28 พ.ย. 2018 เวลา 12:15 • ปรัชญา
(ตอนที่ 2)ทักษะอะไรที่ลูกคุณต้องมี…เพื่อให้เป็นนายของ A
Credit Image:https://www.influencepeople.biz/2018/03/brains-evolution-principles-persuade.html
จากตอนที่แล้ว
“(ตอนที่ 1)ทักษะอะไรที่ลูกคุณต้องมี…เพื่อให้เป็นนายของ AI”
ที่เราพูดถึงทักษะที่สามารถนำไปใช้ได้ในทุกงาน รวมถึงชีวิตประจำวัน และทักษะนี้จะทำให้ลูกหลานเราอยู่รอด และเป็นเจ้านายของ AI(Artificial Intelligence) ได้…
ทักษะนั้นก็คือ Soft skills
หนึ่งใน Soft skills ที่สำคัญก็คือ ทักษะการจูงใจให้เห็นจริง(Persuasive skill)
เคยบ้างไหมที่เรานำเสนองานต่อลูกค้า เจ้านาย เรามั่นใจว่า ได้เตรียมตัวมาอย่างดี
ลีลาการนำเสนอก็เด็ด น้ำเสียง ท่าทาง
แต่สุดท้ายก็ล่มไม่เป็นท่า
เพราะอะไร???
อย่าลืมว่า ความเก่ง ฉลาด(Hard skills) นั้น มีความจำเพาะสำหรับงานหนึ่งๆ เช่น แพทย์ ก็มีทักษะเฉพาะทางแพทย์ พอเป็นเรื่องทางวิศวกรรม ก็ไปไม่เป็น
และนับวันทักษะเหล่านี้ก็จะค่อยๆถูกรุกคืบโดยความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดของปัญญาประดิษฐ์(AI)
ถ้าเรายังสอนลูกหลานเราแต่เรื่อง Hard skill เชื่อได้ว่า มีปัญหากับพวกเค้าในอนาคตอย่างแน่นอน
แค่ลองมองย้อนกลับไปดูเพื่อนๆรุ่นเรา หลายๆคนที่เรียนเก่งมากๆ แต่ทำไมกลับเอาตัวไม่ค่อยรอด หรือได้ไม่ดีเท่ากับผลการเรียนของเค้า
ในขณะที่เพื่อนหลายคน เรียนปานกลาง แต่กลับเจริญก้าวหน้าในปัจจุบัน
นั่นก็เพราะทักษะที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เกรดที่สวยหรู
ทำไมคนบางคน เวลาพูดถึงดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก???
จะตอบคำถามนี้ เราต้องเข้าใจการทำงานของสมองเสียก่อน
“เพราะทุกอย่างเริ่ม และจบลงที่สมอง”
เมื่อคนเราได้ยินเรื่องราวที่ใหม่สำหรับเค้า สมองของเค้าจะยอมรับเรื่องเหล่านั้นเพราะอะไร
สมองของเราใช้พลังงานมากในการทำงานแต่ละครั้ง
เราจึงเลือกที่จะรับเฉพาะเรื่องที่เข้าใจง่าย
ถ้าเรื่องไหน ใหม่ เข้าใจยาก สมองจะปิดการรับรู้ในทันที
มีการศึกษาถึงสมาธิ(Attention span) ของคนยุคปี 2000 เป็นต้นมา ที่ลดเหลือแค่ 8 วินาที!!!
YOU NOW HAVE A SHORTER ATTENTION SPAN THAN A GOLDFISH
องค์ประกอบของการเจาะสมองของคน
1. สมองของแต่ละคนจะมีชุดความคิด(Library of Thought/Mindset) ที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลอยู่
ชุดความคิดนี้ ถูกหล่อหลอมมาจากครอบครัว และสังคม
เช่น คนไทยมองเรื่องน้ำใจเป็นเรื่องใหญ่ ในขณะที่สังคมตะวันตกมองเรื่องระเบียบวินัยเป็นหลัก
คนเราจะรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ยิน ได้ทำอะไรที่สอดคล้องกับชุดความคิดที่ตัวเองมีอยู่เดิม
อะไรที่ฝืนต่อชุดความคิดมาก และเร็ว สมองจะต่อต้านโดยอัตโนมัติ
2. ความเชื่ออย่างแท้จริงจะเกิดเมื่อคนเราเข้าใจในเรื่องนั้นๆจริงๆ
กฏธรรมชาติของสมองอันหนึ่งก็คือ “สมองของเราจะไม่เชื่อเรื่องอะไรอย่างแท้จริง จนกว่าจะเข้าใจในเรื่องนั้น”
3. สมองของมนุษย์มี 3 ชั้น และควบคุมแต่ละคนได้ไม่เท่ากัน
ชั้นใน เก่าสุด ทำตามสัญชาตญาณ คนที่สมองส่วนนี้เด่น ก็ไม่ต่างจากสัตว์ สิ่งที่จะจูงใจเค้าได้ดี คือเรื่องของการอยู่รอด ความโลภ ผลประโยชน์
ชั้นกลาง เน้นอารมณ์ คนที่สมองส่วนนี้เด่น ชอบเรื่องที่สะเทือนใจ อะไรที่เน้นอารมณ์ และความรู้สึก จะเข้าถึงเค้าได้มาก
ชั้นนอก คือ เหตุผล และตรรกะ คนที่สมองส่วนนี้เด่น ชอบอะไรที่เป็นหลักการ มีเหตุ และผล ไม่สนใจเรื่องของอารมณ์มากนัก
4. สมองของเรา คือสมองของการมองเห็น และคิดเป็นรูปภาพ
กว่า 70% ของเซลล์ประสาทส่วนรับรู้ของเรา อยู่ในตา นั่นคือ มนุษย์เราเกิดมาเพื่อการมองเห็นเป็นหลัก
สังเกตได้จาก เราชอบที่จะอ่านหนังสือที่มีรูปประกอบเยอะๆ มากกว่าหนังสือที่มีแต่ตัวหนังสือ
5. สมองเราจำได้แต่หัว และท้าย
อย่างที่บอกว่า สมองของเราใช้พลังงานในการทำงานสูงมาก เราจึงคอยสงวนการทำงานของสมองไว้ตลอดเวลา เราจะจำเรื่องเล่าต่างๆ หรือเนื้อเรื่องของหนังได้ดีเฉพาะตอนต้น กับตอนจบ
ดังนั้น “เริ่มต้องตื่นเต้น จบต้องจับใจ”
วิธีการนำไปใช้งานจริง
เมื่อเราเข้าใจถึงหลักการรับรู้ของสมองมนุษย์เราแล้ว เวลานำไปใช้งานจริง จะทำอย่างไรให้สอดคล้องกับหลักกการข้างต้น
ถ้าทำได้ รับรองว่า โอกาสที่เราจะจูงใจคนได้ดี ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
1. รู้ชุดความคิด(Library of Thought/Mindset) ให้เร็วที่สุด … ก่อนที่จะเข้าไปพูดคุย หรือนำเสนองานกับใคร ควรหาข้อมูลว่า เค้าเป็นใคร เติบโตมาในครอบครัว หรือวัฒนธรรมแบบไหน ยึดถืออะไรเป็นแกนหลัก ที่ผ่านมาเวลาเจอกับเรื่องราว หรือปัญหาใหญ่ๆ
เค้าใช้วิธีอะไรในการก้าวผ่านมา โดยเราอาจหาได้จาก สิ่งที่เค้าโพสลงโซเชี่ยล คนที่ยึดคุณธรรมเป็นหลัก ก็มักจะกล่าวถึงคติธรรม หลักธรรม วิธีการดำเนินชีวิตดีๆ อยู่เสมอ …
“เป็นการยากมาก ที่คนที่ไม่เคยกล่าวถึงคุณธรรม จะประพฤติธรรม”
2. ย่อยเรื่องใหม่ และยาก ให้สอดคล้องกับองค์ความรู้เดิมที่เค้ามี … สมองจะปิดการรับรู้ต่อเรื่องใหม่ๆ ที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับเรื่องเดิมที่เค้าเข้าใจ และมีพื้นฐานดีอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อเราจะนำเสนอหลักการ วิธีการใหม่ๆ เราต้องโยงไปยังหลักคิด วิธีการเดิมๆที่เค้าคุ่นชินมาก่อนให้ได้
เช่น เมื่อองค์กรจะนำหลักการวัดคุณภาพขององค์กรใหม่ๆเข้ามา เช่น OKR(Objective and Key Results) เราไม่ควรเข้าเนื้อหาในทันที แต่ควรโยงถึง KPI ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจดีอยู่แล้ว ว่า คืออะไร มีข้อดี และข้อเสียอย่างไร และ OKR นั้น มีข้อดี หรือจุดเด่นอะไรที่พัฒนาต่อยอดให้ดีกว่า KPI เป็นต้น
3. แม้เราจะใช้หลักการใน 2 ข้อด้านบนแล้ว แต่เนื่องจากสมองของแต่ละคน มีการทำงานโดดเด่นถึง 3 แบบตามวิวัฒนาการ และการเลี้ยงดู
บางคนชั้นใน คือสัญชาตญาณเด่น ก็ชอบเรื่องอะไรที่ให้ประโยชน์ของตัวเองนำมาก่อน เวลาเราจะนำเสนอ ก็ควรเริ่มจากว่า “เรื่องที่ผมจะนำเสนอนั้น จะช่วยให้คุณไม่ต้องสูญเสียเงินได้อย่างมหาศาล หรือ ถ้าคุณพลาดเรื่องเหล่านี้ บริษัทของคุณอาจแพ้คู่แข่งได้” …
สำหรับคนที่สมองชั้นกลาง คืออารมณ์ทำงานโดดเด่น เวลานำเสนอ เราต้องมีเรื่องราวที่จับใจ เป็นเรื่องเล่าที่สะเทือนอารมณ์เข้าไปด้วย เช่น “คุณจะรู้สึกอย่างไรที่ผลิตภัณฑ์ของคุณ นอกจากจะสร้างผลประโยชน์ให้กับองค์กรแล้ว ยังสร้างอนาคตให้กับเด็กยากไร้อีกเป็นจำนวนมาก และเพียงคุณได้รู้ถึงสิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ เชื่อเหลือเกินว่า คุณจะช่วยสร้างอนาคตให้กับเด็กด้อยโอกาส ให้กลายเป็นเด็กที่ได้โอกาสอีกนับไม่ถ้วน”…
ส่วนคนที่สมองชั้นนอกคือ เหตุผล ทำงานเป็นหลัก สิ่งเดียวที่จะทำให้เค้าสนใจฟังก็คือ เรื่องราวที่มีหลักการ มีที่มาที่ไปชัดเจน มีเหตุผลรองรับ วัดผลได้ชัดเจน ดังนั้น คุณต้องทำการบ้านเตรียมตัวพร้อมตอบคำถามให้ดีในทุกสถานการณ์เป็นต้น
4. สมองของเรา คือสมองของการมองเห็น และคิดเป็นภาพ ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะนำเสนองานในรูปแบบใดๆ ก็ตาม ทั้งพรีเซนเตชั่น เล่า พูดคุย คุณต้องมีรูปประกอบที่เข้าใจได้ในทันที หรือถ้าเป็นการเล่า ก็ต้องเล่าให้เห็นเป็นภาพได้อย่างชัดเจน เช่น แทนที่จะบอกว่า มะขามของคุณมีรสชาดเปรี้ยวถึงใจ แค่ปรับคำพูด และน้ำเสียงใหม่ว่า “มะขามของเรา เพียงแค่แต่บนลิ้น คุณจะรู้สึกถึงความเปรี้ยวจิ๊ดดดดดดดดดด ขึ้นสมอง น้ำลายคุณจะออกมาเหมือนเขื่อนแตก” เป็นต้น
5. ต้นตื่นเต้น กลางกลมกล่อม จบจับใจ คือหลักการของการนำเสนอในทุกๆครั้ง เมื่อเริ่มต้นหาเรื่องราวที่ตื่นเต้น น่าสนใจมานำเสนอ แล้วโยงเข้าสู่เนื้อหาในตอนกลาง และจบให้สวยงามจับใจ และอย่าลืม สรุป เป็น Key Takeaway message ด้วยทุกครั้ง กันลืม
สรุป
1. ทักษะสำคัญที่จะทำให้เราเหนือกว่า AI ก็คือ Soft skills และหนึ่งใน Soft skill ที่เราต้องมี และเก่ง ก็คือ Persuasive skill
2. จะจูงใจให้เห็นจริงได้ดี ต้องเข้าใจถึงการทำงานของสมองมนุษย์ เพราะแท้จริง แล้ว เราไม่ได้จูงใจ แต่เรา จูงสมอง
3. ฝึกปฏิบัติตามวิธีการ และหลักการข้างต้น ให้ชำนาญ จนเป็นอัตโนมัติ(Autopilot) รับรองได้ว่า Contents ที่คุณนำเสนอหลังจากนี้ จะเป็นคอนเทนท์ที่เต็มไปด้วยคุณภาพ แม้ลีลาจะธรรมดา แต่ก็สามารถสะกดสมองผุ้ฟังได้ดีอย่างแน่นอน
คิดปรับมุม BRAINCHEF
DOCTOR T NEURO
ดอกเตอร์ทีนิวโร
โฆษณา