26 ต.ค. 2020 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
“อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)” นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20” ตอนที่ 1
กำเนิดอัจฉริยะ
“อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)” หลายคนรู้จักนักวิทยาศาสตร์ผู้นี้เป็นอย่างดี
เขาเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของอัจฉริยะ เมื่อพูดถึงไอน์สไตน์ หลายคนจะนึกถึงความฉลาด แม้แต่ในอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ ฝั่งตะวันตก เวลาจะล้อเลียนหรือเรียกคนที่ฉลาดมากๆ ก็จะเรียกว่า “ไอน์สไตน์”
1
แต่เรื่องราวของเขาเป็นอย่างไร ซีรีส์นี้จะเป็นเรื่องราวของเขาครับ
3
“อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)” เกิดที่เมืองอูลม์ เยอรมนี ในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 (พ.ศ.2422)
ภาพที่คาดว่าเป็นอัลเบิร์ตในวัยทารก (แต่บางเว็บก็บอกว่าเป็นภาพของฮิตเลอร์ในวัยทารก)
อัลเบิร์ตไม่ได้ดูพิเศษกว่าเด็กคนอื่นๆ เขาเป็นเด็กรูปร่างจ้ำม่ำ ผิวขาวซีด ผมสีดำหนา
ตั้งแต่เด็ก อัลเบิร์ตเป็นเด็กที่เงียบและขี้อายมาก มากซะจนพ่อและแม่ของเขากังวลว่าลูกชายของตนจะผิดปกติ
พ่อและแม่พาอัลเบิร์ตไปให้แพทย์ตรวจ หากแต่แพทย์ก็ไม่พบว่าอัลเบิร์ตมีความผิดปกติอะไร
มีเรื่องเล่าว่าอัลเบิร์ตนั้นไม่ยอมพูดอะไรซักคำจนมีอายุได้สามถึงสี่ขวบ จนวันหนึ่ง ในเวลาอาหารเย็น อยู่ๆ อัลเบิร์ตก็พูดว่า
“ซุปร้อนเกินไป”
พ่อและแม่ตื่นเต้นดีใจที่ในที่สุดลูกชายก็ยอมพูดออกมาได้แล้ว และได้ถามอัลเบิร์ตว่าทำไมที่ผ่านมาถึงไม่ยอมพูดอะไรเลย อัลเบิร์ตก็ได้ตอบว่า
“ก็จนถึงตอนนี้ ทุกอย่างก็ยังปกติดี”
1
อัลเบิร์ตในวัยเด็ก
เด็กในวัยเดียวกับอัลเบิร์ตต่างวิ่งเล่น ซุกซนตามประสา อีกทั้งยังชอบทหาร หากแต่อัลเบิร์ตนั้นตรงกันข้าม
เมื่อเห็นกองทหารเป็นครั้งแรก อัลเบิร์ตรู้สึกกลัว
1
สิ่งที่อัลเบิร์ตชอบ นั่นคือการฝันกลางวัน คิดเรื่องต่างๆ
1
ถึงแม้จะพูดได้แล้ว แต่ด้วยความที่ลูกชายมีนิสัยแตกต่างจากเด็กทั่วๆ ไป พ่อแม่ของเขาจึงยังคงไม่สบายใจและพาเขาไปพบแพทย์
บางทีอาจจะมีความผิดปกติในสมองของอัลเบิร์ต หากแต่เมื่อแพทย์ทำการตรวจ ก็ไม่พบว่าอัลเบิร์ตมีอะไรผิดปกติ
นี่เป็นเพียงธรรมชาติของอัลเบิร์ต เขาเป็นคนเงียบ ชอบที่จะคิดอะไรเงียบๆ
อัลเบิร์ตในวัยเด็ก
พ่อและลุงของอัลเบิร์ตทำธุรกิจจำหน่ายแบตเตอรี่ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และสายไฟ
ไฟฟ้าคือสิ่งที่ทำให้อัลเบิร์ตรู้สึกสนใจ มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น มีพลังงานมาก หากแต่ก็อันตราย
เมื่อได้รู้จักกับไฟฟ้า คำถามมากมายก็ล่องลอยเต็มหัวของอัลเบิร์ต และเขาก็ถามคำถามเหล่านั้นกับพ่อและลุงของเขาทั้งวัน
ไฟฟ้ามีความเร็วเท่าไร? มีวิธีมองเห็นไฟฟ้าหรือไม่? ไฟฟ้าทำมาจากอะไร? และอีกมากมายหลายคำถาม
พ่อและแม่ของอัลเบิร์ต
นอกเหนือจากไฟฟ้าแล้ว อัลเบิร์ตยังให้ความสนใจในเรื่องของ “เข็มทิศ” เป็นอย่างมาก
อัลเบิร์ตรู้สึกทึ่งที่มีพลังงานที่มองไม่เห็น ทำให้เข็มทิศทำงาน
2
อัลเบิร์ตนั้นมีหลายเรื่องให้คิด หากแต่โรงเรียนก็ไม่สามารถสอนในสิ่งที่เขาสนใจทั้งหมดได้ ดังนั้นเมื่ออายุได้ 10 ขวบ อัลเบิร์ตจึงเริ่มที่จะค้นคว้าหาข้อมูลในสิ่งที่สนใจ และเริ่มศึกษาวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง
2
อีกสิ่งที่ทำให้อัลเบิร์ตสนใจคือ “ไวโอลิน”
1
ดนตรีทำให้อัลเบิร์ตผ่อนคลาย และเขาก็มักจะเล่นไวโอลินกับแม่เสมอๆ โดยภายหลังจากที่เขาโด่งดังไปทั่วโลก เวลาที่เขาเดินทาง จะมีเพียงสองสิ่งที่เขานำติดตัวไปด้วย นั่นคือกระเป๋าเดินทางและไวโอลิน
ขณะมีอายุได้หนึ่งขวบ ครอบครัวของเขาได้ย้ายไปมิวนิค และเขาก็ได้มีน้องสาว นั่นคือ “มาจา ไอน์สไตน์ (Maja Einstein)”
อัลเบิร์ตและมาจา
สำหรับชีวิตในวัยเรียนนั้น อัลเบิร์ตนั้นไม่มีปัญหากับโรงเรียนประถมที่เรียน แต่เมื่อเขาอายุได้ 10 ขวบและขึ้นชั้นมัธยม ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป และเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายสำหรับอัลเบิร์ต
1
พ่อของอัลเบิร์ตได้ถามอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนว่าอัลเบิร์ตควรจะทำงานอะไร อาจารย์ใหญ่ก็ได้ตอบว่า
“ไม่สำคัญหรอก อัลเบิร์ตไม่มีทางประสบความสำเร็จได้หรอก”
1
โรงเรียนที่เยอรมนีนั้นมีกฎที่เข้มงวด นักเรียนต้องแต่งเครื่องแบบ และต้องเดินเป็นแถวตรงไม่ต่างจากทหาร
อัลเบิร์ตขณะเป็นนักเรียน
โรงเรียนในเยอรมนีสอนให้นักเรียนฟังและจำ ไม่ได้สอนให้นักเรียนคิด อัลเบิร์ตไม่สามารถถามคำถามที่อยากรู้ได้
สำหรับวิชาที่อัลเบิร์ตทำได้ดีที่สุดคือคณิตศาสตร์ แต่นอกเหนือจากนั้น เขาไม่มีแววแห่งความสำเร็จเลย เขาไม่ได้สนใจที่จะเล่นกีฬาเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ อีกทั้งแต่ละวิชาก็ทำให้อัลเบิร์ตรู้สึกเบื่อหน่าย
1
อัลเบิร์ตอยากจะมีพี่ชาย พี่ที่เข้าใจความอึดอัดในชีวิตนักเรียน และก็โชคดีที่อัลเบิร์ตได้พบกับ “แม็กซ์ ทัลมีย์ (Max Talmey)”
แม็กซ์ ทัลมีย์ (Max Talmey)
ทัลมีย์เป็นนักศึกษาแพทย์และเป็นเพื่อนกับครอบครัวไอน์สไตน์ โดยเขามักจะร่วมทานอาหารเย็นกับครอบครัวไอน์สไตน์
ทัลมีย์เข้าใจในตัวอัลเบิร์ตและชื่นชมความฉลาดของเขา โดยทัลมีย์มักจะนำหนังสือจากห้องสมุดมาให้อัลเบิร์ตเสมอๆ
อัลเบิร์ตนั้นฉายแววความฉลาดให้ทัลมีย์เห็น โดยทัลมีย์ได้จดลงในบันทึกว่า
1
“ความอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ของอัลเบิร์ตนั้นสูงมาก สูงจนผมตามไม่ทัน”
แต่ถึงอย่างนั้น ทัลมีย์ก็สนับสนุนให้อัลเบิร์ตสนใจในด้านอื่นๆ และในไม่ช้า อัลเบิร์ตก็เริ่มจะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์และศาสนา
ครอบครัวไอน์สไตน์นั้นเป็นชาวยิว หากแต่พ่อแม่ของอัลเบิร์ตก็ไม่ได่เคร่งศาสนา และส่งอัลเบิร์ตไปเรียนยังโรงเรียนคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป อัลเบิร์ตก็ต้องการที่จะปฏิบัติตามธรรมเนียมชาวยิว เช่น ไม่ทานเนื้อหมู แต่ถึงอย่างนั้น อัลเบิร์ตก็ไม่ได้เชื่อทุกประโยคในคัมภีร์ไบเบิ้ล
แต่ถึงจะไม่ได้เชื่อ แต่เรื่องของศาสนาก็ทำให้อัลเบิร์ตมีเรื่องให้คิด
ในเวลาต่อมา อัลเบิร์ตกล่าวว่า ในฐานะของนักวิทยาศาสตร์ จุดมุ่งหมายของเขาคือ “การอ่านใจของพระเจ้า”
ขณะอายุได้ 15 ปี ทัลมีย์ได้ย้ายไปสหรัฐอเมริกา
การสูญเสียทัลมีย์ผู้เปรียบเสมือนพี่ชาย ผู้ที่เป็นไม่กี่คนที่เข้าใจในตัวเขา ทำให้อัลเบิร์ตเสียใจมาก
จากนั้นไม่นาน ครอบครัวของอัลเบิร์ตก็ต้องย้ายไปอิตาลีเนื่องด้วยเหตุผลทางธุรกิจของครอบครัว และให้อัลเบิร์ตเรียนอยู่ที่เยอรมนีเพียงคนเดียว
การถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว ทำให้อัลเบิร์ตทั้งเหงาทั้งโกรธ และยิ่งเกลียดโรงเรียนมากกว่าเดิม
ที่ผ่านมา อัลเบิร์ตไม่เคยเคารพอาจารย์อย่างจริงใจ และในตอนนี้ เขาก็ยิ่งแสดงออกชัดเจนว่าไม่เคารพ
อาจารย์คนหนึ่งเรียกเขาว่าเป็น “สุนัขจอมขี้เกียจ” ส่วนอาจารย์คนอื่นๆ ก็คิดว่าเขาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อนักเรียนคนอื่น
ผลสุดท้าย อัลเบิร์ตถูกไล่ออกจากโรงเรียน
อัจฉริยะอย่างอัลเบิร์ตถูกไล่ออกจากโรงเรียน ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
เรื่องราวของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้านะครับ
โฆษณา