18 ก.ย. 2018 เวลา 00:22
1 DAY - A GOAL #14⚽️ : Luis Suárez - “ความรัก” ชนะทุกสิ่ง
 
หลุยส์ ซัวเรซ คือ กองหน้าตัวเป้าที่ดีที่สุดในโลก และในโลกใบนี้ ถ้าจะมีคนที่เก่งกว่าเขา ก็คงจะมีแต่เมสซี่ และ โรนัลโด้
 
แต่กว่าจะมีวันนี้เขาใช้ “ความรัก” นำทางมา มันเป็นอย่างไร ไปติดตามกัน
หลุยส์ ซัวเรซ เจ้าของฉายา El Pistolero (The Gunfighter - มือปืน) และ El Conejo (The Rabbit - น่าจะมาจากฟันนั่นแหละ) ก็คงจะคล้ายๆ กับนักเตะระดับโลกหลายๆ คน ที่เกิดมาจากครอบครัวที่ไม่ได้สมบูรณ์พร้อม หรืออาจจะมีปัญหา
เขาก็เช่นกัน เกิดที่เมืองซัลโต้ ประเทศอุรุกวัย ในครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่แยกทางกันตอนเขาอายุ 9 ขวบ แถมมีพี่น้องอีกถึง 6 คน ครอบครัวยากจนถึงขนาดไม่มีเงินซื้อรองเท้าสตั๊ดเป็นของตัวเอง และเป็นคนงานกวาดถนนเพื่อยังชีพ
ในช่วงวัยรุ่น หลุยส์ ซัวเรซ มีโอกาสที่จะเป็นเด็กมีปัญหา และหลงผิด แต่เขาโชคดีที่ได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ โซเฟีย บัลบี!!!
ตอนอายุ 15 ปี เขานัดเดตกับสาวที่ห้างสรรพสินค้าในกรุงมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่ทันสมัยเหมือนในปัจจุบันนี้ โทรศัพท์มือถือก็ยังไม่ได้มีใช้แพร่หลาย การนัดเจอกันจึงค่อนข้างลำบาก และวันนั้นเป็นวันฝนตก ยิ่งเพิ่มความยากเข้าไปอีก แต่สุดท้าย ซัวเรซ และ โซฟี (โซเฟีย) ก็ได้เจอกัน แต่เจอกันได้ไม่นาน ครอบครัวของโซฟีก็มารับเธอกลับบ้าน
แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาทั้งสองเริ่มสานสัมพันธ์ และติดต่อพูดคุยกันตลอด
ขณะนั้นเขาเป็นนักเตะเยาวชนของทีมนาซิอองนาล ในบ้านเกิด สิ่งที่เขาทำแทบทุกวันหลังซ้อมบอล คือเดินทางกว่า 40 กิโลเมตรจากสนามซ้อมกลางกรุงมอนเตวิเดโอ ไปยังโซลิมาร์ แถบชานเมือง ซึ่งเป็นบ้านของ โซฟี
ถึงซัวเรซ จะไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ตัวเอง แต่เขาได้รับความเอ็นดูจากแม่ของโซฟี ที่รักเขาเหมือนลูกคนหนึ่ง และสิ่งที่เขาได้รับ มันช่วยดึงเขาไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข หรือเที่ยวเตร่กลางคืน เหมือนกับพวกเพื่อนๆ ร่วมทีมทำ
ซัวเรซ เป็นนักเตะที่เก่งแต่มักขี้เกียจ… เขาทำได้เพียง 8 ลูกจาก 37 เกม ทำให้เกือบโดนโค้ชไล่ออกจากทีม แต่ดีทีมี โซฟี คอยให้กำลังใจและเตือนสติเขา ทำให้เขากลับมาตั้งใจเล่น และทำประตูได้มากมาย
ชีวิตช่วงวัยรุ่นเหมือนจะมีความสุขดี มีฟุตบอลและโซฟี เป็นสองสิ่งที่เขารัก แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับเขา เพราะโซฟี กำลังจะจากเขาไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง…
คุณพ่อของโซฟี เป็นนายธนาคารอยู่ในองค์กรใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ถูกปิดกิจการลงในปี 2002 และอาของเธออยู่ที่เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน คุณพ่อของเธอจึงไม่รีรอที่จะย้ายไป เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว
เพราะตั้งแต่พ่อแม่แยกทางกัน ซัวเรซ ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ทั้งที่โรงเรียน และสนามซ้อม เพราะสำเนียงการพูดแปลกๆ จนโดนเพื่อนล้อเป็นประจำ และด้วยความรักความอบอุ่นที่โซฟี และครอบครัวมีให้เขา จนทำให้เขาไม่เป็นเด็กเกเร คงไม่ต้องบอกว่า ซัวเรซ จะเสียใจขนาดไหน
โซฟีก็รู้สึกเช่นกัน เธอปรึกษาแม่ว่าจะทำอย่างไร ให้ได้กลับมาอุรุกวัยให้ได้เร็วที่สุด คุณแม่ของเธอแนะนำให้เรียนสาขาอะไรก็ได้ให้จบ เพื่อจะได้ใบอนุญาตประกอบอาชีพในบ้านเกิด
เธอเลือกวิชาช่างทำผม มันไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบ แต่มันจะทำให้เธอกลับอุรุกวัย เพื่อเจอกับซัวเรซได้เร็วที่สุด
ซัวเรซเองก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่ เขาพยายามไปหาโซฟี โดยเขาขอให้เอเยนต์ของเขาที่ชื่อ แดเนียล ฟอนเซก้า พาเขาไปสเปน แต่ฟอนเซก้า ให้ค่าตั๋วเครื่องบินและเงินอีก 60 ดอลลาร์ ซึ่งนั่นมันก็มีค่าที่สุดในชีวิต และเขาก็บ้าพอที่จะบินข้ามประเทศไปสเปน เพื่อพบกับโซฟีสักครั้ง ด้วยวัยแค่ 16 ปี
⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️
มุ่งหน้าสู่ยุโรปเพื่ออยู่ใกล้เธอ โซฟี!!!
ในแมตช์เยาวชน U-17 ของสโมสรนาซิอองนาล มีแมวมองของทีมโกรนิงเก้น สโมสรจากเนเธอร์แลนด์ มาเฝ้ามองหานักเตะที่ชื่อ เอเลียส ฟิเกรัว แต่ดันมาสะดุดตา หลุยส์ ซัวเรซ แทน
เมื่อผู้บริหารบอกเรื่องนี้กับเขา เขาดีใจมาก ถึงเขาจะไม่รู้ว่า โกรนิงเก้น อยู่ที่ไหน แต่ก็น่าจะใกล้กับสเปนมากกว่าอุรุกวัยแน่ๆ
จากโกรนิงเก้น ที่เนเธอร์แลนด์ อยู่ไกลจากสเปนประมาณ 1,400 กิโลเมตร ทุกสัปดาห์เขาจะเดินทางไปหาโซฟี
ในขณะที่โซฟีเองก็พยายามที่จะไปอยู่กับเขาที่เนเธอร์แลนด์เช่นกัน และได้มาอยู่กับเขาในที่สุด
เขาโชว์ฟอร์มได้ดีกับโกรนิงเก้น จนไปเตะตาทีมยักษ์ใหญ่ของลีกดัตช์ อย่าง อาเจกซ์ อัมสเตอร์ดัม ซึ่งเซ็นสัญญาเขาไปร่วมทีม
และหลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่ ลิเวอร์พูล และ บาร์เซโลน่า ในที่สุด
เขาแต่งงานกับโซฟี ในปี 2009 และมีลูก 2 คน ลูกสาวคนโตชื่อ เดลฟิน่า (Delfina… ซึ่งถ้านำมาเรียงใหม่ - Anagram - จะได้เป็น Anfield ซึ่งตรงกับชื่อสนามของลิเวอร์พูล) ส่วนลูกชายคนเล็กชื่อ เบนจามิน
⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️
ชีวิตของซัวเรซ ยังมีอีกด้านคือเรื่องนอกสนาม…
คดี “กัด” 3 ครั้ง
 
ปี 2010 กัดคอ อ็อตมัน บัคคาล ของทีมพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น
ปี 2014 กัดแขน บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ของทีมเชลซี ในฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ และกัดไหล่ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ของทีมชาติอิตาลี ในศึกฟุตบอลโลก ที่บราซิล
จนมี (หลาย) โฆษณาล้อเลียนในประเทศบ้านเกิด และบางอันมีตัวเขาเป็นพระเอกในโฆษณานั้นเองด้วย
คดี “เหยียดผิว”
 
ปี 2011 เมื่อเขาใช้คำพูดว่า “nigga” ในภาษาอังกฤษแปลว่า “คนดำ” ใส่ปาทริช เอวร่า ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยแข็งแรง บวกกับเอวร่าก็ชวนเขาโต้เถียงเป็นภาษาสเปน ซึ่งทำให้เขาหลุดคำว่า “Por Que Negro” ซึ่งในอุรุกวัยมีคำว่า “El Negro” ซึ่งไม่ได้มีความหมายร้ายแรงหรือเป็นคำด่า
 
ซึ่งนี่คงเป็นบทเรียน ในเรื่องวัฒนธรรมและภาษา (เรื่องการเหยียดผิวในยุโรปเป็นเรื่องที่ซีเรียสมาก ในขณะที่ทวีปอื่นๆ อย่างในอเมริกาใต้ หรือ เอเชีย อาจจะไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่)
นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์เจตนาทำแฮนด์บอล ในเกมฟุตบอลโลก ปี 2010 รอบก่อนรองชนะเลิศ กับทีมชาติกาน่า… เขาปัดลูกยิงของ โดมินิค อะดิเยียร์ ที่โหม่งบอลระยะเผ่าขน (ซึ่งเข้าแน่นอน) ออกมาจากปากประตู ซึ่งแน่นอนเขาโดนใบแดง และเสียจุดโทษ แต่มันก็ต่อลมหายใจให้ทีมชาติอุรุกวัยได้อีกเฮือก
และโชคก็เข้าข้างทีมของเขา เมื่อ อซาโมอาห์ กียาน ยิงจุดโทษข้ามคาน
เขาต้องไปลุ้นผลการยิงจุดโทษชี้ขาดกับโซฟี ที่คอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอ และสุดท้ายทีมชาติของเขาได้เข้ารอบต่อไป และพาทีมชาติคว้าที่ 4 ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น
ในขณะที่คนอุรุกวัยทั้งชาติดีใจและชื่นชมเขา แต่ตัวเขากลับต้องโดนกระแสจากชาวโลกด่าว่าเป็น “คนขี้โกง” ก็คงมีแต่เพียง โซฟี ที่คอยอยู่เป็นกำลังใจให้เขาเข้มแข็งและสู้ต่อ
ด้วยพฤติกรรมที่เขาทำ คุณอาจจะไม่ชอบเขา หรืออาจจะเกลียดเขา แต่คุณลองดูคลิปต่อไปนี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจ
⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️
ซัวเรซ อาจจะมีปัญหากับคู่แข่ง แต่กับเพื่อนร่วมทีม หรือแฟนบอล ไม่ว่าจะในสโมสร หรือทีมชาติ เขาไม่เคยมีปัญหา และเป็นที่รักเสมอ
 
คุณจะไม่มีทางเห็นเขาเอาเปรียบเพื่อนร่วมสโมสร ยามเล่นในนามทีมชาติแล้วต้องมาเผชิญหน้ากัน
ซัวเรซ (อุรุกวัย) กับ เนย์มาร์ (บราซิล) ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมบาร์เซโลน่า ก็ค่อนข้างสนิทกัน
หรือกับเมสซี่ (อาร์เจนติน่า) มีหลายครั้งที่เมสซี่
ยกลูกจุดโทษให้ซัวเรซยิง (โดยที่ซัวเรซไม่เคยร้องขอ) ทั้งๆ ที่บางครั้งถ้าเมสซี่ยิงเอง ก็จะเป็นแฮตทริก … มิตรภาพและน้ำใจที่มีให้กัน มันสำคัญกว่าสถิติส่วนตัว และถ้าพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สิ่งเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น
⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️⚽️
สุดท้าย 1 DAY - A GOAL ⚽️14 ที่อยากจะนำเสนอ อาจจะไม่ใช่ประตูที่สวยงามที่สุดของ หลุยส์ ซัวเรซ เขามีประตูสวยงามและมหัศจรรย์มากมาย แต่ประตูนี้ เป็นลูกจุดโทษที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดลูกหนึ่ง ที่มันมีความหมายมากกว่าประตู
ประตูนี้เกิดขึ้นในลาลีกา ของสเปน ระหว่าง บาร์เซโลน่า กับ เซลต้า บีโก้ ซึ่งซัวเรซ ยิงไปแล้ว 2 ประตู และบาร์ซ่ามาได้จุดโทษ ถ้าซัวเรซยิงจะเป็นแฮตทริกของเขา
เมสซี่ ในฐานะกัปตันทีม เป็นมือวางอันดับ 1 ในการสังหารจุดโทษ และถ้าเขายิงเข้าจะเป็นประตูที่ 300 ในลาลีก้า เขาหยิบลูกบอลมาวางและจะวิ่งไปสังหารเอง…
แต่สิ่งที่เมสซี่ทำ… เขาเขี่ยบอลไปด้านขวามือ แล้วให้ซัวเรซ วิ่งเข้ามายิงอย่างง่ายดาย… เป็นแฮตทริก ของเพื่อนรัก!!!
คลิป 👉🏻 https://youtu.be/_6lJqgzEKT4
ในโลกของฟุตบอลสมัยนี้ เรามักจะไม่เห็นน้ำใจที่มีให้กันแบบนี้ ที่เราพบเห็นบ่อยๆ คือการแย่งกันยิงจุดโทษ เพื่อเพิ่มสถิติส่วนตัว
สำหรับ หลุยส์ ซัวเรซ ไม่ว่าประตูนี้ หรือประตูไหนๆ ที่เขายิงมามากมาย คงไม่สำคัญเท่ากับ “ความรัก” ที่เขาใช้เป็นแรงผลักดันจนมาถึงจุดนี้… ไม่ว่าจะเป็น โซฟี และลูกๆ เพื่อนร่วมทีม คนรอบข้าง รวมไปถึงแฟนบอล และพวกเขาเหล่านั้นก็มอบกลับมาให้เขาเช่นกัน ⚽️⚽️⚽️
Credit : เพจ Main Stand
หนังสือ Luis Suárez: Crossing the Line - My Story
โฆษณา