20 ธ.ค. 2018 เวลา 09:02 • ความคิดเห็น
ทำไม Facebook ไม่น่าเล่นเหมือนเมื่อก่อน ตอนที่ 2
ไม่น่าเชื่อว่าตอนแรกที่ผมเขียนลงใน Blockdit จะมีคนสนใจเยอะขนาดนี้ แต่บทความก่อนหน้านั้นผมพูดแค่เกริ่น ๆ เท่านั้นนะครับ ในตอนที่ 2 ผมจะจัดเต็มแล้วก็มีหลายคนเข้ามา comment ประเด็นเรื่องโฆษณาใน Facebook ที่เยอะมากๆเยอะจนไม่สามารถควบคุมได้ ในตอนที่ 2 ผมจะเล่าประเด็นเกี่ยวกับโฆษณาใน Facebook ให้คนได้รู้กันครับ เพราะปัจจัยที่คนเริ่มเลิกเล่น Facebook ส่วนหนึ่งมาจากโฆษณาครับ
โฆษณา Facebook ที่มีมากเกินไป
ผมไม่รู้ว่า Facebook เอาโฆษณามาลงใน News feed ในช่วงปีไหน แต่ช่วงแรกๆที่เอาโฆษณามาลงความถี่ในการลงโฆษณาค่อนข้างน้อยครับ ผ่านไป 10 โพสต์ถึงจะเห็นโฆษณา 1 ครั้ง
แต่ผ่านไปประมาณปีหรือ 2 ปีโฆษณาเริ่มออกถี่มากขึ้นจากเลื่อนผ่านไป 10 โพสต์เหลือ 8 โพสต์แล้วเราจะเห็นโฆษณา
และลดลงทุกๆปีจาก 8 เหลือ 6
จนในปัจจุบันความถี่ของโฆษณาใน Facebook เมื่อเปิดบน PC จะอยู่ที่เลื่อนผ่านโพสต์  5 โพสต์ จะเห็นโฆษณา
แต่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นมือถือ ถ้าเลื่อนผ่านโพสต์ 4 โพสต์จะเห็นโฆษณาครับ ซึ่งถือว่าถี่มากๆ
โดยโพสต์ที่ว่ามันรวมไปถึง Story ที่ Facebook จะยัดใส่เข้าไปแทรกระหว่างโพสต์ด้วย ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำไมโพสต์ของเราโพสต์แล้วไม่มีใครเห็นก็เพราะว่า Air time ของโพสต์โฆษณามันถี่มาก และโพสต์ของเราต้องไปประชันกันใน News feed อีกที
ไม่ใช่แค่โฆษณาบน News feed เท่านั้นมันยังรวมถึงสตอรี่ของ Facebook โฆษณาที่ขึ้นใน Story จะไม่ขึ้นถี่เหมือนใน Instagram นะครับ Story ของ Instagram ยอมรับจริงๆว่าขึ้นถี่มากๆพอๆกับ News feed ใน Facebook เลย
1
ระบบ Facebook เป็นระบบยัดเยียด มากกว่าแบบ on demand
ส่วนตัวผมคิดว่าระบบ Facebook จะคล้ายคลึงกับระบบวิทยุที่บางทีเราเปิดไปที่คลื่นอะไรก็ได้ เราจะเจอ Content ที่เราไม่ได้สนใจตั้งแต่แรก ซึ่งระบบ Facebook มันเป็นแบบนี้จริงๆครับ สังเกตได้อย่างโฆษณาที่โพสใน News feed แล้วก็ใน News feed ที่ถ้าใครปรับไม่เป็นแล้วจะมานั่งโทษนิวฟีดทุกวันทุกวันแล้วก็ทุกวัน ทุกวันนี้ผมก็ต้องมาทำความสะอาดนิวฟีดกันทุกสัปดาห์เลย โพสต์ไหนที่เราไม่ได้สนใจแล้วก็เลิกติดตามไป แต่โพสต์ไหนที่มันน่าสนใจก็ติดตามต่อ
ส่วนตัวผม ผมเป็นคนเสพสื่อแบบออนดีมานด์อยู่แล้วประมาณว่าถ้าผมจะสนใจอะไรอย่างอื่นมันจะต้องมีคนมาแนะนำก่อนแล้วผมจะไปสนใจหนังสือเล่มนั้นหรือคลิปนั้นหรือบางทีก็อะไรใหม่ๆที่เขาแนะนำ ซึ่งสื่อแบบออนดีมานด์ในตอนนี้ก็จะมี Twitter YouTube soundcloud Podbean
1
แต่ในความเป็นจริง Facebook ก็สามารถทำให้มันเป็น On Demand ได้ด้วยการเข้าไป Search เพจเพจนั้นแล้วไล่ดูในเพจนั้นเลย
ถามว่าระบบ Facebook มันจะยัดเยียดยังไง ให้ไปดู Facebook Watch ครับแล้วจะรู้เลย
การกระทำกิจกรรมต่างๆใน Facebook ไม่มีความส่วนตัว
มีบางคนกล่าวว่ามันไม่ส่วนตัวตั้งแต่ตอนที่เราสมัคร facebook แล้ว ตรงย่อหน้านี้ผมจะไม่พูดถึงกรณีข่าวหลุดของ Facebook ที่ผ่านมานะครับเพราะว่าอันนี้ก็รู้รู้อยู่แล้วว่า Facebook โพสไปแล้วมันไม่มีความเป็นส่วนตัวแน่นอน ไม่ใช่แค่ Facebook อย่างเดียวเท่านั้นครับมันรวมถึง Social Network ทุกอย่างที่เอาข้อมูลของเราไปใส่ใน Server ต่าง ๆ
1
แต่ที่ผมจะพูดคือ การกระทำใน Facebook ทุกอย่างของเราไม่มีความเป็นส่วนตัว เพื่อนของเราสามารถเห็นว่าเราไปทำอะไรบ้าง
บางทีรู้สึกน่าอายถ้าเราไปติดตามเพจแนวๆติดเรท แล้วพอไปกดไลค์เพจนั้นปรากฏว่าเราไปติดตามเพจติดเรทนั้นทันทีโดยขึ้นในหน้า News feed ของเพื่อน แล้วไม่ใช่แค่เพื่อน รวมถึงผู้ติดตามด้วย หรือถ้าเอากรณีใกล้ตัวสุด ๆ คือผมเห็นเพื่อนติดตามสมาชิกไอดอลคนนึง แค่กดไลค์เพจมันก็แชร์ให้คนอื่นรู้แล้วครับ แล้วแฟนก็เข้ามา Comment คน ๆ นั้นว่า “กลับบ้านน่าดูแน่”
2
หรือบางทีเราเข้าไปดู Live Live นั้น แทนที่จะดูไลฟ์คนเดียวเป็นการส่วนตัวปรากฏว่าถ้ามีเพื่อนอยู่ในลิสเพื่อนของเราเข้าไปดูไลฟ์ด้วยกันกับเรา มันจะปรากฏชื่อเพื่อนของเราด้วย
1
หรือแม้แต่การกดไลค์ใน Content ต่างๆจากเพจหรือว่าในโปรไฟล์ส่วนตัวถ้ามีเพื่อนที่เหมือนกันกับเราเข้าไปกดด้วยเราจะเห็นเลยว่าเพื่อนคนนี้เข้าไป react ใน Content นั้น ๆ
พูดอย่างนี้แล้วเสียวสันหลังกันใช่ไหมล่ะ เวลาจะทำอะไรใน Facebook เพื่อนรู้หมดเลย ซึ่งตรงนี้ผมรู้สึกรำคาญมากๆไม่ว่า Facebook ตอนนี้เริ่มให้ความสำคัญกับ privacy settings แต่ดูเหมือน privacy settings ของ Facebook มันป่วย มันไปแก้ไขเรื่องของการรับแอดคนใหม่การติดตามคนใหม่หรือผู้โพสต์ที่ควบคุมเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่การกระทำอะไรใน Facebook ดันไม่สามารถตั้งค่า privacy ได้เลย มันน่าไหมล่ะ
การแจ้งเตือนจากเพจที่ไม่รู้จะแจ้งเตือนไปทำไม และเรื่องของ response rate
การแจ้งเตือนใน Facebook บางทีมันเป็นการแจ้งเตือนที่ค่อนข้างไร้สาระบางอย่างผมไม่อยากจะรู้ก็ได้อย่างเช่นเวลาผมไม่ตอบบางคนที่เข้ามาถามในเพจ เพราะว่ามันเป็นข้อความที่ไม่น่าตอบมันไร้สาระ แต่การไม่ตอบเขาของเรามันกลายเป็นว่าเราเพิกเฉยต่อคนที่เข้ามาสอบถามในเพจทำให้เปอร์เซนต์ในการตอบลดลง และที่ผมเวียนหัวสุดๆคือรายการที่มีคนส่ง Message ด้วยการส่งสติ๊กเกอร์เพื่อจบการสนทนาในตอนนั้น พอผมไม่อ่านก็กลายเป็นว่าเพิกเฉยแล้วมันจะมีการแจ้งเตือนว่า
1
“Earn a response rate on (ชื่อเพจ) by responding to a message from (คนที่ส่งข้อความ)”
แปลเป็นไทยประมาณว่าถ้าจะเพิ่มค่า Response Rate ให้ตอบกลับคนคนนั้นด้วย แล้วถ้าเราไม่ตอบกลับ ค่า Response Rate ของเราจะลดลง
สำหรับพวกธุรกิจที่ต้องการติดต่อกับคนหรือพวกฟรีแลนซ์ ตรงนี้ก็สำคัญมาก ๆ แต่พวกเพจที่ให้ความรู้ใส่ Content แล้วก็ไม่ได้ติดต่อเรื่องฟรีแลนซ์ตรงนี้อาจจะไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ แต่ปัญหาคือการที่ระบบ Facebook บอกว่าให้ตอบกลับคนๆนั้นคือเขาตอบกลับเป็นสติ๊กเกอร์แบบเหมือนบอกลาขอบคุณครับ แต่ผมจะต้องตอบกลับสติ๊กเกอร์นั้นด้วยเหรอ Facebook คิดอะไรอยู่เนี่ย 5555
นอกจากการแจ้งเตือน response rate ยังมีการแจ้งเตือนต่างๆนานาจากเพจที่ผมก็ไม่อยากจะรู้อย่างการแจ้งเตือนสถิติของผู้ชมที่เข้ามาดูในเพจ คือบางทีผมก็เข้าไปดูพวกอินไซด์อะไรได้ ถ้าถามว่าผู้การแจ้งเตือนพวกนี้ปิดได้ไหม คำตอบคือปิดได้ แต่มันจะปิดทุกการแจ้งเตือน แล้วบางทีการแจ้งเตือนที่สำคัญอย่างพวก Message ปรากฏว่าการแจ้งเตือนเมสเสจดันปิดไว้ด้วย ผมไม่รู้ว่าใครเข้ามาส่ง Message ถามผมมันแยกแยะไม่ออก
2
Facebook นึกจะเพิ่มฟีเจอร์ก็เพิ่มไม่มีการบอก User อะไรเลย
Instagram เวลาเพิ่มฟีเจอร์อะไรก็จะมีการบอก User ให้เตรียมตัวว่าเพิ่มตรงนี้นะอย่างนี้ผ่านทางสตอรี่ของทางไอจีเอง แต่ Facebook ไม่มีการบอกอะไรทั้งสิ้นหรือจะเพิ่มก็เพิ่มไปเลยอย่างช่วงที่ Story มาใหม่ๆตอนนั้น Story จะเป็นลูกกลมๆเหมือนกับ Instagram แต่พอเวลาผ่านไป Story แถวมันใหญ่ขึ้นแล้วบางทีคือเรียนหน้าพร้อมกัน 6 Story เต็มจอเลย สิ่งเล็กๆที่ใช้ Sorry ของ Facebook รู้สึกร้อนหน้าตัวเองเพราะว่าหน้าของตัวเองจะโผล่ตรงช่วงสตอรี่ของ News feed Facebook ตลอดเวลา แต่พอใช้งานไปเรื่อยๆก็เริ่มคุ้นแล้ว
ดูเหมือน Facebook จะผลักดัน Story ให้เกิดให้ได้เลยเอาพวก Story ไปยัดใส่ใน News Feed อีก  ประมาณว่าเพื่อนๆนิวฟีด new story ก็โผล่มาอีกแล้ว แล้วช่วงที่ Peak ที่สุดคือบางช่วง Story ใหญ่คับฟ้าใหญ่มากๆใหญ่เต็มหน้าจอเลย แล้วปัญหาคือ Story ที่โผล่ในตอนนั้นมันเป็นสตอรี่ที่ดูไปแล้วด้วย
ไม่ใช่แค่ประเด็นเรื่อง Story ยังมีประเด็นอื่นๆที่ทาง Facebook เพิ่มหรือลดโดยพละการ ไม่มีการบอก User อะไรเลย นึกจะเพิ่มก็เพิ่ม นึกจะลดก็ลด ทำให้แพทฟอร์ม Facebook ในตอนนี้มันเป็นแพลตฟอร์มที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาต้องทำใจ เปรียบเสมือนบ้านเช่าที่เจ้าของบ้านจะเพิ่มนโยบายอะไรก็เพิ่มโดยที่ไม่มีการแจ้งให้ผู้เช่าทราบ
Facebook พยายามจะควบคุม Social Network ของตัวเองให้เป็น Social Network สำหรับเพื่อนสนิท ไม่ได้สร้างมาเพื่อคนเสพ Content
ก่อนหน้านี้ผมบอกค่อนข้างบ่อยว่า Facebook คือ Social Network เพื่อเพื่อนๆที่รู้จักกัน แต่ดูเหมือนว่า Facebook กลับละเลย User สายเสพ Content โดยเฉพาะครับ
ซึ่ง User สายเสพ Content จะแตกต่างจาก User ทั่วๆไปที่มีเพื่อนเล่น Facebook ด้วยกัน ไปไหนไปด้วยกันแล้วก็แท็กภาพตามประสาคนเพื่อนเยอะ คือ User สายเสพ Content เค้าสร้าง account Facebook มาเพื่อติดตาม Content ของเเต่ละเพจโดยเฉพาะ เขาอาจจะติดต่อผ่าน Social Network อื่นๆอย่าง LINE หรือ Email จะใช้ Facebook เพื่อเอาไว้ติดตาม Content อย่างเดียว
ที่ต้องสร้าง User เอาไว้เสพ Content เพราะว่าพวก Content ใน Facebook เราจำเป็นต้อง Login เข้าไปดูก่อน หากเราเข้าดู Content ใน Facebook ผ่านการ search ของ Google ถ้าไม่ได้ล็อกอินจะมีการบังคับให้ล็อกอินก่อนครับ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จำเป็นต้อง Login Facebook ค้างเอาไว้
ซึ่งบางที User ที่เอาไว้เสพ Content ไม่จำเป็นต้องตั้งชื่อจริงหรือใช้รูปจริงๆของเรา เอารูป Avatar มาใส่แทนหรือบางทีก็ตั้งชื่ออะไรตามที่เราต้องการเพื่อปกปิดความเป็นตัวเรา ซึ่งทุกวันนี้ User ที่เอาไว้เสพ Content เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และอีกเหตุผลที่บางคนสร้าง User เอาไว้เสพ Content เพราะว่าการกระทำอะไรใน Facebook ไม่ว่าจะกด Like ไม่ว่าจะ comment หรือดูคลิปไลฟ์ คนที่เป็นเพื่อนจะรู้หมดว่าเรากำลังทำอะไร การมี user แบบ Avatar ก็ช่วยได้เรื่องของความเป็นส่วนตัว
แต่เรื่องน่าสนใจสำหรับคนทำ Content ใน Facebook คือพวก Blogger ที่เปิดหน้าตัวเองหรือทำอะไรก็ได้ที่โชว์ไลฟ์สไตล์ตัวเองซะส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จใน Facebook เนื่องจากว่าโชว์ความเป็น Personal branding อย่างชัดเจน แต่คนสร้าง Content จำพวกข่าวหรือความรู้ที่ไม่ได้โชว์ตัวตนของเราเองอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในเฟสบุคเนื่องจากว่าทาง Facebook เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อ Content creator เหมือนทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามสำหรับ Content creator ที่จะสร้าง Content ใน Facebook ผมเชื่อว่าทาง Facebook ไม่ได้ให้สิทธิ์ Exclusive สำหรับ Content creator เลย ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ลง Content ทุก platform จะดีที่สุดครับ
ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ทำไม Facebook ไม่น่าใช้งานเหมือนแต่ก่อนโดยที่ผม List มาเรียบร้อยแล้วครับ ถ้าถามว่า Facebook ทำแบบนี้ Facebook ถูกไหมจริงๆมันก็ถูกของเขาเพราะว่าทาง Facebook เองก็ต้องปรับตัวการใช้งาน Social Network ของตัวเองให้ตรงตามสถานการณ์หรือตามช่วงเวลานั้นๆ
อย่างเมื่อก่อนย้อนไปประมาณ 10 ปีที่แล้วการใช้งาน Facebook ตอนนั้นล้ำมากๆ เพราะว่าไม่มี Social Network อันไหนที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถแชร์สถานะของตัวเองเลย
1
แต่พอตอนนี้การใช้งาน Social Network เริ่มใช้งานผ่านมือถือมากขึ้นดังนั้นพวกฟีเจอร์อะไรต่างๆที่ใช้งานผ่านมือถือหรือเกิดมาเพื่อมือถือโดยเฉพาะเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆแล้วทาง Facebook ก็ต้องปรับตัวไม่งั้นคนจะหนีจาก Facebook ไปใช้ Social Network อื่นๆแทน
ทุกวันนี้คนที่ใช้งาน Facebook ที่ได้เปรียบก็คือผู้ที่มีเพื่อนๆที่มีผู้ติดตามเยอะอยู่แล้ว อยู่ในวงเพื่อนของเรา แล้วบางทีไปเที่ยวไหนมาไหนก็จะถ่ายรูปและมีการแท็กกันไปด่ากันมา าบางคนที่เข้ามาแอดผมเขาเข้ามาเยอะ เพราะผมได้ถ่ายคู่กับเพื่อนคนนั้น ซึ่งเพื่อนคนนั้นเขามีผู้ติดตามเยอะมาก ๆ เลยกลายเป็นว่าผมฮอตในช่วงเวลานั้น
โฆษณา