20 ต.ค. 2020 เวลา 06:23 • กีฬา
นักเตะที่ครั้งหนึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็น "คาฟูคนต่อไป" แต่ทำไมจึงกลายมาดิ่งเหว และ ไม่มีสังกัดเล่นในเวลานี้ วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าเรื่องของจอน ฟลานาแกนให้ฟัง
1
ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่เก่งมากเรื่องการปั้นแบ็กขวาดาวรุ่งจากอะคาเดมี่ขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่
ในปัจจุบันเราเห็นเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่พัฒนาสุดๆ จนกลายเป็นหนึ่งในแบ็กขวาที่เก่งที่สุดในโลก หรือในยุคก่อนหน้านั้น เราเห็นชื่อของมาร์ติน เคลลี่ และอันเดร วิสดอม ก้าวขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ในช่วงสั้นๆ ก่อนจะไปประสบความสำเร็จกับสโมสรอื่น
จริงๆแล้ว ก่อนที่โลกจะได้รู้จักอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ลิเวอร์พูลได้ปั้นฟูลแบ็กพรสวรรค์คนหนึ่งขึ้นมาประดับวงการ เขาเป็นเด็กท้องถิ่น เกิดในเมืองลิเวอร์พูล และอยู่กับทีมอะคาเดมี่ตั้งแต่อายุยังน้อย มีคุณสมบัติครบทุกอย่างที่จะเป็นกัปตันทีมในอนาคตด้วย
นักเตะคนนี้ มีชื่อว่า จอน ฟลานาแกน
จุดเด่นที่ฟลานาแกนเหนือกว่าใคร คือเขาเล่นฟูลแบ็กได้ยอดเยี่ยมทั้งสองฝั่ง คุณภาพตอนเป็นแบ็กซ้ายหรือแบ็กขวาไม่ต่างกันเลย เขาช่วยลิเวอร์พูลได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีก ในซีซั่น 2013-14 และมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ตอนมีอายุแค่ 21 ปีเท่านั้น คืออนาคตของเขาดูสดใส เรืองรองมากๆ
แต่เหตุการณ์ชีวิตของเขาพลิกผันอย่างรวดเร็วจนไม่คาดคิด ณ เวลานี้ เขามีอายุ 27 ปี ซึ่งควรจะอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพ แต่ความจริงคือตอนนี้ ฟลานาแกน ไม่มีสโมสรใดจ้างเขาให้เล่นฟุตบอลด้วย แม้แต่ทีมในลีกล่างๆ ก็ไม่มีใครยื่นข้อเสนอเลย
มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา เราจะย้อนอดีตไปด้วยกัน
คุณพ่อของจอน ฟลานาแกน (Jon Flanagan) ชื่อจอห์น (John) อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่สะกดคนละแบบ
คุณพ่อจอห์น เคยเป็นเด็กฝึกหัดของลิเวอร์พูลเช่นกัน และเคยเป็นเด็กขัดรองเท้าของเคนนี่ ดัลกลิชด้วย
ในช่วงดาวรุ่ง จอห์นถือว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีพรสวรรค์ แต่พออายุ 17 เขาไม่ได้รับสัญญานักเตะอาชีพกับสโมสร สุดท้ายจึงต้องยอมรับความจริง แล้วไปเอาดีทางการเรียนหนังสือแทน
"คุณพ่อบอกผมว่า ที่เขาไม่ได้รับเลือก เพราะเขาเองใจไม่แกร่งพอเอง ยังทำอะไรแบบกล้าๆกลัวๆ ซึ่งเขาก็บอกผมว่า อย่าสร้างความผิดพลาดซ้ำเดิมเหมือนพ่ออีก" ฟลานาแกนเล่า "การที่พ่อบอกอย่างนั้น มันเป็นคำแนะนำที่มีค่ามาก เพราะมีนักเตะไม่กี่คนที่มีพ่อ ที่เคยเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสรมาก่อน"
ฟลานาแกน สูง 181 เซนติเมตร โครงสร้างร่างกายแข็งแรง จุดเด่นคือกระโดดสูงมาก นอกจากนั้นยังวิ่งเร็ว แต่ความโดดเด่นที่ทุกคนทึ่งที่สุดคือเขาเล่นเต็มที่เกินร้อยมาก วิ่งสู้ฟัด อัดทุกลูก นั่นทำให้เขาถูกเลื่อนมาเล่นทีมชุดใหญ่ ตั้งแต่อายุ 18 ปี ในพรีเมียร์ลีกซีซั่น 2010-11 ยุคของเคนนี่ ดัลกลิช
เว็บไซต์บลีชเชอร์รีพอร์ท ทำสกู๊ป 40 นักเตะดาวรุ่งอายุไม่เกิน 20 ปี ที่จะกลายเป็นสตาร์คนต่อไปของวงการ โดยในลิสต์นั้น มีนักเตะดังๆอย่าง ธีโบต์ กูร์กตัวส์, คูตินโญ่, มาริโอ เกิตเซ่, เดวิด อลาบา และเนย์มาร์ รวมอยู่ด้วย ซึ่งในลิสต์นั้นก็มีชื่อ จอน ฟลานาแกน เช่นเดียวกัน
มันแสดงให้เห็นเลยว่า โลกฟุตบอลให้คุณค่าของเขาไว้สูงมาก ตั้งแต่เป็นเยาวชนแล้ว
ในช่วงฤดูกาล 2012-13 ฟลานาแกน เป็นแบ็กขวาเบอร์ 3 ของทีม ต่อจากเกล็น จอห์นสัน และ มาร์ติน เคลลี่ นั่นทำให้สโมสรอื่นยื่นข้อเสนอยืมตัวไปใช้งาน แต่ฟลานาแกนปฏิเสธทั้งหมด "ผมไม่คิดว่าการย้ายทีมเป็นทางเลือกที่ดี ผมอยากอยู่ที่นี่ และรอคอยโอกาสมากกว่า" ซึ่งอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่อยากไปไหน เพราะไม่อยากขึ้นชื่อว่า เคยเล่นให้ทีมอื่นด้วย ความฝันของเขาคือเล่นให้กับลิเวอร์พูลทีมเดียวตั้งแต่ค้าแข้งจนเลิกไปเลย
ในที่สุด โอกาสของฟลานาแกนก็มาถึงในซีซั่น 2013-14 ซึ่งเป็นยุคของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในตอนนั้นแบ็กซ้ายของลิเวอร์พูลมีสองคนคือ โฆเซ่ เอ็นริเก้ และ อาลี ซิสโซโก้ ซึ่งร็อดเจอร์สไม่ชอบสักคน นั่นทำให้เขาตัดสินใจลองขยับเอาฟลานาแกนมายืนเป็นแบ็กซ้ายแทน ส่วนฝั่งขวาก็ใช้เกล็น จอห์นสันไป
กลายเป็นว่าเกมของทีมหงส์แดง คลิกทันที พอใช้ฟลานาแกนเป็นแบ็กซ้าย ลิเวอร์พูลถล่มนอริช 5-1, ถล่มเวสต์แฮม 4-1, บุกอัดสเปอร์ส 5-0 ตามด้วยสอยคาร์ดิฟฟ์ 3-1 คือยิงรัว ยิงสลุต แล้วเกมรับก็ไม่ได้แย่ เสียอย่างมากก็เกมละลูก
ในที่สุด ฟลานาแกน ก็ก้าวมายึดตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จ จากนั้นพอเกล็น จอห์นสันเจ็บ เขาก็โยกไปแบ็กขวาแทนและเล่นได้ดีมากๆเช่นกัน จนทำให้คาฟู แชมป์โลกชาวบราซิล ถึงกับออกมายอมรับว่า เขาเห็นสไตล์ของตัวเอง ในการเล่นของเด็กหนุ่มฟลานาแกน จนมีคนเอาคำพูดนี้ไปแซวฟลานาแกนกันใหญ่ ว่าเป็น "Scouse Cafu" และ "Red Cafu"
"บ้านของผมอยู่ที่อัตติ้ง อเวนิว มันอยู่ห่างจากแอนฟิลด์ 200 หลา เวลาที่แอนฟิลด์มีประตู คุณจะได้ยินเสียงคำรามของกองเชียร์ดังมาถึงหลังบ้านผมเลย" ฟลานาแกนเล่า "ในยุคนี้ มันยากที่นักเตะท้องถิ่นจะมีชื่อเป็นตัวจริงให้ทีมชุดใหญ่ของทีมระดับโลก แต่ผมก็หวังว่าตัวเองจะยึดตัวจริงของทีมไปได้ นานๆอีกหลายปี"
ร็อดเจอร์สเองก็ชอบฟลานาแกนมาก และเขาเองก็ภูมิใจด้วย ที่ให้โอกาสดาวรุ่ง แล้วดาวรุ่งสามารถสร้างความแตกต่างในสนามได้จริงๆ "เขาทำให้ผมคิดถึงสตีฟ นิโคล นักเตะเท้าขวาแต่ไปเล่นฝั่งซ้าย มีความนิ่ง ไม่กลัวใคร เขาเป็นนักเตะที่เหมาะกับการเล่นเกมใหญ่ ตอนนี้จอนเหลือสัญญากับเราอีก 1 ปี แต่ก่อนออกสตาร์ตฤดูกาลใหม่ เราจะจับเขาเซ็นระยะยาวต่อไปแน่นอน"
ซีซั่น 2013-14 จบลงด้วยการที่ลิเวอร์พูลได้รองแชมป์ จากนั้นวันที่ 4 มิถุนายน 2014 รอย ฮอดจ์สัน เรียกตัวฟลานาแกน ติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ โดยลงสนามในเกมพบเอกวาดอร์ ซึ่งเป็นนัดอุ่นเครื่องก่อนฟุตบอลโลกที่บราซิลจะเริ่มต้นขึ้น
ยึดตัวจริงสโมสรได้ จากนั้นได้ติดทีมชาติชุดใหญ่ เส้นทางชีวิตของเขามีแต่ความสดใสรออยู่ข้างหน้า
มีคำกล่าวว่า เมื่อชีวิตกำลังเจออะไรดีๆ ให้ "เผื่อใจ" เอาไว้ เพราะมันไม่มีทางรู้ ว่าคุณจะเจอเรื่องร้ายๆเมื่อไหร่
กรกฎาคม 2014 ฟลานาแกนบาดเจ็บเข่าซ้าย ต้องพัก 2 เดือน ซึ่งก็ไม่ใช่ระยะเวลาที่นานเกินไป ปรากฎว่าพอกันยายนกลับมา อาการไม่ดีขึ้น แพทย์วินิจฉัยใหม่อีกรอบ คราวนี้ต้องเข้ารับการผ่าตัด และพักยาวไปอีกอย่างน้อย 5 เดือน
เดือนมีนาคม 2015 ที่แอนฟิลด์มีเกมการกุศล ระหว่างทีมเจอร์ราร์ด XI ปะทะ ทีมคาร์ราเกอร์ XI ซึ่งเจมี่ คาร์ราเกอร์ได้ถามฟลานาแกนว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง พอเล่นไหวหรือยัง ซึ่งคาร์ราเกอร์อยากชวนฟลานาแกนมาเล่นเกมการกุศลด้วย เพราะนี่คือเด็กอคาเดมี่ที่แฟนๆชอบ
ฟลานาแกนไปถามแพทย์ และระบุว่าสามารถเล่นได้ ดังนั้นเขาจึงลงสนาม ในเกมการกุศลที่ชื่อ LFC ALL Stars โดยลงเป็นตัวจริงในทีมคาร์ราเกอร์ XI
หลังจากลงเล่นไปได้แค่ 30 นาที ฟลานาแกนต้องถูกเปลี่ยนตัวออก เพราะร่างกายไม่สามารถวิ่งได้ดั่งใจ จากนั้นเมื่อเขาไปพบแพทย์ในช่วงต้นเดือนเมษายน หมอบอกว่าเขาต้องผ่าตัดอีกรอบ และต้องใช้เวลาพักประมาณ 8 เดือน
หลังจบฤดูกาล 2014-15 ฟลานาแกนหมดสัญญากับทีมหงส์แดง แต่สโมสร "ซื้อใจ" ด้วยการขยายสัญญาให้ แม้จะรู้ว่านักเตะยังเล่นไม่ได้ เพราะฟลานาแกนคือเด็กปั้นจากอะคาเดมี่ และเป็นคนที่แฟนๆรัก ทีมเลยคิดว่าจะขอลองวัดใจดูอีกสักครั้งละกัน โดยต่อสัญญาฉบับใหม่ให้ในที่สุด
ตุลาคม 2015 ลิเวอร์พูลเปลี่ยนโค้ชจากร็อดเจอร์ส เป็นเจอร์เก้น คล็อปป์ ขณะที่ฟลานาแกน ก็ยังอยู่ในช่วงพักฟื้น และในที่สุด 619 วันแห่งการรอคอย ในที่สุดฟลานาแกนก็กลับมาเล่นฟุตบอลในเกมทางการได้อีกครั้ง ในเอฟเอคัพรอบ 3 เกมพบเอ็กเซเตอร์ ในวันที่ 20 มกราคม 2016 ซึ่งตอนที่เขาเดินลงสนาม ได้รับเสียงปรบมืออย่างดังสนั่นจากแฟนๆหงส์แดงเลยทีเดียว
คล็อปป์ชอบนักเตะเยาวชนที่มาจากอะคาเดมี่อยู่แล้ว และเขาก็พร้อมให้โอกาสฟลานาแกน ในวันที่ 20 มีนาคม 2016 เกมที่ลิเวอร์พูลไปเยือนเซาธ์แฮมป์ตันที่เซนต์ แมรีส์ คล็อปป์ส่งฟลานาแกนเป็นตัวจริง พร้อมให้ปลอกแขนกัปตันด้วย ซึ่งสำหรับฟลานาแกน มันคือความภูมิใจที่เขายากจะอธิบายเช่นกัน
แต่ปัญหาคืออาการบาดเจ็บที่ยาวนาน เมื่อคุณต้องพักไปเกือบ 2 ปี มันทำให้ทักษะต่างๆที่เคยมีหายไปหมด คุณต้องรื้อฟื้นมันตั้งแต่แรก ต้องเข้าคอร์สการฝึกซ้อมที่หนักหน่วงกว่าคนอื่น และยิ่งต้องอยู่กับทีมที่มีความคาดหวังเยอะอย่างลิเวอร์พูล ทำให้ฟลานาแกนมีความกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายพอจบฤดูกาล 2015-16 เขาจึงขอย้ายทีมแบบยืมตัวไปเล่นให้ทีมที่เล็กลง นั่นคือเบิร์นลีย์ คืออย่างน้อยถ้ามีแมตช์เดย์ต่อเนื่อง เขาอาจจะคัมแบ็กกลับมาสู่ฟอร์มเดิมได้เร็วขึ้นกว่านี้
แต่จนแล้วจนรอด ฟลานาแกน ก็ไม่สามารถเรียกฟอร์มที่ดีกลับมาได้ เขาเป็นได้แค่ตัวสำรองของเบิร์นลีย์ ได้ลงเล่นแค่ 6 นัดในพรีเมียร์ลีก ตลอดซีซั่น 2016-17 สุดท้ายเบิร์นลีย์ก็ส่งตัวคืนมาให้ลิเวอร์พูล
ในช่วงปรีซีซั่น 2017-18 ลิเวอร์พูลมีดาวรุ่งคนใหม่ ที่ชื่อเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ก้าวขึ้นมาแล้ว นอกจากนั้นโจ โกเมซ ก็เล่นแบ็กขวาได้ เช่นเดียวกับนาธาเนียล ไคลน์ก็ยังอยู่ ทำให้ฟลานาแกนหล่นลงเป็นแบ็กขวาเบอร์ 4 ของทีม แต่คล็อปป์ก็ยังอยากเก็บเขาไว้อยู่ เพราะนี่เป็นนักเตะท้องถิ่น เป็นความภูมิใจของชาวเมือง ถ้าหากนักเตะเรียกความฟิตกลับมาได้ ก็สามารถเป็นอะไหล่ที่ดีได้ เพราะเล่นได้ทั้งแบ็กซ้าย และขวา แถมยังมีโควต้าโฮมโกรนอีก
1
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น ในวันที่ 22 ธันวาคม 2017 เมื่อมีภาพวงจรปิดนอกร้านอาหารในถนนดุ๊ค สตรีต กลางเมืองลิเวอร์พูล บันทึกภาพชายคนหนึ่งกำลังทะเลาะกับแฟนสาวของตัวเอง
ชายในคลิปคือฟลานาแกน ส่วนผู้หญิงคือ ราเชล วอลล์ แฟนสาวที่คบกันมา 18 เดือน
ภาพในกล้องวงจรปิด แสดงให้เห็นถึง 2 คนที่เมาพอๆกัน เริ่มมีการทะเลาะตบตี ก่อนที่ฟลานาแกนจะจับคอของราเชล แล้วเขวี้ยงลงพื้น จากนั้นพอผู้หญิงลุกขึ้น เขาก็จับที่ท้ายทอยแล้วเหวี่ยงอัดกำแพง แล้วตามด้วยเตะเข้าไปอีกหนึ่งที โดยพยานหนึ่งคนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า เขาพยายามจะไปช่วยหญิงสาว แต่โดนฟลานาแกนสวนกลับมาว่า "หุบปากไป ไอ้เวร ถ้าแกมายุ่ง แกจะโดนอัดร่วงด้วยอีกคน"
หลังจากสร่างเมา ราเชลล์ ไม่ได้เอาความฟลานาแกน ทั้งคู่กลับมาคืนดีกันตามปกติ แต่คลิปนี้ถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว และการทำร้ายร่างกาย รัฐยอมความไม่ได้ มันกลายเป็นคดีอาญาทันที
การสืบสวนคดีเกิดขึ้น ฟลานาแกนยอมรับว่า เพราะเมาจึงขาดสติ ซึ่งด้วยความโชคดีที่ฝ่ายหญิงไม่ได้เอาความ และฟลานาแกนไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมใดๆมาก่อน ทำให้ศาลลงโทษเขา ด้วยการคุมความประพฤติ และทำงานรับใช้สังคม 40 ชั่วโมง พร้อมจ่ายค่าปรับ 170 ปอนด์
ฟลานาแกนยอมรับผิดทุกอย่าง หลังจากศาลพิจารณาคดีเสร็จ เขาก็ยังคบกับราเชลต่อไป โดยเธอออกมาช่วยปกป้องด้วยซ้ำว่า ตลอดเวลาที่คบกัน ไม่เคยมีเรื่องทำร้ายร่างกาย แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น เธอก็เชื่อว่าฟลานาแกนเมา และคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
อย่างไรก็ตาม คนที่ผิดหวังมากๆกับเหตุการณ์นี้ คือสโมสรลิเวอร์พูล แถลงการณ์ของสโมสรระบุว่า "เขาทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองเสียหาย และเราได้แจ้งความผิดหวังกับเขาไปแล้ว เพราะเขาไม่ได้ทำตัวให้สมกับเป็นคนของสโมสรลิเวอร์พูลเลย โดยสโมสรจะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลทุกอย่าง และจะมีการสืบสวนภายในเพิ่มเติมด้วย"
1
คือจริงๆแล้ว คล็อปป์เองก็พร้อมให้โอกาสฟลานาแกนอีกสักนิด ไม่อย่างนั้นก็ปล่อยยืมตัวไปแล้วในซีซั่น 2017-18 แต่พอมีเรื่องทำร้ายร่างกายขึ้นมา คราวนี้สโมสรไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเก็บไว้แล้ว ต้นเดือนมกราคม 2018 จึงปล่อยฟลานาแกน ให้โบลตันยืมตัวครึ่งปี
และจากนั้นเขากลับมาสู่สโมสร ลิเวอร์พูลก็ประกาศว่า จะไม่ต่อสัญญากับฟลานาแกนแล้ว และปล่อยให้นักเตะกลาย เป็นฟรีเอเยนต์ ปิดฉากช่วงเวลา 14 ปีกับสโมสรลงเพียงแค่นี้
ฟลานาแกนมีโอกาสคัมแบ็กอีกครั้ง เพราะตอนโดนหงส์แดงปล่อยทิ้ง สตีเว่น เจอร์ราร์ดที่ย้ายไปคุมกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ติดต่อดึงเขาไปร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัว โดยเซ็นสัญญากัน 2 ปี ซึ่งฟลานาแกนก็ดีใจมาก เพราะเป็นโอกาสให้เขากลับมาสู่เส้นทางฟุตบอลอาชีพอีกครั้ง
ฟลานาแกน ได้ลงเล่นในซีซั่น 2018-19 ถึง 30 นัดทุกรายการ ถือว่าได้เล่นอย่างสม่ำเสมอมากที่สุด นับจากปีที่ได้รองแชมป์กับลิเวอร์พูล แต่พอจบซีซั่นเขาโชคร้ายอีก ต้องเข้ารับการผ่าตัดไส้เลื่อน แล้วพอหายกลับมา ก็โดนแย่งตำแหน่งไปแล้วเรียบร้อย สรุปในซีซั่นที่สอง 2019-20 ฟลานาแกนเลยได้ลงเล่นทุกรายการแค่ 9 นัดเท่านั้น
"ตอนสัญญาหมด สตีวี่บอกผมว่าสโมสรตัดสินใจจะไม่ต่อสัญญา ซึ่งผมไม่ได้โกรธเคืองใดๆเขาเลย ตรงกันข้าม ผมขอบคุณเขามาก ที่ให้โอกาสผมถึง 2 ปี ที่เรนเจอร์ส" ฟลานาแกนกล่าว
หลังจากหมดสัญญากับเรนเจอร์ส เป็นช่วงโควิด-19 ทันที เขากลายเป็นนักเตะฟรีเอเยนต์ ไม่มีทีมสังกัด ซึ่งในสถานการณ์ที่ทุกสโมสรต้องประหยัดเงินทอง เขาเองก็เข้าใจดีว่า การจะหาทีมลงเล่นมันไม่ง่ายนัก
"ผมอยู่กับลิเวอร์พูลมา 14 ปี จากนั้นก็ย้ายไปเรนเจอร์สอีก 2 ปี ตลอดชีวิตผมไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ไร้สังกัดแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลย ที่ต้องลอยเคว้งแบบนี้"
เจมส์ เพียร์ซ อดีตนักข่าวจากลิเวอร์พูลเอ็คโค่ ไปถามฟลานาแกนว่า เขาเสียใจไหม ถ้าหากไม่มีเรื่องราวร้ายๆ ความสำเร็จที่เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ได้รับในตอนนี้ มันอาจจะเป็นของเขาก็ได้
"ไม่ ไม่เลย ผมแค่คิดว่า โชคชะตามันไม่ได้กำหนดให้เป็นผมแค่นั้น ผมชอบมากที่ได้ดูเทรนต์เล่น เขาคือแบ็กขวาที่เก่งท่สุดในโลกตอนนี้ เทรนต์คือนักเตะที่ยอดเยี่ยม และเป็นเด็กดี ผมดีใจกับเขาด้วยจริงๆ" ฟลานาแกนกล่าว "ผมยังจำได้ ตอนที่เขามาที่เมลวู้ดครั้งแรก เขาเป็นเด็กหนุ่มขี้อาย และไม่ค่อยพูดจากับใคร แต่พอเขาได้รับความมั่นใจจากทุกคนในสโมสร อาชีพของเขาก็พุ่งทะยานอย่างที่เราเห็นกัน"
"ส่วนตัวผมคิดว่า เขาจะขยับตำแหน่งจากแบ็กขวา มาเล่นมิดฟิลด์ตัวกลางในอนาคตข้างหน้า ในสมัยเยาวชนเทรนต์เล่นเป็นกองกลาง และเขามีคุณสมบัติทุกอย่างที่กองกลางควรจะมี ผมว่าทักษะการอ่านเกมของเขา จะมีประโยชน์มากกว่าการยืนแบ็กขวา แต่นี่ก็เป็นเรื่องในอนาคตนะ"
ชีวิตของฟลานาแกน จากที่เคยอยู่ในจุดสูงสุด เคยมีความหวังจะกลายเป็นแบ็กขวาตัวจริงทีมชาติอังกฤษ สุดท้ายเขามีปีที่ดีที่สุด แค่ 1 ซีซั่นเท่านั้น
จากนั้นก็เจออาการบาดเจ็บรุมเร้าตลอด และยิ่งไปพลาดหนัก ตอนที่เมาแล้วทำร้ายร่างกายแฟนสาวตัวเอง จนมีภาพลักษณ์ "ติดลบ" ในสายตาคนอื่นๆ
แต่ถึงจุดนี้ เขาก็ไม่ได้ตีโพยตีพายอะไรแล้ว ได้แต่ต้องยอมรับความจริงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว และต้องมูฟออนไปข้างหน้า แค่นั้น
"เรื่องอาการบาดเจ็บหลังจากผ่าตัดทุกอย่าง ตอนนี้มันดีขึ้นแล้ว และผมก็พยายามทำร่างกายให้ฟิตอยู่เสมอ เพื่อรอโอกาสที่จะมาถึงข้างหน้า"
"ส่วนเรื่องการทำร้ายร่างกาย มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย ผมไม่มีข้อแก้ตัวใดๆในเรื่องนั้น"
ทุกวันนี้ ฟลานาแกน ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด ในเมืองลิเวอร์พูลอีกครั้ง และทุกวันเขาจะตื่นมาตอนเช้า วิ่งวันละ 5 กิโลเมตร ก่อนที่จะทำรูทีนการซ้อมด้วยตัวเอง เพื่อเรียกความฟิตเอาไว้ให้มากที่สุด คือถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีสโมสรติดต่อมา เขาจะได้พร้อมลงเล่นทันที เพราะฟลานาแกนเองก็รู้ดีว่า สโมสรต่อไปอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาในอาชีพนักเตะแล้วก็เป็นได้
2
"ตอนนี้ผมอายุ 27 และไม่รู้สินะ แต่ผมยังคิดว่าตัวเอง ยังสู้ไหวอยู่นะ"
จากเรื่องของฟลานาแกน สะท้อนให้เห็นว่า ในชีวิตของคนเรา ต้องเผื่อใจไว้เสมอ กับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น เพราะทั้งสุข และทุกข์ ไม่เคยจีรังยั่งยืนตลอดไป
สุขแล้วเดี๋ยวก็ทุกข์ แต่ทุกข์แล้วเดี๋ยวก็สุข มันสลับวนไปเวียนมาอย่างนี้
อยู่จุดสูงสุดก็ลงมาต่ำสุดได้ และอยู่จุดต่ำสุดก็อาจกลับไปสูงสุดได้อีกครั้ง เราไม่มีทางรู้อนาคตได้หรอก
ดังนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่เราสุข ให้เผื่อใจไว้บ้าง ว่าถ้าวันหนึ่งมีทุกข์เข้ามา เราจะรับมือกับมันได้ดีใช่ไหม
และเมื่อวันไหนที่มีความทุกข์ ก็อย่าบั่นทอนตัวเองขนาดนั้น อย่าเพิ่งท้อแท้คิดว่าโลกจะสลาย เพราะเดี๋ยวโชคชะตาก็จะนำพาความสุข กลับมาให้หัวใจเราเช่นกัน
สุข สุข ทุกข์ ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้
ชีวิตมันก็มีแค่นี้จริงๆ
#Flanagan
โฆษณา