17 ม.ค. 2021 เวลา 02:30 • กีฬา
[ #จบลงด้วยความเจ็บปวด ]
มหากาพย์ระหว่าง เมซุต โอซิล กับอาร์เซน่อลที่ยืดเยื้อต่อสู้กันมายาวนาย ใกล้จะจบลงแล้ว
อดีตตัวรุกทีมชาติเยอรมันสามารถตกลงกับเฟเนร์บาห์เช่สโมสรชั้นนำของตุรกีได้ รวมทั้งเคลียร์ปืนโตได้ลงตัว หากไม่ติดขัดอะไรน่าจะได้ใช้คำว่า "อย่างเป็นทางการ" ใน 2-3 วันนี้
เดิมทีการเจรจาสะดุดเมื่อ โอซิล ไม่ยอมฉีกสัญญาที่เหลืออีก 6 เดือน สถานะฟรีเจ้นต์ต้องแลกกับค่าชดเชย 7.2 ล้านปอนด์ เพราะค่าจ้างที่รับอยู่สัปดาห์ละ 350,000 ปอนด์อยู่แล้ว
แน่นอนอาร์เซน่อลไม่ต้องการควักอีก ที่ผ่านมาตลอด 3 ปีหลังจากต่อสัญญาในปี 2018 ก็ฟันไปมหาศาลแล้ว เดือนละ 1.4 ล้านปอนด์ ปีละ 16.8 ล้านปอนด์ หากเป็น 3 ปีตัวเลขจะอยู่ที่ 50.4 ล้านปอนด์
2
ไม่ผิดนักหากจะบอกว่าอาร์เซน่อลแทบจะสูญเงินเปล่า ไม่ได้อะไรตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอันจาก 50 ล้านปอนด์ดังกล่าวเลย
การตัดสินใจมัด โอซิล เอาไว้ด้วยการใช้เงินมหาศาลล่อตาล่อใจ มาจากเหตุผลไม่ต้องการเสียแข้งคนสำคัญฟรีๆ ประสบการณ์จาก อเล็กซิส ซานเชซ ยังตามหลอกหลอนอยู่
เสียนักเตะไม่ว่า ยังเสียฟอร์มอีกต่างหาก บริหารจัดการอย่างไรปล่อยให้นักเตะคนสำคัญพร้อมจะชิ่งหนีกันหมด ไม่หลงเหลือริ้วรอยสโมสรที่ยิ่งใหญ่เลย
กลายเป็นว่าแทบจะเสียเงินก้อนใหญ่ไปฟรีๆ ซึ่งไม่ได้คาดคิดหรอกว่าจะต้องมาลงเอยอย่างนี้
โอซิล ทำผลงานได้น่าประทับใจในฤดูกาล 2017/18 ประตูที่ยิงได้อาจแค่ 5 เท่านั้น แต่จำนวนแอสซิสต์ 14 ครั้งสะท้อนถึงความเป็นเพลย์เมคเกอร์ ครีเอทสร้างสรรค์อย่างดีเยี่ยม
อย่างไรก็ดีฤดูกาลถัดมาทำได้เพียงแค่ 3 แอสซิสต์เท่านั้น ต่างจากของเดิมลิบลับ เช่นเดียวกับซีซั่น 2019/20 ยิง 1 ประตูกับ 3 แอสซิสต์ ลงเล่นรวม 23 นัดคิดเป็น 1,823 นาที
นัดสุดท้ายที่ โอซิล สวมยูนิฟอร์มอาร์เซน่อลแล้วลงไปวิ่งในสนามคือเจอเวสต์แฮม ยูไนเต็ดในพรีเมียร์ลีก โดยทำได้ 1 แอสซิสต์ หลังจากนั้นหากไม่เป็นสำรองไม่ได้ใช้งาน ก็ไม่ถูกใส่ชื่อไว้เลย
ในยุค อูไน เอเมรี่ เป็นผู้จัดการทีมสองคนนี้ก็ขัดแย้งกัน เรื่องแท็คติกและการให้โอกาสลงสนาม
พอเปลี่ยนมาเป็น มิเกล อาร์เตต้า ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย โอซิล ถูกจับแช่ช่องฟรีซแบบยาวๆ แถมเจอหนักกว่าเดิมคือไม่มีถูกส่งชื่อทั้งในพรีเมียร์ลีกและยูฟ่า ยูโรปาลีก
สถานะเช่นนี้เหมือนโดนลงอาคมจับถ่วงน้ำไม่ได้ผุดได้เกิดกันอีกเลย อีกทางคือบีบให้นักเตะฉีกสัญญาเพื่อย้ายออกเอง
1
อย่างที่รู้กันฉบับปัจจุบันที่ โอซิล เซ็นไว้จะครบเทอมในฤดูร้อน 2021 หรือกลางปีนี้ ด้วยค่าจ้างมหาศาลมากสุดประวัติศาสตร์ของทีม เรื่องอะไร โอซิล จะไปง่ายๆ
นอกเหนือจากรักษาผลประโยชน์ตัวเองแล้ว ยังเป็นการตอบโต้คืนที่โดนปฏิบัติไม่ดีอีกด้วย
บางทีคิดดูแล้วก็น่าตลก อาร์เซน่อลไม่ยอมใช้งานนักเตะที่จ่ายค่าจ้าง 350,000 ปอนด์ต่อวีก ด้วยเหตุผลของสองกุนซือคนล่าสุดคือไม่เหมาะกับแท็คติก
ทั้งที่เห็นศักยภาพของ โอซิล ในซีซั่น 2017/18 แล้วว่ามีทีเด็ดตรงที่แอสซิสต์ ต้องดึงคุณสมบัติดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ให้ได้
คนที่รู้ว่าจะใช้ โอซิล ให้มีคุณภาพก็คือ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือที่ซื้อมานั่นแหล่ะ
เวนเกอร์ เคยพูดถึงแข้งรายนี้ว่าอย่าไปคิดเรื่องความขยันมุ่งมั่นทุ่มเท ชนิดวิ่งแบบลืมหูลืมตาย เพราะนั่นไม่ใช่จุดเด่นในตัวเลย
สิ่งที่ต้องมองคือสมดุลที่จะเกิดขึ้น ให้อิสระ โอซิล เล่นเกมรุกเต็มที่ ฉะนั้นบางเกมอาจต้องจัดมิดฟิลด์เชิงรับทำงานร่วมกันถึง 2 คน
เหมือนในยุคที่พีกสุดตอนเล่นกับเรอัล มาดริด ซึ่งในช่วงฤดูกาล 2011/12 ซึ่งมีกองกลางอย่าง ซามี เคดิร่า และ ชาบี อลอนโซ่ คอยสนับสนุนอยู่แล้ว เขาจึงไม่ต้องพะวงเรื่องการเล่นเกมรับ
แต่พวกกุนซือยุคใหม่มักจะยึดแนวทาง "ทุกคนต้องช่วยกัน" อันหมายถึงพวกแข้งตัวรุกทั้งหลายจะต้องขยันวิ่งกดดันด้วย ถือเป็นหน้าที่สำหรับป้องกันฝ่ายตรงข้ามโจมตี
และนั่นไม่ใช่ตัวตนของ โอซิล เลยสักนิด อีกทั้งดูเหมือนว่าไม่เคยคิดจะปรับอีกต่างหาก ไม่แคร์ด้วยว่าใครจะคิดอย่างไร
มรดกตกทอดจาก เวนเกอร์ จึงกลายเป็นความล้มเหลวในยุคของ เอเมรี่ และ อาร์เตต้า อย่างที่เรารับรู้กัน
เงื่อนปมของ โอซิล ไม่ได้อยู่ในสนามอย่างเดียว แต่นอกสนามก็มีส่วนด้วยมากๆ
มันแทบจะทำให้เขากลายเป็นคนสิ้นคุณค่า แม้จะมีค่าจ้าง 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ก็ตาม
แม้นักฟุตบอลอาชีพจำนวนมากจะพยายามแยกการเมืองออกไปจากชีวิต ไม่พูดถึงหรือแสดงความเห็น หวั่นกระทบต่อชื่อเสียงและสถานะทางสังคม
แต่สำหรับ เมซุต โอซิล ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เขามีความเชื่อแบบสุดโต่งเลยทีเดียว หากไม่เห็นด้วยขึ้นมา
ในปี 2018 เยอรมันระหองระแหงกับตุรกี ถึงขั้นความสัมพันธ์ทางการทูตสั่นคลอนหนัก ในฐานะเกิดที่เยอรมันถือสัญชาติมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก แต่เขาคือเจนสามของตระกูลที่สืบเชื้อสายเตอร์กิช-เยอรมัน
"ผมคิดว่าตัวเองได้เรื่องเทคนิคฟุตบอลมาจากความเป็นเตอร์กิช แต่ได้ความมีวินัยมาจากความเป็นเยอรมัน"
เขาเคยเล่านิยามของตัวเองไว้อย่างนี้ ซึ่งทำให้เราพอจะมองเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น
แต่เหตุการณ์ความขัดแย้งของสองชาติในครั้งนั้น โอซิล กับแสดงท่าทียืนอยู่ข้างตุรกี เขาเคยนำเสื้ออาร์เซน่อลเบอร์ 11 ของตนไปมอบให้กับ ตายยิป เออร์โดอาน ประธานาธิบดีตุรกีซึ่งถือเป็นชนวนสำคัญ ชักภาพร่วมกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แน่นอนชาวเยอรมันไม่พอใจมากๆกับการแสดงออกเช่นนี้ ร้อนถึงอาร์เซน่อลที่ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
หลังจบฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งเยอรมันแชป์เก่าล้มเหลวไร้สภาพ ตกรอบแบ่งกลุ่มด้วยอันดับบ๊วย โอซิล จึงกลายเป็นเหยื่ออันโอชะ เจอโจมตีอย่างหนักว่าขี้เกียจสันหลังยาว สุดท้ายต้องประกาศเลิกเล่นไปเลย
จากนั้นปลายปี 2019 โอซิล โพสต์โซเชี่ยลโจมตีรัฐบาลจีนที่ทำร้ายชาวอูยกูร์ ซึ่งเป็นชาวมิสลิมในเขตซินเจียง ไม่ว่าจะเผาอัลกุนอ่าน ห้ามไปทำพิธีกรรมในมัสยิด อีกทั้งสร้างค่ายกักกันละลายพฤติกรรม
แน่นอนว่าชาวมุสลิมแทบทั่วโลกออกมายกย่องวีรกรรมของ โอซิล ผู้เป็นกระบอกเสียง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบรรดาชาวจีนจะโกรธแค้นขนาดไหน
แล้วอาร์เซน่อลได้รับแรงกระแทกโดยตรง เกมที่จะถ่ายทอดสดถูกยกเลิก สินค้าต่างๆยอดขายลดลง ทั้งที่กำลังขยายฐานตลาดไปได้สวยอยู่แล้ว
ว่ากันว่าการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเมืองเช่นนี้ สร้างความฉุนเฉียวให้ผู้บริหารอาร์เซน่อล
สองเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นตัวแปรสำคัญทำให้ โอซิล ตกอยู่ในสถานการณ์ที่โดนบีบคั้นจากรอบข้าง จนยากที่จะเคลียร์ใจกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก
แฟนบอลอาร์เซน่อลบางส่วนยืนข้าง โอซิล เห็นใจที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ แม้จะเคยขัดขืนไม่ยินยอมลดเงินค่าจ้างช่วงโควิด -19 ระบาดหนักก็ตาม
แต่มีไม่น้อยคิดว่าเขาเห็นแก่ตัว โลภมาก มองเรื่องเงินเป็นใหญ่ แถมยังขี้เกียจกินแรงเพื่อนด้วย
เพียร์ส มอร์แกน เซเล็บชื่อดังที่เป็นทั้งพิธีกรดำเนินรายการ นักข่าว นักเขียนและเป็นกูนเนอร์สเต็มขั้น แทบจะด่าไล่หลังร่ำลากันเลยทีเดียว
"ไอ้คนขี้เกียจและบิดเบือนที่รับเงิน 350,000 ปอนด์ทุกสัปดาห์ , ลาก่อน"
โอซิล เองก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาจากการกระทำตัวเองด้วยเช่นกัน
ทุกอย่างจบลง โดยที่อาร์เซน่อลและ โอซิล พ่ายแพ้ด้วยกันทั้งคู่
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา