22 ธ.ค. 2018 เวลา 10:49 • ความคิดเห็น
เทรนด์สร้าง Content ในปี 2019
นับวันนักสร้างคอนเทนต์ในโลกออนไลน์เริ่มมีมาเรื่อย ๆ ก่อนหน้านั้นอาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพแบบจริง ๆ จัง ๆ ส่วนใหญ่เป็นอาชีพงานอดิเรกที่บันทึกเรื่องราวที่น่าสนใจลงในพื้นที่สื่อของตัวเองแบบฟรี ๆ  แต่มีบางคนที่ทำอย่างจริงจังและรับงานต่าง ๆ อย่างจริงจังจนเอาพื้นที่สื่อของตัวเองสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
ทำให้อาชีพ Content creator ในประเทศไทยเริ่มบูมมากขึ้น แต่การที่บูมอย่างรวดเร็วทำให้สภาวะ Red ocean เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน แล้วตอนนี้ใครจะเริ่มต้นสร้างพื้นที่สื่อของตัวเองต้องคิดใหม่ว่าตัวเราเองมีจุดแตกต่างอย่างไรบ้างให้คนอื่นได้จดจำครับ
ไม่ใช่แค่เราต้องต่อสู้กับพวก Blogger หรือ Content creator คนอื่นๆ เรายังต้องต่อสู้ระบบที่เราลงสื่อด้วยอย่าง Facebook เราต้องต่อสู้กับอัลกอริทึมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหรือ YouTube ที่จะเริ่มมาตาม Facebook เรื่องอัลกอริทึมบ้างแล้ว แต่จะเพิ่มเรื่องของการสร้างรายได้ที่ยากยิ่งขึ้นและมีเงื่อนไขจุกจิกมากกว่าเดิม อย่างตั้งหัวข้อที่แรงเกินไปก็อาจจะติดเหลืองได้ เป็นต้น
ซึ่งคนที่สามารถอยู่รอดในพื้นที่สื่อได้ก็คือคนที่สามารถปรับตัวได้ตามสถานการณ์และ platform นั้น ๆ ครับ ในปี 2019 เทรนการลง Content ใน social network เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากปี 2018 บ้างแล้วเรามาดูกันครับว่าในปี 2019 เราจะต้องทำ Content แบบไหนบ้าง เชิญอ่านกันเลยครับ
Personal branding ได้เปรียบยิ่งกว่าแบรนด์ที่ไม่ได้เปิดเผยความเป็นตัวของตัวเอง
1
ก่อนหน้านั้นผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นตัวของตัวเองในการสร้าง Content มาบ่อยแล้ว ถ้าอ่านบทความนี้เสร็จแล้วอยากจะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นตัวของตัวเองในการสร้าง Content ก็ลองไปอ่านบทความเก่าๆที่ผมเคยเขียนเอาไว้ได้นะครับ
ผมพยายามเน้นย้ำเกี่ยวกับเรื่อง Personal branding เพราะสุดท้ายแล้วความเป็นตัวตนของตัวคุณเอง ทำให้คนทั่วไปเขาจดจำคุณได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องหล่อหรือสวยหรือหุ่นดีอะไรแบบนั้น (แต่ถ้าหน้าตาดีหุ่นดีด้วยจะยิ่งเสริมให้คนเข้ามาติดตามได้ง่ายขึ้นเป็นกองเลย) ขอแค่คุณเป็น Specialist ด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะแล้วแบ่งปันประสบการณ์ความที่เราเชี่ยวชาญให้โลกได้รู้ แค่นี้คุณก็สร้าง Content ได้ดีแล้ว
แต่มีข้อแม้ว่าถ้าอยากจะสร้าง Personal branding คุณจะต้องเก่งด้านใดด้านหนึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เก่งหลายๆอย่าง ถ้าเรารู้สึกเก่งหลายๆอย่างให้โฟกัสด้านไหนที่เราทำออกมาดีที่สุดแล้วเอาด้านนั้นมาเผยแพร่สร้าง Content และสร้างสื่อของตัวเองจะดีที่สุด
นอกจากจะเก่งด้านใดด้านหนึ่งแล้ว เราจะต้องสร้าง Content ในรูปแบบของตัวเองซ้ำ ๆ กันติดต่อเป็นเวลานานพอสมควร ให้คนจดจำว่าเรามาแบบนี้เราพูดภาษาของเราแบบนี้นะ ไม่ต้องไปสนใจคนดูว่า “โหย แนวนี้มาแล้ว เบื่อแนวนี้แล้วไปเปลี่ยนแนวอื่นให้มันดีกว่านี้บ้างอะไรบ้าง” อย่าไปฟัง ให้เราทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ เรื่อยๆพัฒนาตัวเองในสิ่งที่เป็นตัวของเราแบบนี้ตลอดเวลา
เพราะยุคนี้ไม่ได้ต้องการคนที่เก่งทุกอย่าง แต่ต้องการคนที่เก่งด้านใดด้านหนึ่งแบบสุด ๆ แล้วถ้าเกิดเราด้อยด้านไหนเราก็ไปหาคนที่เก่งด้านนั้นแล้วมา collaborate กันดีกว่า
แต่สำหรับบางคนที่ไม่อยากเปิดเผยหน้าตัวเอง แล้วจะทำ Personal Branding ยังไง ง่าย ๆ ครับเวลาเราสร้าง Content เราก็พูดเหมือนภาษาพูดทั่วไปที่เราคุยคุยกัน ไม่ต้องใช้ภาษาอย่างเป็นทางการสื่อสาร
คนไทยเริ่มฟังพ็อดคาสท์มากขึ้น
เพราะกระแสการฟัง Music Streaming ของทุกๆคนบนโลกใบนี้เริ่มนิยมมากขึ้น และบริการ Music Streaming บางที่มีบริการฟังพ็อดคาสท์ด้วย ทำให้กระแสการฟังพ็อดคาสท์เริ่มบูมมากขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีที่เราสามารถฟังพ็อดคาสท์ได้ทุกที่ทุกเวลา แล้วเราสามารถฟังรายการนั้นซ้ำๆได้ด้วยเหมือนกับการดูวีดีโอ YouTube ซ้ำๆ
แต่ข้อเสียใหญ่ ๆ สำหรับการทำพ็อดคาสท์คือ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการสร้างพื้นที่สื่อในการทำพอดคาสต์อย่างพวกบริการ soundcloud หรือ Podbean ถ้าจะทำแบบจริง ๆ จัง ๆ เราจะต้องจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือรายปี และการสร้างรายได้ของพ็อดคาสท์จาก Soundcloud หรือ Podbean สร้างได้โดยการใส่พื้นที่โฆษณาใน Podcast นั้น ๆ เองเท่านั้น ไม่ใช่ระบบการสร้างรายได้แบบ YouTube ที่จะมีโฆษณาแทรกระหว่างการรับชมหรือรับฟัง
คำถามคือแล้วสร้างพ็อดคาสท์ใน YouTube ได้ไหม คำตอบคือได้ แต่คนที่จะฟังพอดคาสต์ใน YouTube แบบจริงๆจังๆจะต้องฟังผ่าน PC เท่านั้น ถ้าจะฟังพอดคาสต์ผ่านยูทูปด้วยมือถือจะลำบากนิดนึงเนื่องจาก app YouTube เวลาปิดหน้าจอมือถือ เสียงก็จะหยุดไปด้วย
แต่สำหรับผม การเริ่มต้นทำพอดคาสต์ในยูทูปเป็นการเริ่มต้นที่ดีเพราะ YouTube เองมีระบบ seo แล้วสามารถทำให้เราดังขึ้นเรื่อย ๆ ได้ และการสร้างพอดคาสต์ใน YouTube ก็ไม่ได้ผิดกฏ YouTube แต่อย่างใด เว้นแต่เนื้อหาที่ไม่ตรงหลักเกณฑ์ของ YouTube
Content คุณภาพเริ่มลงในแพลตฟอร์ม Blockdit แน่นอน
อันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจเขียน Advertorial Blockdit นะครับแต่ผมพูดไปตามความเป็นจริง ความรู้สึกของผมเวลาเล่น Blockdit คล้ายๆผมเล่น Medium หรือ Wordpress ที่อ่านในมือถือ ระบบ Social Network ของ Blockdit มันเป็นการผสมผสานระหว่าง medium กับ Facebook เข้าด้วยกันอย่างลงตัว การจะแชร์เรื่องราวหรือจะพูด Content อะไรใน Blockdit ค่อนข้างยากกว่า Social Network อื่นๆที่ผมเคยเล่นมา ยังถ้าเป็น Facebook พี่ก็เห็นโพสต์ไหนที่น่าสนใจก็สามารถแชร์เข้าใน Profile ของเราได้ อินสตาแกรมจะยากหน่อยเราจะต้องโพสต์รูปภาพลงโปรไฟล์ของตัวเอง
แต่ Blockdit คุณจะต้องสร้างบทความลงในโปรไฟล์ของตัวเอง ในการสร้างบทความของแต่ละบทความก็ไม่ได้ง่ายๆด้วย ในบล็อกที่คุณสามารถเลือกได้สามสาย คือเป็น Content creator หรือ Reader หรือเป็นทั้ง Content Creator และ Reader ผสมกัน
ผมมองกว่า ณ เวลานี้แหล่งรวม Content คุณภาพอยู่ที่ Blockdit ครับ เพราะระบบของบล็อกดิทเองมีการประกวด Content อยู่เล็กๆน้อยๆ ถ้าเขียน content ออกมาดีก็จะได้ขึ้นโชว์ในฟีดของฟีเจอร์ และตามมาด้วยผู้ติดตามที่เข้ามาเรื่อยๆในช่วงเวลานั้นครับ
Video Content ใน Facebook หรือ Instagram เป็นแนวตั้งและสั้นลงไม่เกิน 5 นาที
สำหรับ Video Content ใน Facebook หรือ Instagram ก็ยังสามารถสร้างรายได้และได้ยอด reach ที่ดีพอ ๆ กับปีที่แล้วหรือในปี 2018 ครับ แต่ Video Content ที่ดีใน Facebook หรือ Instagram ควรเน้นสื่อสารจากตัววีดีโอมากกว่าเสียงที่ออกมา เพราะหลายๆคนที่เล่น Facebook หรือ Instagram เวลาเลื่อน News Feed แล้วเจอวีดีโอมักจะปิดเสียง
สำหรับผม วีดีโอที่ผมต้องหยุดดูมักจะเป็นวีดีโอที่เน้นให้ Content ผ่านทางตัววีดีโอเป็นหลัก คือดูวีดีโอแล้วรู้เรื่องว่าเขาต้องการสื่ออะไร โดยที่ไม่ต้องเปิดเสียง เช่นภาพวีดีโอที่ดูตลกๆหรือตั้งเสียงหัวเราะได้ดีหรือวีดีโอที่ยิ่งดูยิ่งสงสัยหรือน่าติดตามมากยิ่งขึ้น โดยตัววีดีโอไม่จำเป็นต้องตัดต่ออะไรพิสดารพันลึก เพียงแค่สื่อสารออกมาตรงๆและมีพลัง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
1
อย่างไรก็ตาม VDO Content ที่ลงใน Facebook ยังแนะนำว่าให้ลงเป็น subtitle แทน ผมกับพวกคลิปวีดีโอประกอบด้วย
ถ้ายังคิดไม่ออกว่าวีดีโอที่ผมพูดถึงมันเป็นลักษณะแบบไหนแนะนำให้ดูพวกวีดีโอในติ๊กต๊อกครับ เพียงแค่ 15 วินาทีแต่มันก็เป็น Content ที่คนอื่นแชร์ต่อเรื่อยๆได้แล้ว
คลิป YouTube เริ่มเน้นเนื้อหาแบบแน่น ๆ ไปทางใดทางหนึ่งมากขึ้น
เมื่อก่อนเวลาทำคลิป YouTube บางช่องรวมเนื้อหาหลายๆเนื้อหาภายในคลิปเดียวกันกลายเป็นรายการหนึ่ง แต่ทุกวันนี้เวลาตั้งคลิป YouTube จำเป็นต้องสร้างเนื้อหาใดเนื้อหาหนึ่งไปเลยตามหัวข้อ หัวข้อต้องชัดเจนว่าในคลิปนี้จะพูดถึงอะไรและ Thumbnail ต้องล่อตาล่อใจด้วย
แล้วที่สำคัญ ในอนาคต ทาง YouTube กำลังจะปรับปรุง Application ของตัวเองให้วีดีโอสามารถเล่นเองได้เมื่อเลื่อนใน News Feed ของทาง YouTube เอง ดังนั้นการทำ YouTube แบบเดิม ๆ อาจต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องของวีดีโอตอนแรกๆให้น่าดึงดูดมากขึ้นครับ
สำหรับแนวทางการทำ YouTube ถ้าเป็นไปได้ควรสร้างวีดีโอจากสิ่งที่เราถ่ายทำขึ้นมาเองทั้งหมดหรือพวกภาพที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาเองจะดีที่สุด ส่วนคนทำวีดีโอแนว Content ใน YouTube อาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้ภาพต่างๆแล้วมาร้อยเรียงเป็นคลิป แทนที่จะเอาคลิป ๆ นั้นมาใส่เพราะอาจจะมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ตามมา
แต่ขอเตือนสำหรับคนหน้าใหม่ที่จะมาสาย Vlog ในปี 2019 ผมแนะนำว่าควรเปลี่ยนสไตล์การนำเสนอที่ไม่ใช่แค่ Vlog เพียงอย่างเดียวเพราะเนื่องจากว่าคนทำ Vlog ค่อนข้างเยอะมาก ๆ โดยสไตล์การนำเสนอแบบใหม่จำเป็นต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ของทาง YouTube ด้วยครับ
จบ Content แบบปลายเปิด เพื่อเกิดการ Comment
เวลาทำคลิป YouTube ถ้าไม่จำเป็นอย่าปิดช่อง comment และช่องกดไลค์หรือดิสไลค์ ตรงนี้ค่อนข้างสำคัญมากๆครับเพราะว่าพฤติกรรมคนที่เข้ามาดูคลิปหรือเข้ามาดู Content อะไรต่างๆตาม platform Social Network คนบางคนเขาไม่ดูเนื้อหานะครับ แต่เขาจะดู comment โดยลักษณะ Content ที่เราโพสต์ลงไปเปรียบเสมือนกระทู้ที่โพสตามเว็บบอร์ดอ่ยางใน Pantip
ปกติเวลาเราเล่น Pantip เราไม่ใช่ดูแค่ตัวหัวกระทู้อย่างเดียว เรายังอ่านคอมเม้นด้วย แล้ว Content ใน Facebook Blockdit หรือ YouTube ก็เหมือนกัน เอาจริงๆเวลาผมดูพวก Content ต่างๆผมจะเข้าไปดู comment ของ Content นั้นด้วย ความคิดเห็นของแต่ละคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นอาจจะเป็นมุมที่แตกต่างหรือมุมที่เจ้าของกระทู้นั้นไม่ได้พูดถึง ทำให้คนที่เข้ามาอ่านยิ่งได้ความรู้มากกว่าเดิม ซึ่ง Comment แต่ละ Content ในสมัยนี้เปรียบเสมือน Social Network แบบย่อม ๆ ที่ใครก็ตามก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ตามที่คนๆนั้นอยากจะพูดอยากจะบอกอยากจะฝากให้คนอ่านได้รับรู้เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม comment ในแต่ละ comment จะต้องตรวจสอบดูว่าคอมเม้นนั้นมีประโยชน์จริงหรือเปล่าหรือคอมเม้นนั้นโจมตีใส่เจ้าของ Content นั้นโดยตรง
อยู่ที่ตัวคุณแล้วว่า คุณจะทำอย่างไรให้แตกต่าง โดดเด่น
1
แม้ว่าการสร้าง Content ตามเทรนด์จะทำให้ผู้ติดตามพุ่งขึ้น แต่ในความเป็นจริง เราเองก็สามารถสร้างเทรนด์ให้คนอื่นตามเทรนด์ของเราได้เช่นกัน โดยเทรนด์ที่มาแรงส่วนใหญ่จะมาจากการทำอะไรแปลก ๆ หรือเป็นเรื่องที่คนที่ดูรู้สึก “หา!!! อะไรนะ? เดี๋ยวเดี๋ยวเดี๋ยวเดี๋ยวๆ !!!”
องค์ประกอบของเทรนด์ที่อยู่ๆก็ฮอตชั่วข้ามคืนมักจะมาจากการทำตัวแปลก ๆ แล้วโดดเด่นในสายตาของคนอื่น สำหรับดาราทั่วไปหรือคนดังที่มีผู้ติดตามค่อนข้างเยอะ เวลาทำอะไรหรือแค่ไปคอมเม้นอะไรใน IG มักจะเป็นที่สนใจอยู่แล้ว ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปเวลาทำอะไรมักจะไม่เป็นที่สนใจ แต่คนธรรมดาอย่างเราเราก็สามารถทำให้คนอื่นสนใจเราได้ด้วยการทำอะไรที่มันดูแตกต่างและเกิดคำถามตามมาว่า “เขาทำไปเพื่ออะไร” อย่างสร้างสรรค์
สำหรับการทำอะไรให้แตกต่างมันไม่มีสูตรตายตัว มันขึ้นกับตัวคุณเองว่า จะทำอะไรดีนะให้คนเข้ามาดู จะเรียกว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจก็ได้ แต่เป็นการเรียกร้องความสนใจอย่างสร้างสรรค์
แต่ทั้งนี้ การทำอะไรให้มันดูแตกต่าง ถ้าสิ่งๆนั้นเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนอยากจะพูดอยากจะแสดงความคิดเห็นแต่ไม่สามารถทำได้จะยิ่งเป็นไวรัลมากแบบหยุดไม่อยู่
สรุป : จงเป็น Specialist เฉพาะด้าน แล้วสื่อสารออกมาอย่างเรียบง่าย
1
ทั้งหมดนี้ที่ผมกล่าวมา ถ้าจะสรุปสั้น ๆ คือ เพียงแค่คุณเป็น Specialist เฉพาะด้าน มีความเป็นมนุษย์และเป็นตัวของตัวเอง แล้วเอาสิ่งที่เราชำนาญเราถนัดมาทำเป็น Content เล่าสู่ให้คนที่ไม่รู้ได้ฟังกัน แล้วทำ Content ออกมาแนวใดแนวหนึ่งอย่างเข้มข้นและเจาะลึกเหมือนเป็นคนที่อยู่ในวงการนั้นจริง ๆ แค่นี้คนก็เข้ามาติดตามได้แล้ว
ปัญหาของคนที่ติดตาม Content ในยุคนี้คือเขาต้องการเซฟเวลาในการติดตาม Content ให้สั้นมากขึ้น ถ้าเจอแล้วแล้วมันรู้สึกเข้าใจง่ายเขาก็จะแชร์หรือพูดต่อในที่ของเขา และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเวลาสร้าง Content ต้องเปิดโอกาสให้คนที่เข้ามาอ่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ตามใจชอบ เพราะทุกวันนี้ Content ของเราเปรียบเสมือนการเปิดประเด็นพูด
1
โฆษณา