21 ม.ค. 2021 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #ของจริงไม่ต้องพูดเยอะ ]
สมัยเป็นแข้งอาชีพ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส โคตรโนเนมมากๆ ไม่เป็นที่รู้จักเลยสักนิด อีกทั้งเล่นในสโมสรเล็กๆแทบทั้งสิ้น
ต้นทศวรรษ 90 มีโอกาสได้ร่วมทัพเร้ดดิ้ง แต่ไม่เคยถูกดึงมาใช้งานในทีมชุดใหญ่เลย เพราะต้องเผชิญหน้าอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่ฝังรากมาพักใหญ่
แต่เขาไม่ยอมแพ้ให้โชคชะตาอันโหดร้ายง่ายๆ ต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อสานความฝันตัวเอง โยกไปเล่นให้นิวพอร์ต , วิทนี่ย์ ทาวน์และนิวบิวรี่ ทาวน์ แล้วจึงรีไทร์อย่างเงียบๆด้วยวัยเพียงแค่ 20 ปี
ปัญหาที่หัวเข่าซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่ามาจากกรรมพันธุ์คือเหตุผลสำคัญทำให้ ร็อดเจอร์ส ไม่ได้ไปต่อ มันเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดมากๆที่ต้องเลิกเล่น ทั้งที่คนอื่นเพิ่งจะเริ่มต้น
เขายอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องพยายามทำใจกล้ำกลืนฝืนทน มันเป็นเรื่องความโชคร้ายซึ่งบางครั้งก็ไม่อาจกำหนดได้เลย
2
อย่างไรก็ตามเมื่อสภาพจิตใจดีขึ้น ตั้งหลักได้แล้ว เขาก็มาทบทวนว่าไม่ได้เป็นนักเตะอาชีพก็จริง แต่ยังทำอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลเป็นอาชีพได้
เขาจึงเบนเข็มทิศมุ่งมั่นกับการศึกษาตำราเพื่อเป็นโค้ชที่ดีให้ได้ โดยไม่ได้แคร์เรื่องอายุหรือประสบการณ์สมัยค้าแข้งอันน้อยนิดเลย ทุกอย่างสามารถเรียนรู้กันได้ หากมีความตั้งใจจริง
แม้ในยูเคจะมีสถาบันฝึกอบรมโค้ชชั้นนำไม่ใช่น้อย แต่ด้วยความหลงใหลฟุตบอลแบบบาร์เซโลน่า เขาตัดสินใจข้ามไปสเปนเพื่อเข้าถึงแก่นกันเลยทีเดียว
2
ห้องเรียนแรกของ ร็อดเจอร์ส คือสนามซ้อมทีมเยาวชนของบาร์ซ่าหรือลา มาเซียนั่นแหล่ะ ศึกษาระบบและปัจจัยต่างๆที่นำไปสู่ความสำเร็จ
ด้วยพลังของความคลั่งไคล้ บวกกับเอาใส่ใจทุกอย่าง เขาจึงไปได้สวยระหว่างอยู่ที่นั่น ได้รับคำชมมากมาย รวมถึงความพยายามที่จะเรียนภาษาสเปน เพื่อช่วยให้การสื่อสารเข้าใจง่ายกว่าเดิม
หลังจากคลุกคลีในทีมเยาวชนบาร์เซโลน่าอยู่พักใหญ่ จึงมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับ หลุยส์ ฟานกัล กุนซือชาวดัตช์ซึ่งกำลังทำหน้าที่คุมทีมในช่วงดังกล่าว
ยุคต้นทศวรรษ 90 ถือเป็นเรื่องน่าทึ่งมากๆ ที่หนุ่มน้อยจากไอร์แลนด์เหนือดั้นด้นมาไกลนับพันไมล์เพื่อศึกษาโครงสร้าง แนวทางการสร้างทรัพยากรนักเตะบาร์เซโลน่าในแบบจริงจังคร่ำเคร่ง
ปกติคนอย่าง ฟานกัล ไม่ค่อยให้ใครเข้าถึงตัวง่ายๆ จะมีการเว้นระยะความสัมพันธ์ แต่เมื่อประทับใจ ร็อดเจอร์ส ก็เปิดช่องให้มาสนทนาแลกเปลี่ยนกัน
บีร็อด จึงซึมซับวิธีการบริหารจัดการ แตกแขนงออกไปยังเรื่องของสไตล์การเล่น ซึ่งจะปูพื้นไปในรูปแบบเดียวกันตั้งเเต่ทีมเยาวชน
อย่างไรก็ดีตอนนั้น ฟานกัล มีผู้ช่วยชื่อว่า โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งตั้งแต่ บ็อบบี้ ร็อบสัน เป็นนายใหญ่บาร์ซ่าแล้ว
และเขายังสร้างความประทับใจให้กับกุนซือโปรตุกีสเช่นกัน ด้วยคุณสมบัติมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่มีทีท่าจะท้อแท้ยอมถอยง่ายๆ
กระทั่ง ร็อดเจอร์ส หอบวิชาความรู้กลับมาอังกฤษ ได้งานเป็นผู้อำนวยการอะคาเดมี่ของเร้ดดิ้ง อดีตต้นสังกัดเมื่อครั้งเป็นนักเตะ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเลย
2
ในปี 2004 มูรินโญ่ ซึ่งกำลังท็อปฟอร์มอย่างมาก นั่งเก้าอี้กุนซือใหญ่นำปอร์โต้ประสบความสำเร็จมากมาย รวมถึงในระดับยุโรปครองทั้งยูฟ่า คัพและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โยกมารับบทผู้จัดการทีมเชลซีพอดี
จึงสบโอกาสทาบทาม ร็อดเจอร์ส มาร่วมงานด้วย ให้เป็นหนึ่งในทีมสต๊าฟฟ์ เชื่อมต่อระหว่างทีมเยาวชนกับชุดใหญ่ อีกสองปีถัดมาได้โปรโมตเป็นกุนซือของทีมสำรองสิงห์น้ำเงิน
1
แม้ มูรินโญ่ จะแยกทางกับเชลซีในปี 2007 แต่สำหรับ บีร็อด แม้จะหิ้วกระเตงกันมา ยังได้ทำงานต่อในยุค อัฟราม แกรนท์ และ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ เป็นผู้จัดการทีม
อีกอย่างคือ มูรินโญ่ กำชับให้อยู่ทำงานต่อเลย ไม่ต้องลาออกเพื่อตามเขาไป เพราะมีโอกาสพัฒนาก้าวหน้าไปตามลำดับ
3
ปี 2008 เขาได้รับข้อเสนอจากวัตฟอร์ดในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ไปนั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่ง ปฏิบัติภารกิจหลักสำเร็จพาทีมรอดจากการตกชั้นอย่างสวยงาม
ตามด้วยในปีถัดมาไปรับตำแหน่งนายใหญ่เร้ดดิ้งอู่ข้าวอู่น้ำเก่าแทน สตีฟ คอปเปลล์ ที่ประกาศลาออก ท่ามกลางความไม่พอใจของสาวกแตนอาละวาดที่เผ่นมาดื้อๆ
กระนั้นที่เร้ดดิ้งผลงานไม่น่าประทับใจอย่างเคย คุณภาพนักเตะไม่อาจตอบสนองแท็คติกของเขา อยู่ได้แค่ 6 เดือนก็ขอลาออก เมื่อทีมตกอยู่ในโซนอันตรายเหนือทีมตกชั้นเพียงแค่อันดับเดียว
รออีกครึ่งปีหรือซัมเมอร์ 2010 เลือกที่จะบอกปัดไปเป็นทีมงานของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่แมนฯซิตี้ โดยตัดสินใจมาเป็นผู้จัดการทีมสวอนซีและในปีแรกก็พาทีมเลื่อนสู่พรีเมียร์ลีกอย่างน่าทึ่งจากการเล่นเพลย์ออฟ
การต่อสู้ในพรีเมียร์ลีกอาจไม่ง่าย แต่ด้วยสไตล์การเล่นที่ฉีกออกไป เน้นการต่อบอลเท้าต่อเท้า เล่นบนพื้นเป็นหลักตามปรัชญาของบาร์เซโลน่าที่ไปศึกษาร่ำเรียนมา
สวอนซีในเวลานั้นคือปรากฏการณ์ พวกเขาจบอันดับ 11 อยู่รอดปลอดภัยแบบหายห่วง รวมทั้งสร้างสถิติผ่านบอลมากสุด 83.1 เปอร์เซนต์ ชนิดที่ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายเทียบไม่ติด
ร็อดเจอร์ส เคยครองรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนด้วย เรียกว่าเขย่าวงการพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
เขาได้สัญญาฉบับใหม่อีก 3 ปีจากสวอนซี เป็นรางวัลตอบแทน แต่เมื่อมีข้อเสนอจากลิเวอร์พูลยื่นมาให้ ร็อดเจอร์ส ยอมทิ้งรางวัลตอบแทนนั้นทันที
แน่นอนว่าเป็นใครก็ปฏิเสธไม่ลง
ฤดูกาล 2013/14 ลิเวอร์พูลขยับเข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุดแล้ว
เดอะ ค็อปทั่วโลกมั่นใจว่าจะยุติการรอคอยอันยาวนานตั้งแต่ปี 1990 แผนงานฉลองถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี แต่แล้วก็ต้องพังครืนลงมา โดยมีจุดเริ่มจากความพ่ายแพ้ในเกมเจอเชลซีที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นกุนซือในเวลานั้น
โดนลูกพี่เก่าสอนเชิงไม่พอ ยังเจ็บปวดจากจังหวะลื่นล้มของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด จนกลายเป็นอีกบันทึกประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
บีร็อด หลบไปเลียแผลใจที่กลาสโกว์ เซลติก กอบโกยความสำเร็จมากมาย แต่มันไม่ท้าทายเลยสักนิดเดียว
ต้นปี 2019 จึงหวนสู่วังเวียนที่คุ้นชิน กลิ่นสาบที่เคยสัมผัส เพื่อกู้สถานการณ์อันย่ำแย่ของเลสเตอร์ให้ได้ ก่อนฉุดจนจบอันดับ 9 แล้วได้สัญญาฉบับใหม่ยาวถึงปี 2025
ฤดูกาลที่แล้วต้องมาลุ้นตั๋วยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในเกมลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาล ก่อนพลาดหลุดมือน่าเสียดายพ่ายแมนฯยูไนเต็ดคารัง
มาซีซั่นนี้ ร็อดเจอร์ส แก้ไขจุดที่บกพร่อง ปรับแต่งจนดีขึ้นกระทั่งเกือบถึงครึ่งทาง เลสเตอร์ผงาดขึ้นอันดับ ของตารางอย่างน่าปลาบปลื้ม
มันทำให้หวนนึกถึงภาพความสำเร็จที่สร้างเทพนิยายเมื่อปี 2016 ขึ้นมาอีก โดยที่ครั้งนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญหรือปรากฏการณ์อะไรทั้งสิ้น
ร็อดเจอร์ส รู้ดีว่าการคว้าแชมป์มันไม่ง่ายเลย เมื่อรายล้อมคือพวก "บิ๊กซิกซ์" 6 ทีมใหญ่ที่น่าครั่นคร้าม
แต่มาถึงตรงนี้ไม่มีอะไรจะเสีย อีกทั้งคงกล้าพอที่ฝัน ในเมื่อมีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะไปถึงจุดนั้นได้
บาดแผลเมื่อ 7 ปีก่อนของ ร็อดเจอร์ส จะได้รับการสมานหรือไม่ อีกไม่นานเราคงได้คำตอบ
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา