20 ต.ค. 2020 เวลา 15:21 • กีฬา
🤔🤕🤔🤕 ผลเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 2-2 แทบกลายเป็นเรื่องรองทันที เมื่อ ลิเวอร์พูล ต้องมาเสียแข้งหลักอย่าง “เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค” ที่ต้องพักยาว...ความเสียหายมันมากแค่ไหนกันนะ?
เล่นเอา “เดอะ ค็อป” ทั่วโลกเซ็งไปตามกันเมื่อเห็นภาพที่ จอร์แดน พิคฟอร์ด นายด่านทัพ “ทอฟฟี่” เข้าสกัดหนักใส่แนวรับเลือดดัตช์ จนต้องเดินกะเผลกออกจากสนามตั้งแต่นาทีที่ 11 ของการแข่งขันในเกมลีก ก่อนจะมีแถลงการณ์ตามมาว่าแข้งวัย 29 ปี จะต้องเข้าผ่าตัดหัวเข่า แล้วยังไร้กำหนดคืนสนาม
หากพูดถึงความเก่งกาจของเจ้าของค่าตัวกองหลังแพงสุดในโลก 75 ลป. แล้ว เชื่อว่าแฟนทีมคู่แข่งก็ต้องยอมซูฮกให้ เพราะนับตั้งแต่เขาย้ายมาจากเซาธ์แฮมป์ตันในช่วงต้นปี 2018 ก็เข้ามาทำให้เกมรับในถิ่นแอนฟิลด์แข็งแกร่งขึ้นทันตา ถ้วยรางวัลทั้งแชมเปี้ยนส์ ลีก และ พรีเมียร์ลีก คือบทพิสูจน์ที่ดี
แล้วเมื่อย้อนสถิติดูไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านับตั้งแต่เขามาสวมเสื้อทัพ “หงส์แดง” เพิ่งพลาดลงเล่นในพรีเมียร์ลีกไปแค่เกมเดียวเท่านั้น รวมในสองฤดูกาลหลังสุดมีส่วนสำคัญช่วยทีมเก็บไปได้ถึง 196 แต้ม ทั้งจาก 2018/19 ที่ได้ไป 97 แต้ม แพ้แมนฯ ซิตี้ หวุดหวิด และ ล่าสุดปีก่อนเก็บไปได้ถึง 99 แต้ม
โดยในซีซั่นแรกที่เขาลงเล่นแบบเต็มตัวลงเล่นทั้ง 38 เกม ช่วยให้ทีมเสียไปเพียงแค่ 22 ลูกเท่านั้น พร้อมได้ทั้งรางวัลแข้งยอดเยี่ยม PFA และ กองกลังยอดเยี่ยม UEFA ขณะที่ซีซั่นที่ก่อนต้นทีมก็โดนยิงไปทั้งสิ้น 33 ลูก กลายเป็นทีมที่เสียประตูน้อยสุดในลีกสูงสุด บ่งบอกว่าเขาสำคัญต่อทีมแค่ไหน
รวมแล้วกว่า 95 เกมที่ ฟาน ไดจ์ค ลงเล่นตัวจริงให้ลิเวอร์พูล ทีมเสียไปเพียง 78 ลูก และ เก็บคลีนชีทได้ถึง 44 เกม ขณะที่หากเทียบกับ 95 เกมก่อนที่เขาจะมาช่วยทีม สโมสรโดนยิงไปถึง 117 ลูก และ ไม่เสียประตูแค่ 29 เกมเท่านั้น ขณะเดียวกันในช่วงเวลาดังกล่าวก็พังประตูให้กับทีมไป 10 ลูก อีกด้วย
คำถามคือถ้า ฟาน ไดจ์ค พลาดลงช่วยทีมตลอดทั้งฤดูกาลนี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของพวกเขาจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? ตลอดช่วงที่ผ่านมาจะมีทั้ง โฌแอล มาติป และ โจ โกเมส ลงเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเคียงข้างเขา แต่แฟนบอลก็ยังไม่ค่อยปลื้มผลงานเท่าไหร่ เพราะวันไหนฟอร์มหลุดก็ดูไม่จืดเลย
เปิดฉากมา 5 เกมแรกของซีซั่นนี้ ก็เป็นทาง โกเมซ ที่ได้ลงเล่นไป 3 เกม ส่วน มาติป เพิ่งได้เล่นแค่เมเดียว นอกจากนั้นยังมีถอย ฟาบินโญ่ ลงมาเล่นเกมรับในเกมที่เจอกับ เชลซี เมื่อเดือนก.ย. จะเห็นได้ว่ายังแทบไม่มีความแน่นอนอะไรทั้งสิ้น เมื่อขาด ฟาน ไดจ์ค จะฝากความหวังไว้ที่ใครมองไม่ออกจริงๆ
แล้วเมื่อยิ่งดูผลงานการรับมือกับคู่แข่งแล้ว ฟาน ไดจ์ค ก็ทำได้ดีกว่าเพื่อนๆแบบชัดเจน เมื่อจาก 95 เกม เขาโดนฝ่ายตรงข้ามเลี้ยงบอลผ่านไปแค่ 8 ครั้งเท่านั้น ส่วนเรื่องการปิดสกอร์ก็โดดเด่นกว่าชัดเจน เพราะขณะที่เขาทำไปแล้ว 10 ลูก ทาง โกเมซ และ มาติป เพิ่งทำได้ 5 และ 4 ลูกตามลำดับเท่านั้น
งานนี้ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ตำนานแข้งของทีมในฐานะกูรูของสกาย สปอร์ต จึงออกมาแนะนำ คล็อปป์ ว่า ควรหากองหลังหน้าใหม่มาเสริมทีมได้แล้วในช่วงเดือนม.ค.นี้ ถ้าหากยังหวังที่จะป้องกันแชมป์ลีกได้อยู่ ซึ่งชื่อแรกที่ถูกเสนอขึ้นมาคือ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ ของแอร์เบ ไลป์ซิก ที่น่าจะเป็นการแก้ปัญหาถูกจุด
แม้แนวรับเลือดเฟร้นช์วัย 21 ปี จะถูกมองว่ามีปัญหาในเรื่องการเล่นลูกกลางอากาศอยู่บ้าง แต่ทักษะการยืนตำแหน่ง และ อ่านเกม ก็ยังถือว่าไม่ธรรมดาเมื่อเทียบกับในรุ่นเดียวกัน อีกแผนหนึ่งคือเปิดโอกาสให้ดาวรุ่งได้โชว์ฝีเท้าบ้าง ไม่ว่าจะเป็น รีห์ส วิลเลี่ยมส์, เซปป์ ฟาน เดอ เบิร์ก หรือ นาธานเนียล ฟิลลิปส์
แต่สุดท้ายแล้วคงต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าคงยากที่จะหาใครมาทดแทน ฟาน ไดจ์ค ได้จริงๆ แล้วสโมสรก็ดูเหมือนจะติดประมาทไปหน่อยที่ไม่ลงทุนหาซื้อแนวรับมาเสริมทีมในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
งานนี้จึงถือเป็นโอกาสวัดกึ๋นของ คล็อปป์ เต็มๆแล้วว่าจะพาทีมฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร...ป้องกันแชมป์ไม่ง่ายเลย!!!
#VanDijk #Liverpool #PremierLeague #ติดสอยห้อยเล่าเรื่อง
โฆษณา