ້າວທະນະບໍດີ) แปลว่าผู้มีทรัพย์มาก ชื่อเล่นปีเตอร์ (ທ້າວປີເຕີ)
ต่อมาราว 2007-2008 เกิดอุบัติเหตุทางครอบครัวอย่างรุนแรงจนเป็นเหตุให้แยกทางกับภรรยาชาวลาว โดยปีเตอร์อยู่กับแม่ๆเขาได้เปลี่ยนชื่อและใช้นามสกุลของแม่ว่า อภิลักษณ์ สีโคตตะบูน (เขียนเป็นภาษาลาว ທ້າວ ອະພິລັກ ສີໂຄດຕະບູນ) โดยไม่ได้ปรึกษาหารือกันก่อนเลย ภายหลังได้เจอกับแม่ปีเตอร์ อ้างว่าชื่อเดิมทำให้เจ็บป่วยบ่อย และเพื่อนๆที่โรงเรียนมักจะล้อเลียนว่า "บักฐานะบ่ดี หรือ คนฐานะไม่ดี" (ບັກຖານະບໍ່ດີ) ตามสำเนียงลาว (บัก เป็นสรรพนามใช้นำหน้าเรียกคนผู้ชาย )
ปีเตอร์เป็นเด็กเรียนดี เคยเรียนข้ามชั้นจาก ป.2 ขึ้น ป.4 ไม่ต้องผ่าน ป.3 พอจบ ป.4 จากโรงเรียนประถมที่เมืองปากช่อง ก็ได้รับทุนให้จากรัฐบาลเวียดนามให้เข้าเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนของเวียตนามในตัวเมืองปากเซจนจบชั้น ม.6 แล้วสอบชิงทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี ตั้งแต่ปี 2018 หลักสูตรที่เรียน ด้านเทคโนโลยี่สารสนเทศก์ ( Information Technology _IT ) ที่มหาวิทยาลัยกวางนัม (Quang Nam University) สาธารณรัฐเวียดนาม
ปีเตอร์มีเป้าหมายเรียนให้จบระดับปริญญาตรีก่อน แล้วจะกลับมาทำงานหาประสบการณ์สักพัก ถ้าเป็นไปได้ค่อยต่อปริญญาโท เอก ต่อไป แต่อาจเปลี่ยนไปเรียนสายทางการทูต ตามความประสงค์ของแม่ที่อยากให้ลูกชายเป็นนักการทูต
การแยกทางกัน นับเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ต้องกลับไปตั้งหลักที่ไทย ทั้งที่ตั้งใจว่าจะอยู่ สปป.ลาว จนตลอดชีวิต บังเอิญเป็นจังหวะที่ผู้บริหาร มูลนิธิศูนย์กฎหมายสิ่งแวดล้อม-ประเทศไทย (Environmental Law Foundation of Thailand) ต้องการผู้บริหารโครงการวิจัยด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม จึงได้เข้าไปทำงานนี้ที่กรุงเทพฯ เกือบสามปี (2554-2556) ช่วงนั้นจึงไม่มีโอกาสเข้าไป สปป.ลาวเลย
พอจบงานวิจัยที่ กทม.ก็ยังได้เข้า-ออก สปป. ลาว ทั้งท่องเที่ยวและทำงานเกือบทุกแขวงๆ ที่ยังไม่ได้ไปถึงมี แขวงหลวงน้ำทา บ่อแก้ว พงสาลี อุดมไซ และแขวงหัวพัน ทั้งหมดอยู่ตอนเหนือติดกับ สป.จีน และ เวียดนาม..
ในปลายปี 2011 มีเหตุที่การณ์พลิกผันให้ต้องเข้ามาใช้ชีวิต อยู่ สปป.ลาวอีกครั้ง ...
ปล.ภาพส่วนใหญ่ที่นำมาเผยแพร่ในบทความนี้ เป็นภาพที่ผู้เขียนบันทึกไว้เอง ที่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ มีหลายภาพที่มีผู้นำไปเผยแพร่ แต่อาจมีบ้างที่นำมาจากอินเตอร์เน็ต ที่ไม่ทราบเจ้าของภาพแน่ชัด แต่เชื่อว่าเจ้าของภาพจะยินดีให้เผยแพร่ได้เช่นกัน เพราะไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย อีกทั้งมิได้มุ่งหวังประโยชน์ทางการค้าหากำไร จึงขออภัยและขอบคุณเจ้าของภาพมา ณ ที่นี้
Mr.Roger Green
20 ตค.63
โปรดติดตามต่อ #ตอนที่ 2 ตำนานการเกิดแหล่งท่องเที่ยวบ้านหนองหลวง...
1 บันทึก
23
1
23
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย