25 ม.ค. 2021 เวลา 08:04 • กีฬา
ในการแข่งขันฟุตบอลถ้วยที่เล่นกันแบบนัดเดียวรู้ผล ย่อมไม่มีที่ว่างให้ผู้แพ้ได้ไปต่อ นั่นทำให้ศึกแดงเดือดเวอร์ชั่นบอลถ้วยที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จะต้องมีแฟนบอลฝ่ายหนึ่งได้รับความสุขอย่างที่สุด ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งต้องทนทุกข์ขมขื่นไปสักพัก
ถึงแม้ เอฟเอ คัพ อาจไม่ใช่รายการที่สำคัญที่สุดของฤดูกาลสำหรับทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าคู่นี้เจอกัน ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายปราชัย
แน่นอนว่าทั้ง 2 ทีมเทน้ำหนักไปที่ภารกิจทำอันดับให้ดีที่สุดในลีกมากกว่า แต่ผมยังคิดว่า ชัยชนะในศึกแดงเดือดครั้งที่ 206 มันสำคัญอย่างมาก สำหรับช่วงเวลาที่เหลือในฤดูกาลต่อจากนี้ของทั้ง 2 ทีม
ปีศาจแดงของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ อาจจะกำลังฟอร์มยอดเยี่ยม นำจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกอยู่ในตอนนี้ แต่กุนซือชาวนอร์เวย์ยังไม่เคยพาทีมล้มคู่ปรับตลอดกาลทีมนี้ได้เลยสักครั้ง และสิ่งที่เขายังเป็นรอง เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็คือความสำเร็จในรูปแบบถ้วยรางวัลยังไม่มีให้เห็น
หงส์แดงของกุนซือชาวเยอรมัน อาจไม่เคยให้ความสำคัญกับฟุตบอลถ้วยมากนัก แต่เนื่องจากฟอร์มช่วงหลังที่ออกทะเลต่อเนื่อง มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องหาจุดเปลี่ยน ด้วยการคว้าชัยชนะในเกมใหญ่ๆ แบบนี้ให้ได้
โซลชาร์ ได้เปรียบ คล็อปป์ เยอะมากในเรื่องของการตัดสินใจจัดทีม
แน่นอนว่าปัจจัยแรก เขามีผู้เล่นคุณภาพที่ฟิตพร้อมให้เลือกใช้งานมากกว่า
ส่วนปัจจัยที่สอง นั่นคือโปรแกรมพรีเมียร์ลีกนัดกลางสัปดาห์ที่รออยู่ มันไม่ใช่งานยากแบบที่ทีมเยือนต้องเจอ เพราะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะได้เล่นในบ้านต้อนรับทีมบ๊วยอย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แต่ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล กลับต้องไปเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
เจ้าบ้านไม่มีปัญหาถ้าจะต้องใช้งาน ดีน เฮนเดอร์สัน ลงเฝ้าเสาในเกมบอลถ้วย แต่ทีมเยือนไม่มีผู้รักษาประตูคนอื่นนอกจาก อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่น่าไว้ใจพอในเกมที่มีเดิมพันสูง
อลีสซง ไม่เคยลงสนามในเกม เอฟเอ คัพ มาก่อนนับตั้งแต่ย้ายมาจาก โรม่า เมื่อปี 2018 แต่เกมนี้เขาต้องได้เล่น เพราะมันคงเป็นงานยากเกินกว่าจะให้ คล็อปป์ ไว้ใจใช้ ควีวิน เคลเลเฮอร์ หรือ อาเดรียน ลงเฝ้าเสา
ถึงแม้เจ้าถิ่นจะทำในสิ่งที่หาดูยาก คือการเลือกพัก บรูโน่ แฟร์นันด์ส เป็นตัวสำรองในเกมใหญ่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจ เมื่อรู้ว่าทีมเยือนมีปัญหาขาดแคลนแนวรับไว้ใจได้อยู่ก่อนแล้ว
การที่ โฌแอล มาติป เซนเตอร์อาชีพระดับซีเนียร์เพียงคนเดียวที่หงส์แดงเหลืออยู่ จำเป็นต้องถูกห่อบับเบิ้ลเพื่อให้ฟิตสมบูรณ์จริงๆ สำหรับเกมเยือนไก่เดือยทอง แถม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็หายเจ็บไม่ทัน ยิ่งทำให้แนวรับของ ลิเวอร์พูล ดูมีปัญหามากขึ้นไปอีก
ในขณะที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ สามารถเก็บความฟิตของ เอริก ไบยี่ ได้เต็มๆ เพราะยังมี วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ หายเจ็บหลังกลับมาลงยืนเซนเตอร์แบ็กคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์
แต่ทางฝั่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ จำเป็นต้องเลือกใช้คนใดคนหนึ่งระหว่าง รีส วิลเลี่ยมส์ กับ เนธาเนียล ฟิลลิปส์ ออกสตาร์ท
นายใหญ่หงส์แดงยังเลือกดร็อป ซาดิโอ มาเน่ เป็นตัวสำรองก่อน เข้าใจว่าปีกทีมชาติเซเนกัลสมควรได้พักบ้าง หลังจากลงตัวจริงทุกนัดมา 9 เกมติดต่อกัน ซึ่งต่างจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่ได้คืนสู่ 11 คนแรก หลังจากถูกพักไว้เป็นตัวสำรองในเกมแพ้ เบิร์นลี่ย์
ด้วยฟอร์มของ ดิว็อค โอริกี้, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ ทาคุมิ มินามิโนะ ที่ดูไม่มีใครน่าไว้ใจสักคนในชั่วโมงนี้ ทำให้ดาวรุ่งอย่าง เคอร์ติส โจนส์ ได้รับบทบาทใหม่ ขึ้นไปยืนเป็นตัวรุกฝั่งซ้ายบ้าง โดยระบบยังคงเป็น 4-3-3 เหมือนเดิม
นั่นคือเรื่องที่แตกต่างจาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เขามีจำนวนกองหน้าอันตรายให้เลือกใช้งานมากกว่า เกมนี้ถึงแม้ อองโตนี่ มาร์กซิยาล จะหลุดไปนั่งดูเพื่อนเล่นก่อน แต่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้กลับมาเป็น 11 ตัวจริงแทน และได้ประจำการทางฝั่งซ้ายซึ่งเป็นตำแหน่งถนัดของเจ้าตัว
ด้วยความที่เกมนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นเจ้าบ้าน บวกกับ ลิเวอร์พูล ไม่ได้จัดแนวรุกชุดที่ดีที่สุด ทำให้ทีมปีศาจแดงลดความรัดกุมลงจากเกมเยือนแอนฟิลด์เมื่อสัปดาห์ก่อน และกล้าเปิดฉากบุกใส่คู่แข่งมากขึ้น
1
เกมที่เสมอกัน 0-0 ที่บ้านหงส์แดง แนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ถอยลงไปตั้งรับลึก ไม่ให้แนวรุกของ ลิเวอร์พูล มีช่องว่างเจาะเข้าทำมากนัก แต่สำหรับเมื่อคืนที่ผ่านมา แผงแบ็กโฟร์ของเจ้าบ้านดันสูงขึ้นมาจากเดิม
นั่นจึงเปิดโอกาสให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ แทงทะลุเข้าช่องว่างระหว่าง ลุค ชอว์ กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แตะบอลเข้าไปชิพด้วยเท้าขวาผ่าน ดีน เฮนเดอร์สัน ตั้งแต่นาทีที่ 18
ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ก็ดูจะมาเล่นเกมรุกเป็นหลักด้วยเหมือนกัน แบ็ก 2 ข้างของพวกเขาทั้ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ต่างดันขึ้นไปบุกใส่เจ้าถิ่นมากกว่าประจำการในแดนตัวเอง มันจึงเปิดพื้นที่ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด โต้กลับทางริมเส้นได้หลายครั้ง
เมสัน กรีนวู้ด ที่ได้ลงเป็นปีกขวาตัวจริง 2 นัดติดต่อกัน มีโอกาสยิงถึง 2 หนตั้งแต่ยังไม่ทันพ้น 15 นาทีแรก
โดยโอกาสแรกที่เกิดขึ้นตั้งแต่นาทีที่ 10 ถือว่าน่าตำหนิ “ไอ้ไม้เขียว” เพราะแทนที่จะจ่ายให้ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ที่อยู่ในตำแหน่งดีกว่า เจ้าตัวดันลากเข้ามุมแคบ แล้วก็กึ่งยิงกึ่งเปิดไปติดเซฟด้วยขาของ อลีสซง ง่ายๆ
เช่นเดียวกับจังหวะที่รับบอลมาจาก เอดินสัน คาวานี่ ในนาทีที่ 13 ดาวเตะวัย 19 ปีก็ไม่เลือกมองเพื่อนตัวไกล แต่ยึกยักสับขาหลอกกองหลังหงส์แดงอยู่นาน ก่อนยิงด้วยขวาไม่ตรงกรอบ
อย่างไรก็ตาม การสับไกยิงเน้นๆ ด้วยเท้าขวาจากมุมที่เปิดกว้างในนาทีที่ 26 ถือว่า กรีนวู้ด ทำได้ดี เมื่อซัดผ่าน อลีสซง เสียบเสาไกลเข้าไปอย่างเด็ดขาด
จุดเริ่มต้นของประตูนี้ ต้องชมตั้งแต่ ปอล ป็อกบา ที่แย่งบอลได้จาก ฟีร์มิโน่ ตามด้วย ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ที่รีบจ่ายบอลเร็วให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด มีพื้นที่พาบอลขึ้นไปถึงบริเวณเส้นครึ่งสนามทางฝั่งซ้าย
จังหวะที่ แรชฟอร์ด บรรจงวางบอลยาวข้ามฟากไปให้ เมสัน กรีนวู้ด ได้พักอกหลุดไปยิง โดยที่ เจมส์ มิลเนอร์ เทคตัวโหม่งสกัดไม่ถึง ต้องให้คะแนนการเปิดแบบ 10 ต่อ 10 เพราะถือเป็นการวางบอลยาวระยะไกลในคุณภาพแบบเดียวกับที่ตำนานอย่าง พอล สโคลส์ เคยทำให้เห็นบ่อยๆ เลยทีเดียว
วันนี้ถือว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด เล่นเพื่อทีมมากขึ้นกว่าเกมที่แอนฟิลด์อย่างน่าชม เพราะจากที่ก้มหน้าก้มตาเลี้ยงมากเกินไปในเกมนั้น กลายเป็นว่านัดล่าสุด สตาร์เจ้าของเสื้อหมายเลข 10 จ่ายบอลเร็วขึ้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า
มีอีกจังหวะที่เป็นการสร้างโอกาสจาก แรชฟอร์ด คือการจ่ายตัดตัดแนวรับทีมเยือนเข้าไปในเขตโทษด้านซ้ายในนาทีที่ 28 ให้ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค เกือบได้หลุดไปยิงเดี่ยวๆ แต่ว่า อลีสซง ออกมาปิดมุมเร็ว จึงป้องกันประตูไว้ได้ทัน
2
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ แรชฟอร์ด เล่นได้อย่างวูบวาบมากขึ้น เพราะเซนเตอร์แบ็กตัวขวาของ ลิเวอร์พูล อย่าง รีส วิลเลี่ยมส์ กลายเป็นบ่อน้ำมันชั้นดีให้เจ้าถิ่นเจาะง่ายเกินไป
เมื่อ วิลเลี่ยมส์ กลายเป็นจุดอ่อนในแผงหลังของหงส์แดง ก็ส่งผลให้แนวรับทีมเยือนเล่นรวนๆ กันตามไปด้วย
นาทีที่ 42 ฟาบินโญ่ โดนใบเหลืองจากการเตะ เมสัน กรีนวู้ด หน้าเขตโทษแล้วเสียฟรีคิกระยะหวังผล แต่ว่า ปอล ป็อกบา ปั่นโค้งออกหลัง ซึ่งจังหวะก่อนหน้านั้น มันเริ่มจากการจ่ายบอลจากหน้าประตูไม่ดีของ อลีสซง เบ็คเกอร์
หรืออีกจังหวะในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก วิลเลี่ยมส์ ก็เข้าบอลพรวดจนโดน แรชฟอร์ด ยกบอลหลบง่ายๆ แล้วจ่ายข้ามฟากไปทางขวาให้ เมสัน กรีนวู้ด เคาะให้ ป็อกบา ยิงหน้าเขตโทษอีกครั้ง แต่หงส์แดงรอดตัวไปอีกหน เพราะดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศสยิงไม่เข้ากรอบ
ในครึ่งแรกถึงแม้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้ครองบอลน้อยกว่า แต่ก็มีจังหวะลุ้นประตูมากกว่าอย่างชัดเจน จากการที่เกมรับของ ลิเวอร์พูล รับมือกับการโจมตีเร็วของเจ้าถิ่นกันไม่ค่อยดีพอ
สถิติบอกว่า ตลอดทั้ง 90 นาทีที่ รีส วิลเลี่ยมส์ ได้อยู่ในสนาม เขาไม่สามารถเข้าแย่งบอลจากนักเตะปีศาจแดงได้สำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว
เท่านั้นไม่พอ เขายังก่อความผิดพลาดโดยตรงจนทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด พลิกแซงนำ 2-1 เมื่อดักจังหวะเตะสกัดลูกเปิดยาวของ เมสัน กรีนวู้ด พลาด เปิดโอกาสทองให้ แรชฟอร์ด หลุดเดี่ยวไปยิงผ่าน อลีสซง ตุงตาข่ายง่ายๆ
จุดเริ่มต้นของประตูนี้ ต้องชมความขยันของ เอดินสัน คาวานี่ ด้วย ที่ถอยลงต่ำไปช่วยแย่งบอลได้ก่อนที่ ติอาโก้ อัลกันตาร่า จะตัดไปได้ และนำมาสู่จังหวะสวนกลับเร็วทันที
อย่างไรก็ตาม เกมรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้ก็ดูไม่ค่อยนิ่งเท่าไรเหมือนกัน
ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะลดความรัดกุมลง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ไม่ได้เคลื่อนที่ช่วยตัดบอลได้ดีพอ รวมไปถึง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ก็ยืนตำแหน่งหละหลวมให้เห็นหลายครั้ง
นาที 58 มีจังหวะที่ ลินเดอเลิฟ สับสนกับ แม็กไกวร์ ในการเข้าโหม่งสกัดลูกหยอดจากนอกเขตโทษของ ติอาโก้ แล้วกลายเป็นว่าบอลลอยไปเข้าทาง เจมส์ มิลเนอร์ ได้ล้มตัวยิงหน้าประตูแบบไม่มีคนประกบ แต่ว่าซัดโด่งข้ามคานออกไป
ซึ่งถัดจากนั้นแค่นาทีเดียว ลิเวอร์พูล ก็ตีเสมอเป็น 2-2 จนได้ ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากความผิดพลาดของ เอดินสัน คาวานี่ ที่จ่ายบอลพลาดไปโดน เจมส์ มิลเนอร์ ตัด ก่อนที่หงส์แดงจะต่อบอลกันเร็ว แล้วจบลงด้วยการที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ดีดบอลไปตรงบริเวณจุดโทษให้ มิลเนอร์ ข้ามหลอกปล่อยให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซัดประตูที่สองของตัวเองในเกมนี้
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ อาจจะได้เครดิตกับการยิงคนเดียว 2 ประตู แต่สำหรับผมแล้ว คนที่อันตรายที่สุดของ ลิเวอร์พูล ตัวจริงเสียงจริงเมื่อคืนนี้คือ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
สตาร์ทีมชาติบราซิลที่มีชื่อทำแอสซิสต์ทั้ง 2 ลูกให้ ซาลาห์ คือนักเตะที่สร้างโอกาสทำประตูได้มากที่สุดในสนาม (4 ครั้ง) และเป็นผู้เล่นที่เชื่อมเกมให้ทีมเยือนทำเกมบุกได้อย่างลื่นไหล
บอกเลยว่าตอนที่เห็น ฟีร์มิโน่ โดนเปลี่ยนออก แล้วให้ ดิว็อค โอริกี้ ลงแทนในช่วงท้ายเกม ผม "โล่งใจ" เลยทีเดียว เพราะภัยคุกคามจากทีมเยือนลดลงไปเยอะอย่างเห็นได้ชัด
อันที่จริง หลังจากตีเสมอได้สำเร็จ หงส์แดงน่าจะเป็นฝ่ายขึ้นนำได้ด้วยซ้ำ ถ้าจังหวะที่ โม ซาลาห์ จ่ายหักข้อให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เติมขึ้นมาซัดเน้นๆ หรือจังหวะที่ ฟีร์มิโน่ ไหลทะลุช่องแบบคิลเลอร์พาสให้ ซาลาห์ แตะบอลเข้าไปยิง ไม่โดน ดีน เฮนเดอร์สัน ช่วยเซฟสำคัญไว้ได้ทั้ง 2 ช็อต
การที่รูปเกมสุ่มเสี่ยงจะโดน ลิเวอร์พูล พลิกแซงนำ ทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ต้องทำการแก้เกมด้วยการใช้โควตาเปลี่ยนตัวทีเดียว 2 คนตั้งแต่นาทีที่ 66
เมสัน กรีนวู้ด แม้จะมีผลงานยิง 1 แอสซิสต์ 1 แต่ โซลชาร์ จำเป็นต้องแก้แท็กติกด้วยการส่ง เฟร็ด ลงมาแทน แล้วให้ ปอล ป็อกบา ขยับจากตำแหน่งกองกลางไปยืนทางขวา เพื่อปิดการเติมเกมบุกของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
ส่วนอีกตำแหน่งคือถอด ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ที่ยังโชว์ทีเด็ดได้ไม่มากพอ แล้วส่งอาวุธหนักอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงไปเป็นตัวทำเกมรุกแทน
การลงสนามมาของ เฟร็ด กับ บรูโน่ ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูชัย
ดาวเตะบราซิเลียนคือคนจ่ายบอลให้ เอดินสัน คาวานี่ เรียกฟรีคิกระยะหวังผลได้จากจังหวะที่โดน ฟาบินโญ่ ทำฟาวล์
ซึ่ง “หมอปลา” โชคดีนิดหน่อยด้วยที่ไม่โดนใบเหลืองที่สอง ขณะที่กองกลางทีมชาติโปรตุเกส รับหน้าที่สังหารฟรีคิกเสียบมุมอย่างเฉียบขาด
นี่ถือเป็นประตูที่ 28 รวมทุกรายการของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ในสีเสื้อปีศาจแดง ถือว่านับตั้งแต่ย้ายมาจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว เขาคือนักเตะพรีเมียร์ลีกที่ยิงประตูได้มากที่สุดหากนับรวมทุกถ้วย
นอกจากจะซัดฟรีคิกปลิดวิญญาณให้ทีมได้ประตูชัย ในช่วงท้ายเกม บรูโน่ ยังเกือบได้แอสซิสต์เพิ่มอีก
นาที 89 เจ้าตัวบรรจงโยนบอลอย่างเหมาะเหม็งจากฝั่งขวาไปหน้าประตูให้ เอดินสัน คาวานี่ วิ่งสลัดหนี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แล้วเทคตัวโหม่งเหน่งๆ ได้แล้ว แต่บอลกระดอนพื้นไปชนเสา ทำให้สกอร์ของเกมนี้จบลงที่ 3-2 แต่ก็ถือว่าเป็นเกมที่แลกหมัดกันสนุกแล้ว
สกอร์รวม 5 ประตูในเกมนี้ ถือว่ามากกว่า 4 นัดก่อนหน้านี้ที่ทั้ง 2 ทีมเจอกันในพรีเมียร์ลีกเสียอีก
ซึ่งสาเหตุหลักก็เพราะมันเป็นเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นในบ้าน โดยมีสภาพทีมเหนือกว่า ทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ วางหมากให้ทีมกล้าได้กล้าเสียมากกว่าที่ผ่านๆ มา
สถิติในเกมนี้ ลิเวอร์พูล ครองบอลได้มากกว่า (58% ส่วนเจ้าถิ่น 42%) แต่โอกาสยิงของทั้งคู่คือทีมละ 14 ครั้ง และซัดเข้ากรอบ 6 ครั้งเท่ากัน
1
เรียกได้ว่าถึงสภาพทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเป็นรอง แต่ก็ยังถือเป็นเกมแดงเดือดที่สู้กันอย่างสูสี และนี่คือเกมแดงเดือดที่มีประตูเกิดขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 10 ปีเลยทีเดียว นับตั้งแต่เกมที่ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ เหมาแฮตทริกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 3-2 เมื่อเดือนกันยายน 2010
โปรแกรมในรอบต่อไปของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะได้เล่นในบ้านต่ออีกนัด และจะพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในช่วงระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์
ซึ่งหากดูจากโปรแกรมการแข่งขันพรีเมียร์ลีกช่วงนั้น ต้องบอกว่าการที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายที่ได้ไปต่อ อาจจะดีกว่าการเข้ารอบของ ลิเวอร์พูล ก็ได้
คืนวันที่ 7 กุมภาพันธ์ หงส์แดงมีงานหนักต้องเปิดบ้านพบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขณะที่หัวค่ำวันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ ก็ต้องไปเยือนทีมลุ้นแชมป์อีกทีมอย่าง เลสเตอร์
นั่นหมายความว่าถ้าหากกลางสัปดาห์ของช่วงนั้น ลิเวอร์พูลมีโปรแกรมบอลถ้วยแทรกเข้ามา มันอาจทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยิ่งลำบากในการโรเตชั่นทีม จากที่ตอนนี้มีปัญหานักเตะบาดเจ็บเพียบอยู่ก่อนแล้ว
ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้มีงานหนักเท่าไรในช่วงต้นเดือนแห่งความรัก คืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์อาจจะมีงานยากกับ เอฟเวอร์ตัน แต่ก็ได้เล่นในบ้าน ขณะที่คืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ก็ไปเยือนทีมเต็งตกชั้นอย่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน
ถ้าจะให้ทีมไหนเอาจริงเอาจังกับศึก เอฟเอ คัพ รอบ 5 มากกว่า ทีมนั้นก็น่าจะเป็นปีศาจแดง และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ถ้วยนี้ก็น่าจะเป็นอีกรายการที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ พาทีมผ่านเข้ารอบลึกได้
ถ้าตัดเรื่องการล้อกัน บลัฟกัน สำหรับผลการแข่งขันนัดนี้ออกไป ผมคิดว่าทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ได้อะไรจากเกมนี้กันทั้งคู่นะครับ
1
ทีมปีศาจแดงได้พักตัวนักเตะอย่าง ดาบิด เด เคอา, เอริก ไบยี่, เฟร็ด, บรูโน่ แฟร์นันด์ส และอาจรวมถึง เนมานย่า มาติช ให้ฟิตพร้อมเต็มที่สำหรับโปรแกรมที่ “ต้องชนะ” ให้ได้ ในการเปิดบ้านพบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด คืนวันพุธ
ที่น่ากังวลน่าจะเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บเข่าของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่แฟนผีคงต้องภาวนาว่า กองหน้าตัวเก่งคนนี้จะไม่เจ็บยาวนัก
ขณะที่ ลิเวอร์พูล แม้ต้องใช้บริการสตาร์ดังลงสนามหลายคน แต่ตัวรุกอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็คืนฟอร์มอันตรายกลับมาให้เห็น น่าจะช่วยให้เกมบุกเยือน สเปอร์ส มีความมั่นใจในการทำประตูมากขึ้น
ถึงแม้ผลงานของ ลิเวอร์พูล ช่วงหลังจะย่ำแย่ ชนะแค่นัดเดียวจาก 7 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ แถมชัยชนะที่ว่ายังมาจากการบุกชนะ แอสตัน วิลล่า ชุดเด็กล้วน แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังยืนยันว่า บรรยากาศในทีมยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่จะผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้ไปด้วยกันให้ได้
“มันไม่มีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับความเชื่อใจลูกทีมของผม แต่ความเชื่อมั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่วิจารณ์ตัวเอง”
“ผมจะไม่บอกว่า “นายทำทุกอย่างถูกต้องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้ฉันไม่สนใจหรอกถ้านายก่อความผิดพลาด” มันไม่ใช่แบบนี้ เราอยู่ในปัจจุบัน 100% แต่คุณต้องไม่กังวลอะไรกับเราเลย”
“ในฐานะทีมแล้ว พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ เรารู้เรื่องนั้น ถ้าผมมีปัญหา เราก็มีปัญหา ถ้านักเตะหนึ่งคนมีปัญหา เราก็มีปัญหา”
“มันคือปัญหาของพวกเราทุกคนในตอนนี้ ซึ่งเราต้องรับมือร่วมกัน และนั่นคือสิ่งที่เราจะทำ”
“ไม่มีใครคิดถึงเรื่องดีๆ ที่มันเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีหลังเลย ไม่มีเลย พวกเราแค่อยู่ในสถานการณ์นี้ และพยายามชนะให้ได้อีกครั้ง ทั้งหมดมันก็เท่านั้น”
ส่วน โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ยืนยันว่า ทีมของเขายังมีงานต้องทำอีกมาก แม้จะได้ชัยชนะในเกมที่สำคัญมากก็ตาม
“เรามีอีกเกมในคืนวันพุธ มันไม่มีเวลาให้พัก ไม่มีเวลาให้ฉลอง เมื่อเราออกจากสนามมันคือเรื่องของการฟื้นสภาพร่างกาย และมุ่งสมาธิไปยังเกมนัดถัดไป”
ไม่มีทีมไหนคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ตั้งแต่จบแค่รอบ 4 และไม่มีทีมไหนหมดโอกาสที่จะเรียกผลงานดีๆ กลับมา ถ้าหากยังเหลือเวลาอีกถึง 4 เดือนกว่าจะจบซีซั่น
ไม่มีใครรู้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะรักษาผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องไว้ได้อีกนานแค่ไหน และยังไม่มีใครบอกได้ในตอนนี้ ว่าซีซั่น 2020-21 มันจะเป็นฤดูกาลที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ประสบความสำเร็จหรือเปล่า
และเช่นเดียวกัน ทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ยังดีเกินกว่าที่ใครจะประมาท ว่าแค่ผลงานแย่ๆ แค่ไม่ถึง 10 นัด มันหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมที่ดี
และเมื่อถึงวันที่ผีแดงกับหงส์แดงต้องมาเจอกันอีกในเกมแดงเดือด มันจะต้องเป็นเกมที่แฟนบอลทั้ง 2 ทีมยังเชื่อมั่นว่าทีมรักของตัวเอง ดีพอที่จะสู้อย่างสมศักดิ์ศรีอย่างแน่นอน
#เสียบสามเหลี่ยม #แมนฯยูไนเต็ด #ผีแดง #แมนยู #บรูโน่แฟร์นันด์ส #กรีนวู้ด #แรชฟอร์ด #โซลชาร์ #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #ลิเวอร์พูล #ซาลาห์ #ฟีร์มิโน่ #รีสวิลเลี่ยมส์ #เจอร์เก้นคล็อปป์ #หงส์แดง #พรีเมียร์ลีก #แดงเดือด #เอฟเอคัพ
โฆษณา