5 ธ.ค. 2018 เวลา 17:53 • กีฬา
สิ่งหนึ่งที่แฟนหงส์ด้วยกันหลายคนทั่วโลกอดสังสัยไม่ได้เหมือนกันคือ ทำไมจู่ ๆ ปีนี้สไตล์การเล่นของหงส์แดงถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยเล่นเกมรุกดุดัน สไตล์เฮฟวี เมทัล เพรสซิ่ง ไล่ต้อนคู่แข่งจนป่วน และสามประสานแนวรุกที่ต่อบอลกันไหลลื่น เข้าขารู้ใจเหมือนหูกับตา แต่ปีนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร
วันนี้ผมจะนำวิเคราะห์และข้อมูลสัมภาษณ์เปิดใจของคล๊อปป์ที่เพิ่งออกมาเปิดใจอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงการเล่นครั้งใหญ่ของทีมและมันอาจถึงขั้นเปลี่ยนปรัชญาการทำทีมของคล๊อปป์ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเลยก็ได้
เป็นผู้จัดการทีมที่ดีขึ้น
คล๊อปป์บอกว่าเหตุผลแรกเลยคือเขารู้สึกเองว่าตัวเขาต้องปรับปรุงตัวเองก่อน การมาอยู่ในพรีเมียร์ลีกที่แต่ละปีมีโปรแกรมการแข่งขันไม่ต่ำกว่า 50-60 นัด ย่อมเป็นเรื่องใหญ่และท้าทายรูปแบบการเล่นของคล๊อปป์ที่เคยเป็นมา
ย้อนไปประมาณ 10 ปีก่อน ในฤดูกาลสุดท้ายที่เขาอยู่กับ ไมนซ์ ทีมของคล๊อปป์ลงเล่นทั้งหมดเพียงแค่ 36 นัดเท่านั้นตลอดซีซั่น ขณะที่หงส์แดงจะผ่านจำนวนเท่ากันนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ สรุปก็คือจำนวนการแข่งมันต่างกันมาก ทำให้สไตล์การเล่นที่ต้องใช้พละกำลังนักเตะสูงแบบ เพรสซิ่งมันมีปัญหาในระยะยาว
นอกจากนั้นวิธีการทำงานกับนักเตะเมื่อ 10 ปีก่อนกับตอนนี้ก็ต่างกันดังที่คล๊อปป์อธิบายว่า
“โค้ชย่อมต้องการฝึกสอน นั่นคือเหตุผลที่เราเก่งในเรื่องนี้และเหตุผลที่เรากรุยทางมาตลอดในวงการนี้ จากนั้นคุณก็มาอยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันก็คือการประชุมทีม กลายเป็นเรื่องของการส่งข้อความออกไปในระหว่างการประชุมมากกว่าในสนาม มันเป็นความแตกต่างอย่างมากมายและคุณก็ต้องทำความคุ้นเคยกับมัน”
หมายความว่าการทำงานในระดับสูงกับลิเวอร์พูล มันไม่ใช่แค่พาทีมลงซ้อม แต่มันมีระบบระเบียบเรื่องการประชุม การสั่งงาน และรายละเอียดอีกมาก
“งานนี้แตกต่างอย่างมากมายและแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และนั่นก็ทำให้ผมกลายเป็นผู้จัดการทีมที่ดีกว่าตอนที่ผมเพิ่งเริ่มต้นมากๆ” กุนซือเมืองเบียร์ กล่าว
รู้จุดด้อยของเพรสซิ่ง
ต่อเนื่องจากข้อแรก เมื่อบริบททุกอย่างมันเปลี่ยน แน่นอนว่าแผนการเล่นก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามด้วย ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมาคล๊อปป์พยายามปั้นหงส์ให้เป็น เมทัล ฟุตบอล ตามแบบฉบับของเขา เขาได้รับคำชื่นชมมากมาย แต่ทีมเขาไม่มีรางวัลตอบแทน
นั่นทำให้เขาเองมองเห็นจุดอ่อนสำคัญในวิธีการเล่นแบบเจเก้น-เพรสซิ่ง อยู่ 2 เรื่องใหญ่ ๆ คือ 1) เรื่องคู่แข่งเริ่มจับทางได้ กับ 2) คือ เรื่องการครองบอล ดังที่คล๊อปป์อธิบายว่า
“หลายทีมเห็นแล้วว่าเราทำได้ดีในเรื่องนั้นและรู้ว่าพวกเขาเล่นมากจังหวะเกินไป ถ้าคู่แข่งเปิดโอกาสให้เราทำแบบนั้น เราก็จะยังคงเล่นด้วยสไตล์ไล่กดดันสูง แต่บ่อยครั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ หลายทีมยังเล่นแบบไล่กดดันสูงใส่เราด้วย พวกเขาไม่ได้เกรงกลัวเราเหมือนที่พวกเขากลัว แมนฯ ซิตี้ สำหรับการเล่นกับ ซิตี้ คุณเห็นแล้วว่าพวกเขาทำได้อย่างยอดเยี่ยมแค่ไหน ถัดจากนั้นมา 1 สัปดาห์พวกเขาเล่นกับเรา มันแตกต่างออกไป”
“มันหมายความว่าตอนนี้เราต้องครองเกมให้มากขึ้น เราต้องครองบอลเอาไว้ โดยเฉพาะในการเจอกับทีมที่เน้นการโต้กลับเร็ว จริง ๆ มันเริ่มเปลี่ยนแปลงในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล เมื่อคู่แข่งที่อยู่โซนล่างของตารางต้องการแต้มและพวกเขาก็จะต้องเปิดเกมบุกมากขึ้น แต่ตอนนี้เราต้องครองเกมเอาไว้และเล่นอย่างอดทน แต่ก็เป็นในแนวทางที่กระตือรือร้น”
หงส์ที่เติบโต
สำหรับผมคิดว่านี่เป็นเหตุผมสำคัญของการปรับเปลี่ยนแผนการเล่น 3 ปีที่ผ่านมาคล๊อปป์เหมือนคนหนุ่ม วัยรุ่นที่คึกคะนอง และกำลังมีไฟอยากจะชนะ อยากจะเล่นเกมรุกดุดัน แต่พวกเขากลับขาดความนิ่ง ความอดทนต่อการเข้าทำ ซึ่งมันนำพามาสู่จุดจบที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เมื่อพวกเขาต้องเจอกับทีมที่นิ่งกว่า อย่างแมนยูและมาดริด
“นี่คือส่วนสำคัญในความคิดของเราในช่วงปรี-ซีซั่นด้วย เราพูดคุยกันแบบนั้น มันเหมือนกับว่าเรากระตือรือร้นกันมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เราไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว เพราะมันไม่มีพื้นที่ให้เล่น มันเลยเหมือนกับว่ามันตกลงไปในเรื่องของสมาธิ มันไม่สามารถทำแบบนั้นได้ จริงๆ แล้วผมชอบแบบตอนนี้มากกว่า มันโตกว่า นั่นคือก้าวต่อไปสำหรับเรา ยิ่งเล่นก็ยิ่งดี”
สิ่งที่คล๊อปป์กลับมาให้ความสำคัญมากในปีนี้คือ ปัญหาในเกมรับของ ลิเวอร์พูล เป็นสิ่งที่ถูกจัดการแก้ไขได้อย่างยอดเยี่ยม โดยหลังจากผ่านไป14 นัด หงส์แดงเพิ่งเสียไปเพียง 5 ประตูเท่านั้นน้อยที่สุดในลีก
“เราต้องพัฒนาสิ่งต่างๆ และเราก็ต้องจดจ่อไปที่เกมรับ ผมคิดมาตลอดถึงวิธีการคว้าชัยชนะและเกมรับก็คือพื้นฐานทั้งหมดของมัน”
แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อแก้เกมรับได้แล้ว เกมรุกกับเกมแดนกลางที่เคยเป็นจุดเด่นของหงส์แดงกลับกลายมาเป็นปัญหาใหม่ พวกเขาถูกวิจารณ์ว่า ขาดความไหลลื่นในการทำเกมรุก
“ในช่วงที่เกมรับไม่ดี ทุกคนพูดกันว่าคุณจำเป็นต้องแก้ไขมัน ตอนนี้คุณแก้มันได้แล้ว ทุกคนก็พูดว่า ใช่ แต่ส่วนอื่นที่เหลือล่ะ? มันเป็นแบบนี้เสมอ”
ดังนั้นจากแนวทางการทำงานของคล๊อปป์ตอนนี้คือ เขาต้องการหาแนวทางการเล่นที่เหมาะสมกับจำนวนนัดที่แข่งขันในแต่ละปี และจำนวนนักเตะที่สามารถเล่นได้ของเขา ซึ่งมันก็มาลงที่การผ่อนเรื่องของเพรสซิ่งลง และเน้นรัดกุมในเกมรับ บวกกับหาแนวทางการเข้าทำที่หลากหลายขึ้น
ดังนั้นหนึ่งในเป้าหมายการแก้ปัญหาตรงนี้ของเขาก็คือการหาเพลย์เมกเกอร์สักคน แต่ก็อย่างที่เราเห็นว่าช่วงซัมเมอร์ลิเวอร์พูลเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยทำให้พลาดตัวเป้าหมายอย่าง นาบี เฟคีย์ ไป และแม้จะได้เซอร์ดาน ชากิรี่ มาเพื่อเพิ่มมิติเกมรุก แต่คนอื่น ๆ ซาลาห์, ฟีร์มีโน่, มาเน่ ฟอร์มก็ดร็อปลงไปในเรื่องการยิงประตู จนคล็อปป์ ต้องรื้อระบบ 4-2-3-1 มาเป็นจุดแข็งและแก้ปัญหาในเรื่องเกมรุก แต่นั้นเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น
ผลลัพท์ที่น่าพอใจ-แต่ยังไม่เพียงพอ
ความท้าทายของหงส์แดงในตอนนี้ พวกเขาประกาศตัวเป็นผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งของแมนซิตี้ และด้วยแนวทางการเล่นใหม่ ที่รัดกุมเน้นผลการแข่งขัน และเซฟร่างกายนักเตะ ทำให้ลิเวอร์พูลทำสถิติเริ่มต้นฤดูกาลได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร 126 ปี และยังไม่พ่ายแพ้ในพรีเมียร์ลีก แต่ขนาดนั้นก็ยังคงตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูงอยู่ 2 คะแนน
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา ผมไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ มันมี 1 ทีมที่ทำประตูได้มากกว่าเรา แต่ทีมอื่น ๆ ที่เหลือก็อยู่ในระดับเดียวกัน และมันก็จะมีเกมที่พวกนักเตะสามารถเล่นได้อย่างไหลลื่น เกมแบบนั้นจะมาถึงแน่ ๆ ผมแน่ใจจ 100 เปอร์เซนต์กับเรื่องนั้น เราเกือบจะทำได้ในหลาย ๆ สถานการณ์ แต่ตอนนี้เราจำเป็นต้องคว้าผลการแข่งขัน”
นอกจากนั้นคล๊อปป์ยังพูดถึงว่าการพัฒนาทีมของเขาอายุยังน้อยมาก ยังเพิ่งเริ่ม และต้องการเวลาในการเติบโตไปข้างหน้า “มันยังเป็นทีมที่อายุน้อยมาก ๆ ไม่มีใครเคยมีประสบการณ์คว้าแชมป์มาก่อน คู่แข่งสำคัญของเราเป็นแชมป์มาแล้ว แชมป์เมื่อปีก่อน แชมป์เอฟเอ คัพ และอะไรประมาณนั้น ทุกทีมต่างท้าทายคุณและเราก็ต้องหาแนวทางของตัวเอง เรารู้ว่ามันจะไม่มีทางเป็นเรื่องง่าย และตอนนี้มันก็จะเป็นงานหนักมากๆ”
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหวังว่าเพื่อน ๆ จะเข้าใจแนวทางการทำงานของคล๊อปป์มากขึ้น และหากบทความนี้มีประโยชน์ ก็ช่วยแชร์ไปให้พี่น้องหงส์เราอ่าน เพื่อเขาจะได้เข้าใจบอสมากขึ้นเช่นกัน
เครดิต : เพจ เด็กหงส์
โฆษณา