9 ธ.ค. 2018 เวลา 03:10 • ปรัชญา
"อยากช่วยนะ แต่ขอคิดดูก่อน"
เวลาเราเห็นภาพข่าวหรือคลิปเหตุการณ์ที่มีผู้ประสบอุบัติเหตุ สิ่งที่เราจะเห็นในบางข่าวหรือคลิปก็คือ จะมีผู้เห็นเหตุการณ์บางส่วนที่ไม่เข้ามาช่วยเหลือ จนบางทีเราก็แอบบ่นไม่ได้ว่า "ทำไมคนพวกนั้นถึงไม่เข้าไปช่วย"
แต่เชื่อไหมครับว่า ถ้าเป็นเราไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ก็มีโอกาสสูงที่เราเองจะไม่เข้าไปช่วยผู้ประสบภัยเหมือนกัน เหตุการณ์ลักษณะนี้เรียกว่า Bystander effect
Bystander effect เป็นสภาวะทางจิตใจที่เราตัดสินใจโดยอ้างอิงจากคนอื่น ถึงแม้ว่าการกระทำของคนอื่นนั้นจะขัดแย้งกับความคิดของตัวเองก็ตาม เช่น เห็นคนโดนรถชน ใจเรานึกอยากไปช่วย แต่พอเห็นคนอื่นๆไม่เข้าไปช่วยเราจึงไม่ช่วยตามคนอื่น
เคยมีการทดลองเพื่อทดสอบ Bystander effect ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ชื่อ "Smoke filled room" โดยจะแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้อาสาสมัครนั่งทำแบบทดสอบคนเดียว กลุ่มที่ 2 มีอาสาสมัครนั่งทำแบบทดสอบ 3 คน และกลุ่มที่ 3 มีหน้าม้าที่ไม่ว่าจะยังไงก็จะนั่งอยู่ในห้องทดสอบ 2 คนแล้วจึงให้อาสาสมัคร (จริงๆ) ตามเข้าไปนั่งทำแบบทดสอบด้วยอีกคน เมื่อทำแบบทดสอบไปสักพัก ทีมวิจัยจะปล่อยควันเข้าไปในห้องทางช่องระบายอากาศ แล้วติดตามว่าอาสาสมัครจะออกมาแจ้งเรื่องควันกับทีมวิจัยหรือไม่
ผลการทดลองพบว่า ในกลุ่มที่ 1 มีอาสาสมัครถึง 3 ใน 4 (75%) ที่ออกมารายงานว่าในห้องมีควัน แต่เมื่อเป็นกลุ่มทีมีอาสาสมัครอยู่ในห้องด้วยกัน 3 คน กลับพบว่าอัตราการออกมาแจ้งทีมวิจัยลดลงเหลือ 38% และที่น่าสนใจคือ กลุ่มที่มีหน้าม้าที่ไม่สนใจควันอยู่ในห้องด้วย 2 คน พบว่าอัตราที่อาสาสมัครจะออกมาแจ้งทีมวิจัยลดลงเหลือเพียง 10%
ปัจจัยสำคัญของ Bystander effect คือจำนวนของคนที่อยู่ด้วย ถ้ายิ่งคนหมู่มากทำอย่างไร เราก็มีแนวโน้มที่จะทำอย่างนั้นตามด้วย ดังนั้น ถ้าเราเป็นคนดีที่อยากช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่อยู่ท่ามกลางคนที่ไม่แยแสสนใจอะไร เราก็มีโอกาสที่จะเพิกเฉยต่ออุบัติเหตุนั้นไปด้วย
แล้วอะไรที่ทำให้เกิด Bystander effect?
นักจิตวิทยาได้อธิบายไว้ว่า Bystander effect เกิดจากกลไกทางความคิด 3 อย่าง คือ
1. ยิ่งมีคนอื่นอยู่ด้วยมาก เรายิ่งมีส่วนรับผิดชอบกับเหตุการณ์นั้นน้อยลง
2. ความกลัวว่าผู้อื่นจะมองเราไม่ดีที่เข้าไปช่วย เช่น เข้าไปช่วยแล้วสถานการณ์กลับแย่ลง หรือกลัวคนอื่นมองว่าที่เข้าไปช่วยเพราะเราเป็นคนทำใช่ไหม
3. ความคิดว่า ถ้าคนอื่นไม่เข้าไปช่วยแสดงว่าสถานการณ์อาจไม่ได้เลวร้ายอะไร
กลไกที่กล่าวไปนั้นเรียกว่า Personal distress คือความรู้สึกไม่สบายใจส่วนตัว ซึ่งมันจะคานกับความรู้สึกสงสารเห็นใจ (Empathy) โดย Personal distress จะเกิดขึ้นมาก่อน หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย Empathy จะเริ่มมีอำนาจในใจมากขึ้น และเมื่อมันมากเพียงพอเราจึงจะลงมือช่วย
ความน่ากลัวของ Bystander effect คือ ถ้าเราทำไปบ่อยๆ เราจะเกิดความเคยชินกับชุดความคิดแบบนั้นจน Empathy ลดน้อยลงจนกลายเป็น Apathy คือไม่มีความแยแสสนใจอะไรในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเลย
และคนแล้งน้ำใจจึงเกิดขึ้นได้ด้วยประการฉะนี้
Reference :
1. Latane, B., & Darley, J. M. (1968). Group Inhibition of Bystander Intervention in Emergencies. Journal of Personality & Social Psychology. 10(3): 215–221.
2. Hortensius, R., & de Gelder, B. (2018). From Empathy to Apathy: The Bystander Effect Revisited. Current Directions in Psychological Science. 27(4): 249-256.
1
เครดิตรูปประกอบ : https://www.monoimages.com/images/silhouettes-of-people-in-smoke/
โฆษณา