4 ธ.ค. 2018 เวลา 08:43 • ไลฟ์สไตล์
ENTRANCE
เอ็นสะท้าน....
เรื่องทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้นและการเริ่มต้นของชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเมื่อช่วงปี พ.ศ.2540 – 2541 คือ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือที่เรียกกันว่า ENTRANCE  ครับ ตรงตัวเลย เพราะ ENTRANCE แปลว่า ทางเข้า เมื่อปี พ.ศ.2540 ปีแรกที่ผมได้สอบ ENTRANCE เราจะสามารถเลือกได้ทั้งหมด 4 คณะ และสอบพร้อมกันทั่วประเทศ ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีคะแนนใดๆ มาเสริมเพิ่มเติมให้เกิดความสับสนเหมือนกับสมัยปัจจุบัน ซึ่งตอนที่ผมเริ่มเขียนเรื่องนี้ ระบบสอบเข้าเรียกกันว่า TCAS บอกตามตรงผมชอบระบบเดิมมากกว่า ผมไม่รู้ค่าใช้จ่ายของของระบบ TCAS หรอกว่าเท่าไร แต่สมัยสอบ ENTRANCE เท่าที่จำได้ผมน่าจะจ่ายไปไม่ถึงพันบาท ซึ่งถูกกว่าและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อ แม่และผู้ปกครอง  ของเด็กจบใหม่สมัยนั้นมากเท่ากับระบบปัจจุบัน ที่ได้ยินแว่วๆ ว่าหลายตังค์เหมือนกัน
ปี พ.ศ.2540 ปีแรกในการสอบ ENTRANCE ของผมและอีกครั้ง พ.ศ.2541 ก็ตามที่เข้าใจ ผมเป็นเด็กซิ่ว ซึ่งก็คือคนที่มาสอบใหม่ และทั้ง 2 ครั้งผมได้ไปสมัครสอบที่เดียวกันกับเด็กที่จบมัธยมปลายใหม่ๆ เกือบทุกคนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ครั้งแรก ปี พ.ศ.2540 ผมจำไม่ได้ว่าสมัครคณะอะไรไปบ้าง แต่ ปี พ.ศ.2541 ผมพอจะจำได้อยู่ว่า อันดับ 1 ครุศาสตร์ จุฬาฯ อันดับ 2 น่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันดับ 3 กับ 4 นั้นผมเลือก ภาษาอังกฤษ กับ ประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ปีแรก พ.ศ.2540 แห้วครับ ไม่ติดสักที่เลยครับ คือไม่ใช่แค่ ENTRANCE ไม่ติดนะครับ สถาบันราชภัฏในเครือรัตนโกสินทร์ เช่น สวนดุสิต สวนสุนันทา เท่าที่จำได้นะครับ ผมก็สอบไม่ติดด้วย ซึ่งเมื่อปี พ.ศ.2540 สถาบันราชภัฏยังไม่ได้เข้าระบบสอบเข้าเหมือนในปัจจุบัน
และก็ปี พ.ศ.2540 นี่แหละที่ผมเข้าไปติวกับทาง Brands Summer Camp ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กับเขาด้วย มันทำให้เวลาผมเห็นโฆษณาพวกนี้ที่ไรผมจะเบ้ปากเล็กๆ พร้อมกับคิดในใจ “ฉันนี่แหละที่ติวแล้วสอบไม่ติด” ผมไม่ได้โทษโครงการนะ ต้องโทษตัวเอง ประมาททั้งในเรื่องการอ่านหนังสือและการทำข้อสอบ เพราะเมื่อมันไม่ได้มีคะแนนอื่นๆ มาช่วย คะแนนที่จะชี้เป็นชี้ตายได้จึงมีเพียงแค่คะแนนสอบอย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อสอบไม่ติดจึงต้องหาทางอื่น ภาคค่ำสิครับ ตอนนั้น สถาบันราชภัฏสวนดุสิต เปิดสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ กศบป. ผมจำความหมายไม่ได้ แต่พอจะจำได้ว่าเริ่มเรียนตอน 18.00 น. – 21.00 น. หรือง่ายๆ ก็ 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม ลังเลอะไรละครับ สมัครเลย คือเวลานั้นขอแค่มีที่เรียนก่อน ผมเลือกลงสาขาวิชาการจัดการทั่วไป และผมก็สอบได้ มีที่เรียนสมใจ ทีนี้เวลาใครถามผมจะได้ตอบเขาได้ว่า “อ๋อ เรียนที่สวนดุสิต” แต่ไม่บอกหรอกว่า “ภาคค่ำ” แต่เชื่อผมเถอะ ไม่มีใครมาสนใจถามหรอกว่า “ภาคอะไร”
เมื่อเรียนภาคค่ำกลางวันจึงว่าง ผมได้งานทำเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ โรงแรม สำราญเพลส แถวกิ่งเพชร ใกล้ๆ กับ โรงแรมเอเชีย นั่นแหละครับ ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ สำหรับโอกาสในการเพิ่มเติมประสบการณ์และค่าสมัคร ENTRANCE รอบที่ 2 ของผม
ในระหว่างทำงานผมก็อ่านหนังสือไปด้วย โดยผมไปซื้อหนังสือที่ห้างมาบุญครอง มาอ่านส่วนหนังสือที่อ่านผมเลือก วิชาสามัญ ครับ เพราะมันเป็นหนังสือที่รวมเนื้อหาพื้นฐานหลายวิชาไว้ในเล่มเดียว เหมาะกับคนที่ไม่ได้เงินหนาที่พอจะลากตัวเองไปติวตามสถาบันไหนๆ ได้
จากการขวนขวายอ่านเอง ไม่ได้ไปติวที่ไหน แถมยังแอบที่บ้านไปสมัครสอบด้วย ความตั้งใจ ความพยายามมันจึงมีมากกว่าการสอบครั้งก่อนมากนัก แล้ววันสอบก็มาถึงและผ่านไปตามปกติวิสัยทั่วไป พร้อมกับความไม่มั่นใจในผลการสอบที่กำลังจะประกาศออกมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
แล้ววันประกาศผลก็คืบใกล้เข้ามา สมัยนั้นจะมีการประกาศผลโดยการติดป้ายที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยจะเริ่มตั้งแต่หลังเที่ยงคืนเลยทีเดียว ซึ่งบางคนถึงหลายคนเลยที่จะไปส่องเทียนดูผลสอบกันตั้งเที่ยงคืน ตีหนึ่งกันเลยทีเดียว จนคนในสมัยนั้นเรียกกันว่า “คืนส่องเทียน” บ้าง “คืนส่องไฟ” บ้าง จะอะไรก็แล้วแต่สมัยนั้นก็เริ่มมีการฟังผลการสอบทางโทรศัพท์แล้ว ซึ่งผมก็รอฟังทางโทรศัพท์ ผมยังจำได้ว่าผมใช้บริการวิทยุติดตามตัว หรือที่เรียกกันติดปากว่า เพจเจอร์ โดยผมใช้บริการของ EASY CALL 1500 และทางบริษัทเขาก็มีบริการฟังผลการสอบ ENTRANCE ผ่านทาง บริการ 1500 ด้วย
วันก่อนวันประกาศผลสอบ ผมยังเข้าเรียนที่สถาบันราชภัฏสวนดุสิตตามปกติ เลิกเรียนผมยังไม่ยอมกลับเพราะอยากรู้ผลการสอบของตัวเองเหมือนกัน และผมก็นั่งรอจนเลยเวลาเที่ยงคืนเพื่อจะได้ฟังผลสอบ ENTRANCE ของตัวเอง ใจเต้น ตุบๆ อยู่ที่หน้า โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมก็เดินเปิดประตูตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าโรงเรียน หยิบเหรียญและยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา หยอดเหรียญแล้วกดหมายเลข 1500 รอฟังผลการสอบด้วยใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ หลังจากทางระบบให้แจ้งหมายเลขประจำตัวผู้เข้าสอบ แล้วให้รอฟังผล ในใจก็ภาวนา ขอให้ได้ ขอให้ได้ สาธุ...........แล้วเสียงตอบกลับก็มาถึง
“ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ น้องสอบได้ คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัย มหาสารคาม”
สิ้นเสียงทางระบบ ผมวางหูโทรศัพท์ ความสุข ความดีใจอบอวลเต็มอยู่ในตู้โทรศัพท์ ผมยิ้มพร้อมกับผลักประตูตู้โทรศัพท์เพื่อที่จะออกมาสูดอากาศแห่งความสำเร็จ แล้วจู่ๆ คำถามหนึ่งมันก็วิ่งแว่บเข้ามาในหัว “มหาวิทยาลัย มหาสารคาม”
ใช่ครับ “มหาวิทยาลัย มหาสารคาม?”
ครับ “แล้วมันอยู่ตรงไหนวะ?” “แล้วจะไปยังไง?”
การก้าวออกจากตู้โทรศัพท์ในวันนั้น คือการเริ่มต้นการผจญภัย เพื่อเก็บเกี่ยวดอกผลของต้นประสบการณ์ หนทางที่ห่างไกลจาก กรุงเทพมหานคร ไปอีก 400 กว่ากิโลเมตร กับจังหวัดที่อยู่ใจกลางภาคอีสาน กับจังหวัดที่ไม่เคยไป กับจังหวัดที่รู้จักแค่ชื่อ กับจังหวัดที่ไม่มีญาติหรือคนรู้จัก กับจังหวัดที่ต้องไปเริ่มนับหนึ่งในการใช้ชีวิต
“จังหวัด มหาสารคาม”
โฆษณา