30 พ.ย. 2018 เวลา 02:11 • ความคิดเห็น
หรือจะหมดยุคกาแฟเกอิชาแล้ว ...
เชื่อไหมครับว่าแชมป์โลก Brewer Cup คนล่าสุดใช้กาแฟบราซิล!!! ผมเห็นครั้งแรกก็ตกใจเหมือนกันนะครับ
เอาจริงถ้าเป็นกาแฟเอธิโอเปียหรือเคนยาก็ยังไม่น่าแปลกใจเท่าการใช้กาแฟบราซิลกับการชงแบบ hand brew อย่างที่เราทราบกันว่ากาแฟบราซิลส่วนใหญ่ถูกนำมาชงเป็นเอสเปรสโซทั้งนั้น
ในยุคก่อนกาแฟแข่งขันส่วนใหญ่จะเป็นกาแฟเกอิชา โพรเซสดีๆ ราคาสูงๆ แต่ช่วงหลังมีการใช้กาแฟอื่นมากขึ้น อย่าง Sasa Sestic แชมป์โลกบาริสตาปี 2015 ก็ใช้กาแฟโคลัมเบีย
Emi Fukahori แชมป์โลก Brewer Cup ปี 2018 เป็นบาริสตาชาวญี่ปุ่น แต่เปิดร้านอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ครับ กาแฟที่ใช้แข่งขันมีชื่อว่า Frevo จากฟาร์ม Daterra Coffee ในภูมิภาค Cerrado Mineiro ประเทศบราซิล
คนที่เอากาแฟมาให้เธอลองก็คือ Mathieu Theis ผู้ที่ได้อันดับ 3 การแข่งขันบาริสตาโลกปี 2018 (แฟนของ Emi นี่แหละ เก่งกันทั้งคู่เลย 😅) เขาได้กาแฟจากงาน WBC ที่เนเธอร์แลนด์เมื่อกลางปีก็เลยเอากลับไปให้ Emi ลอง
Emi ได้ลองแล้วชอบ ก็เลยไปที่ฟาร์ม Daterra เพื่อศึกษาเกี่ยวกับกาแฟและโพรเซสเพื่อนำมาประกอบการพรีเซนต์ในการแข่งขัน ความพิเศษของฟาร์ม Daterra Coffee คือเป็นไร่กาแฟเจ้าแรกที่ได้การรองรับมาตรฐาน Rainforest Alliance ระดับ A คือระดับสูงสุด
กาแฟ Frevo ถูกตั้งชื่อตามสไตล์เพลงของบราซิล (กาแฟตัวอื่นๆ ของฟาร์มนี้ก็ตั้งชื่อตามสไตล์เพลงของบราซิล เช่น Forro Chorinho Jongo) เป็นกาแฟอราบิกาสายพันธุ์ (varietal) Laurina และใช้โพรเซสแบบ Semi-Carbonic และปลูกที่ระดับความสูงแค่ 1,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเท่านั้น
กาแฟสายพันธุ์ Laurina นี้ถูกค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 แต่เกือบสูญพันธุ์ไปเพราะยุคนั้นคนนิยมปลูกอ้อยกัน แต่สุดท้ายได้รับการฟื้นคืนชีพอีกครั้งเมื่อปี 2002 ที่เจ้าของไร่กาแฟใน Doka Estate ประเทศคอสตาริกาไปเจอเข้า เหลือโดดเดี่ยวอยู่ต้นเดียว เค้าก็เลยเอามาเพาะพันธุ์ต่อ
กาแฟสายพันธุ์นี้มีข้อจำกัดคือปลูกยากครับ มันค่อนข้างเซนซิทีฟ ป่วยง่าย ผลผลิตไม่เยอะนัก แต่เอกลักษณ์ของมันคือน้ำกาแฟที่ได้ค่อนข้าง light ครับ ดื่มง่าย อารมณ์เหมือนดื่มชา ระดับคาเฟอีนอยู่ในช่วง 0.4-0.75% เท่านั้น ซึ่งกาแฟทั่วๆ ไปจะอยู่ที่ 1.2-1.6%
สำหรับโพรเซสแบบ Carbonic นี่น่าจะเคยได้ยินกันบ้าง เพราะ Sasa Sestic เองก็นำมาใช้กับกาแฟที่ใช้แข่ง ไอเดียมาจากกระบวนการหมักไวน์แบบ Carbonic Maceration ครับ เป็นการหมักองุ่นในถังปิด แล้วอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หมักไว้
ความพิเศษของกระบวนการนี้คือจะได้แอลกอฮอล์ตั้งแต่น้ำองุ่นยังอยู่ในผลองุ่นเลยครับ เนื้อไวน์ที่ได้จะเบา แทนนินน้อย ไม่ต้องเก็บนานก็ดื่มได้เลย ในไทยเอง ทาง Bluekoff ก็เริ่มนำโพรเซสนี้มาปรับใช้เพื่อลดกลิ่นเขียวของกาแฟสายพันธุ์ Catimor ครับ
โลกของกาแฟน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ นอกจากกระบวนการชงกาแฟที่ได้รับการพัฒนาขึ้นตลอดเวลา การปลูกและการโพรเซสการได้รับการพัฒนาขึ้นเช่นกัน มีวิธีการที่หลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้ผลลัพธ์น้ำกาแฟที่ดีที่สุดเพื่อผู้ดื่มทุกท่านนี่เอง
โฆษณา