10 ธ.ค. 2018 เวลา 15:11
ชลมารควิถี
มรรควิธีแห่งเต๋า
“ไม้ท่อนเเดียวกัน เมื่ออยู่บนบ่า มันเป็นภาระแห่งเรา แต่เมื่อลอยอยู่ในน้ำมันอาจกลายเป็นเครื่องทุ่นแรง”
เมื่อเอ่ยถึงจังหวัดชลบุรี คงไม่มีใครไม่รู้จัก เนื่องจากเป็นเมืองเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว แต่ถ้าบอกว่าชลบุรีมีแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ที่น่าสนใจ อาจมีบางคนทำหน้างุนงง เพราะสถานที่แห่งนี้สร้างเสร็จไม่กี่ปี สถานที่ดังกล่าวเป็นสะพานเลียบชายทะเล เรียกว่าสะพานชลมารควิถี จุดประสงค์หลักที่สร้างขึ้นมา เพื่อใช้แก้ปัญหาการจราจรที่หนาแน่น แต่ผลพลอยได้คือ ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและออกกำลังกายของคนชลบุรีและคนที่ผ่านไปมาไปด้วย
ผมจัดอยู่ในกลุ่มคนที่ผ่านไปมา มีความฝันว่าอยากไปวิ่งออกกำลังกาย รับอากาศบริสุทธิ์ของทะเลเมืองชลยามเช้าสักครั้ง
หลังจากไปปั่นจักรยานชมวัดและวิ่งฝ่าไอหมอกที่เชียงคานมาแล้ว ได้เพียงชั่วคืนก็มีเหตุที่ต้องเดินทางไปที่ชลบุรีต่ออีก การเดินทางไปทำธุระครั้งนี้ จึงเป็นการประจวบเหมาะกับความตั้งใจเดิมที่อยากไปชมและออกกำลังกายที่สะพานชลมารควิถีอยู่แล้ว
Starting run !!
เสียงคำสั่งอัตโนมัติจากโปรแกรม Strava สั่งให้ผมเริ่มออกวิ่งจากจุดเริ่มต้น ในเวลา 05.05 น.
ผมวิ่งแบบวอร์มอัพไปในตัว จากที่พักซึ่งอยู่ไกลจากสะพานเลียบชายทะเลประมาณ 2 กิโลเมตร ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาเริ่มต้นการทำมาหากินของคนบางคนที่นั่นเช่นกัน
จากถนนในเมืองโค้งขึ้นชลมารควิถี ที่มุมพักผ่อนริมทางเท้า กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวงฟังเพลงและพูดคุยกันเสียงดังในมุมสลัว ไม่ใช่พวกเขามากันแต่เช้า แต่พวกเขายังไม่นอนต่างหาก !!
บนถนนเลียบชายฝั่ง แสงไฟจากโคมไฟส่องสว่าง มองเห็นในระยะไกลเหมือนเส้นประจุดบนฉากสีดำ โค้งอไปตามชายฝั่งทะเลที่โค้งคด
ที่นี่...มีเพื่อนนักปั่นและนักวิ่งมารวมตัวกันบ้างแล้ว ต่างคนต่างเตรียมความพร้อมเพื่อเป้าหมายของตัวเอง
ในท้องทะเลยังมืดมิด เห็นเพียงแสงสว่างจากโคมไฟ บนราวสะพานเท่านั้น ที่วับวาวไปตามทางเท้า
ผมวิ่งตามและบางครั้งก็วิ่งสวนทางกับนักวิ่งและนักปั่นที่แปลกหน้าเป็นระยะ ๆ ในขณะเดียวกัน ผมก็เป็นคนหน้าไม่คุ้นสำหรับพวกเขาเช่นกัน
ลมทะเลยามนั้นดูสงบ แต่บนทางวิ่งชิดฝั่งทะเล นักตกปลาที่อาศัยราวสะพานวางคันเบ็ดอยู่กันเป็นช่วง ๆ ต่างส่งเสียงคุยกันดังขรม บ่งบอกถึงความเป็นคนท้องถิ่นแถบนี้
ความจริงก็คือ แต่ดั้งเดิมที่นี่เป็นที่หาปลา ไม่ใช่ที่ปั่นจักรยานหรือวิ่งออกกำลังกายของคนเมือง !!!
เพราะที่นี่คือ ท่าเรือประมงพลี สถานที่ทำการประมงของคนท้องถิ่น ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เมืองชลบุรีมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา การที่ชลบุรีตั้งอยู่ติดทะเลและชายฝั่งทะเลมีคลื่นลมไม่แรงจัดตลอดปี ทำให้ชลบุรีเป็นเมืองท่าที่สำคัญมาตั้งแต่โบราณกาล มีชาวจีนล่องเรือสำเภาขนาดใหญ่มาค้าขายและอพยพมาตั้งถิ่นฐานจำนวนมากและกลายเป็นแหล่งสะสมอารยธรรม และความเจริญรุ่งเรืองหลายๆด้าน โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตชุมชน
ชุมชนในเขตอำเภอเมืองอาศัยบริเวณชายฝั่งทะเลเป็นส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพประมงเชิงอนุรักษ์ ใช้เรือขนาดเล็กและอุปกรณ์แบบภูมิปัญญาท้องถิ่น จับกุ้ง หอย ปู ปลา และกลุ่มผู้เลี้ยงหอยในทะเลน้ำตื้น เช่น หอยแมลงภู่ หอยนางรม และหอยแครงซึ่งได้จำหน่ายในตลาดสดเมืองชลบุรี พื้นที่ข้างเคียงและต่างจังหวัด จนเป็นสินค้าและเอกลักษณ์ของชาวชลบุรี มาอย่างช้านาน
ปัจจุบัน ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประกอบกับเกิดภาวะเสื่อมโทรมของพื้นที่ที่มีความเสื่อมโทรมตามกาลเวลา และการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุคใหม่ ทำให้ตลาดประมงที่เคยรุ่งเรืองมาในอดีต กลายเป็นตลาดร้างไร้ผู้คน และนักท่องเที่ยวเข้ามาซื้ออาหารทะเลเหมือนแต่ก่อน
เพื่อเป็นการส่งเสริมกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าขายอาหารทะเลของชาวประมงและประชาชนในพื้นที่อำเภอเมือง ให้กลับมาคึกคัก นักท่องเที่ยวได้ซื้ออาหารทะเลสดๆ ใหม่ๆ จากเรือประมง รับประทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศเหนือน้ำทะเล หรือทะเลโคลนยามน้ำลง พร้อมกันได้ชมทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์อัสดง ผสมผสานบ้านเรือนและวิถีชีวิตของชาวเล จังหวัดและเทศกาลเมืองชลบุรี จึงได้ร่วมกันจัดโครงการประมงท่าเรือพลี เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ฟื้นฟูอาชีพการประมง และการค้าขายอาหารทะเลสืบต่อไป
 
ผมวิ่งหลบคนตกปลาบนทางวิ่งครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้จังหวะการวิ่งเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่อง หากถือเอาว่า ทางเท้าเป็นทางวิ่งที่ใครจะมาขวางไม่ได้ ผมคงต้องได้ปะทะกับคนตกปลาแน่นอน แต่หากเราถือเอาว่า ทางเท้าอีกฝั่งสะพานก็ยังใช้วิ่งได้ โดยไม่รบกวนคนตกปลา ผมก็สามารถเปลี่ยนแปลงทางวิ่งและจะวิ่งไปได้ตลอดรอดฝั่งแน่นอน
ความก้าวหน้าและความล้าหลังมันเป็นเอกภาพของด้านตรงข้ามเสมอ เป็นของคู่อันเป็นสมดุลของธรรมชาติ ลัทธิเต๋า (ซึ่งแปลว่า หนทาง) อธิบายความเป็นเอกภาพของสองด้านนี้ด้วยคำว่า “หยางกับหยิน”
หยาง คือ พลังด้านบวก
หยิน คือ พลังด้านลบ
หยินและหยาง ไม่ใช่ตัวแทนของความดีและความชั่ว แต่ทั้งสองมีความจำเป็นต่อกฏเกณฑ์ ของความเป็นเอกภาพ ไม่มีภาวะของการปะทะกัน แต่ยามใดมีความสามัคคีกัน ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งดีด้วยกัน
ผมเปลี่ยนเส้นทางวิ่งไปอีกฝั่ง ที่อยู่ตรงข้ามฝั่งของคนตกปลาและเป็นฝั่งที่อยู่อาศัยของคนในชุมชนอันเป็นที่ตั้งของตลาดท่าเรือพลี ขณะที่แสงโคมไฟบนราวสะพานทุกดวงถูกความสว่างของดวงอาทิตย์กลืนกินจนหมดสิ้น
ความสว่างดังกล่าว ทำให้ผมมองเห็นหน้าเปื้อนเหงื่อของคนออกกำลังกาย เห็นรอยยิ้มของนักท่องเที่ยวที่เพิ่งเดินทางมาถึง เห็นและได้ยินเสียงคนตกปลาหัวเราะร่วน เห็นชาวบ้านชาวเลทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ชาย และผู้หญิง ง่วนอยู่กับงานประมงของพวกเขา มันเป็นภาพเพลินตา เพลินใจไปตลอดเส้นทางการวิ่ง
โปรแกรม Strava บันทึกข้อมูลการวิ่งของผมในเช้านี้ว่า ทำระยะทางได้สิบกิโลเมตรเศษ ใช้เวลาไปสองชั่วโมง ผมหยุดวิ่งเพื่อเดินเท้ากลับที่พัก
ที่มุมพักผ่อนริมทางเท้า บริเวณทางโค้งขึ้นสะพานชลมารควิถี กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มเดิมยังคงมีสุนทรีย์กับเสียงเพลงอันสนุกสนาน ราวกับไม่รู้จักคำว่าเลิกรา
“ไม้ท่อนเดียวกันเมื่ออยู่บนบ่า มันเป็นภาระแห่งเรา แต่เมื่อลอยอยู่ในน้ำมันอาจเป็นเครื่องทุ่นแรง”
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกด้านไหนมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับเรา !!!
โฆษณา