22 ธ.ค. 2018 เวลา 10:57 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
กว่าลูกจะคลอด เกิดอะไรขึ้นในท้องแม่
ถ้าคิดว่าการตั้งครรภ์เป็นเรื่องปลอดภัย ท้อง 100 คลอด 100 เด็กออกมาแข็งแรง 100 บอกเลยครับว่ามันแย่กว่านั้นเยอะ การตั้งท้องลูกซักคนเป็นความเสี่ยงมหาศาล ทั้งแม่และลูก
ถ้าใครยังไม่ได้อ่านตอนที่แล้ว เรื่องเล่าผจญภัยในตัวแม่ของน้องอสุจิแนะนำลองอ่านดูก่อนครับ จะได้เป็นซีรี่ส์เดียวกัน อันนี้เหมือนเป็นภาค 2 แต่ถ้าอ่านบทความนี้ก่อนเลย ก็ไม่มีปัญหานะ พระเอกคนละตัวกันครับ
ไม่แน่ใจว่าจะยาวขนาดไหน อันนี้ยังไม่รู้ใจตัวเองเหมือนกัน แต่บอกก่อนว่าเนื้อหาไม่เป๊ะนะครับ เพราะคิดว่าเขียนให้คนทั่วไปอ่าน เนื้อหาในนี้ผมเขียนแบบหยาบๆ ให้พอเห็นภาพเท่านั้น รายละเอียดมีมากกว่าที่อ่านเยอะมาก ถ้าไปหาหมอแล้วไม่ตรงกับที่ผมเขียน ให้เชื่อหมอที่ตรวจนะครับ 5555
กว่าจะโตเป็นเด็กน้อยน่ารัก ไม่ง่ายยย
ย้อนความกันสั้นๆ อสุจิตัวน้อยนำพันธุกรรมครึ่งหนึ่งของพ่อมาผสมกับไข่ทองคำซึ่งมีพันธุกรรมอีกครึ่งหนึ่งของแม่อยู่ ได้เป็นเซลล์ลอยไปลอยมาในมดลูก เซลล์ตัวแรกอันจิ๋วนี่แหละ มีเวลาประมาณเก้าเดือนจะต้องกลายเป็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารักคลอดออกมาจากท้องแม่ มีแขนมีขา มีจำนวนเซลล์มากกว่าเดิมหลาย 1,000,000 เท่า
1
การเดินทาง 10,000 ลี้สำคัญที่ก้าวแรก ใครซักคนได้กล่าวไว้ แล้วจากเซลล์อันเดียวมันกลายมาเป็นเด็กน้อยหนัก 3 โลได้ยังไงตอนนี้จะค่อยๆเล่าให้ฟัง การอยู่ในมดลูกไม่ใช่แค่นอนแอ้งแม้งรออาหาร รออากาศจากแม่ แล้วจะโตเหมือนถั่วงอกรอถึงวันลืมตาดูโลกเท่านั้น เด็กน้อยผ่านอุปสรรคมามากพอตัวเลยทีเดียว
แม่แต่ละคนมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน ในขณะที่บางคนท้องมีแค่คลื่นไส้นิดๆหน่อยๆ คลอดง่ายสบายท้อง ลูกออกมาน้ำหนักดี แข็งแรงดี ถ่ายลง ig อวยพรกันสวยๆ บางคนต้อง Admit นอนให้ยากันหลายเดือน ในกรณีแย่กว่านั้นบางคนลูกอาจไม่รอด ถ้าแย่ที่สุดคือไม่รอดทั้งคู่ จริงๆแล้วการท้องมันน่ากลัวเหมือนกัน เพราะร่างกายแม่ต้องเปลี่ยนไปเพื่อเลี้ยงเด็กให้โตพอที่จะออกไปเจอโลกภายนอกเองได้ ถ้าร่างกายแม่ไม่ดีพอ มันไม่ไหวครับ
ก้าวแรกของเด็กทารก เซลล์จะค่อยๆแบ่งตัวออก แบ่งตัวไม่เหมือนตัดเค้กแบ่งครึ่งแล้วจบปิ้ง แต่ว่าไปมันก็คล้ายๆ มันเริ่มจากเซลล์ตัวแรก ไปเก็บเอา resource รอบๆตัว มาฟูมฟักให้เซลล์ตัวเองมี 2 เท่าของเดิม เมื่อพร้อมแล้วเยื่อหุ้มมันก็จะแบ่งเซลล์ออก กลายเป็น 2 ตัว 4 ตัว 8 ตัว มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอัตราเร่งที่มากขึ้นเสมอ ขั้นตอนนี้เนี่ย ตรงที่สำคัญคือ สารพันธุกรรมเนี่ยแหละครับ
เซลล์น้อยๆค่อยๆโต // Oocyte = ไข่แม่, Zygote = ไข่ + อสุจิ ที่ผสมกันแล้ว
พันธุกรรมเปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเป็นใบกำหนดว่าเค้กแต่ละชิ้นจะหน้าตาแบบไหน สีอะไร มี topping อะไรบ้าง เหมือนใบ order เลยครับ ทีนี้พันธุกรรมที่อยู่ในตัวเซลล์ล่ะ แน่นอนว่าก็จะถูกแบ่งไปด้วย มันจะคัดลอกของเดิมออกมาก่อน แล้วสร้างขึ้นมาเป็นสำเนาอีกชุดเพื่อให้ใช้ในเซลล์ตัวใหม่ที่กำลังจะเกิด
ส่วนมากเนี่ย ก็จะผ่านไปอย่างราบรื่นดีไม่มีปัญหา เด็กน้อยก็จะค่อยๆมีตัว มีหัวใจ มีแขน มีขา แต่โชคร้ายที่บางคน ขั้นตอนการคัดลอกมันผิดพลาดไป ทำให้มีสารพันธุกรรมมันเกินออกมาบ้าง ถ้าให้เปรียบเทียบว่ามันผิดปกติยังไง
1
ลองนึกภาพคุณลุงร้านอาหารตามสั่ง ผัดกระเพราหมูสับ 2 จานในกระทะเดียว กลิ่นหอมโชยไปหน้าปากซอย พอถึงตอนตักแบ่งให้แต่ละจาน ลุงก็กะไม่ค่อยจะถูก เลยกลายเป็นจานนึงได้เยอะ อีกจานได้น้อย ส่วนป้าทอดไข่ดาวกรอบๆ ไข่แดงเยิ้มๆ มาใส่ให้จานละฟอง มันก็จะกลายเป็น ข้าวกะเพราหมูไข่ดาวไม่ตรงสเปก 2 จาน ผลก็คือ จะมีเซลล์ตัวหนึ่งที่มีสารพันธุกรรมน้อย และอีกตัวที่มีเกิน
มีเซลล์ผิดปกติปนอยู่กับเซลล์ปกติ แบบนี้เรียก Mosaicism
จุดนี้แหละ ทำให้เกิดความผิดปกติที่เด็กน้อยทุกคนต้องเจอตั้งแต่ยังไม่เป็นตัวเลยด้วยซ้ำไปเซลล์ที่เพิ่มขึ้นมา เรารู้แล้วว่าจะมีต้นแบบมาจากเซลล์ตัวก่อน ลองคิดดูว่าถ้าเกิดว่ามีซักเซลล์ที่ผิดปกติไปในระยะเริ่มแรก มันจะแบ่งเซลล์ให้เซลล์ที่ผิดปกติออกมาในปริมาณมหาศาล ความผิดพลาดยิ่งเกิดเร็วมากเท่าไหร่ ความผิดปกติก็ยิ่งมากเป็นเงาตามตัว
1
มันมีอีกกรณีนึง ความผิดปกติมีอยู่แล้วตั้งแต่การแบ่งเซลล์ของพ่อหรือเซลล์ไข่แม่แล้วก็ได้ ถ้าเป็นกรณีนี้เซลล์ทุกเซลล์ของเด็กก็จะผิดปกติหมดเลย เพราะมันเริ่มจะเซลล์แรกเริ่มที่ผิดปกติไปแล้ว จะยกตัวอย่างโรค ความผิดปกติทางพันธุกรรมเช่น Down syndrome ที่คุ้นๆหูกันดีอยู่แล้ว
3
Down syndrome มันมายังไง มันเกิดจากการแบ่งตัวที่ผิดปกติอย่างที่บอกน่ะแหละครับ บอกแบบง่ายๆคือ โรคที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด มีความผิดปกติหลายๆอย่างมารวมกัน แต่ที่เราเห็นได้บ่อยๆคือ การเรียนรู้จะช้ากว่าเด็กทั่วไป ดวงตาห่างกัน หูอยู่ต่ำๆ และบลาๆๆ ดูตามรูปละกันครับ
จริงๆแล้วเนี่ยมันเกิดจาก สารพันธุกรรมที่มีมากเกินปกติ ถ้าให้ละเอียดก็ Chromosome คู่ที่ 21 เกินมาอันนึง เซลล์ที่มีสารพันธุกรรมเกินมา พอจะโตออกมาเป็นตัวได้ แต่มีความผิดปกติเกิดขึ้น เห็นหลายๆคนลักษณะคล้ายๆกัน ในยุค 18s คุณหมอ John Langdon Down ก็สังเกตุเห็น เลยตั้งชื่อโรคนี้ว่า Down syndrome ไม่ว่าจะเกิดจากเซลล์พ่อแม่ที่มีสารพันธุกรรมเกินมา หรือการแบ่งตัวของเซลล์เด็กน้อยที่ผิดพลาด ก็ทำให้เกิดได้ทั้งนั้น
นอกจาก Down syndrome ยังมีโรคอื่นอีก ที่เกิดด้วยเหตุการ์ณคล้ายๆกัน แต่ว่าเกิดกันคนละ Chromosome เท่านั้นเอง จากคู่ที่ 21 เปลี่ยนเป็นคู่อื่น ก็ได้โรคอื่นเพิ่มขึ้นมา ตั้งชื่อกันไปต่างๆนาๆ
1
แล้วมันจะเกิดกับใคร บอกเลยว่าเกิดได้กับทุกคนครับ ไม่ว่าอายุน้อย อายุมาก เกิดได้ทั้งนั้น แต่เกิดบ่อยในคนอายุมาก ทางการแพทย์ก็แนะนำให้ท้องก่อน 35 ปี ถ้าเกินกว่านี้ความเสี่ยงจะมากขึ้น แต่ก็ยังคลอดเด็กปกติได้นะครับ แค่ต้องเสี่ยงมากกว่าท้องตอนอายุน้อยๆ แต่ไม่ว่าอายุเท่าไหร่แนะนำให้คนที่ตั้งครรภ์ทุกคนไปฝากครรภ์ไว้ครับ จะตรวจคัดกรองหลายๆโรคที่สำคัญเลย ตรวจเลือด ตรวจโรคประจำตัว ให้ยาเสริม รวมถึงจะตรวจหาว่าเด็กน้อยในท้องคนไหนที่เสี่ยงเป็น Down syndrome เพื่อว่าจะแก้ปัญหากันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่หลังจากตรวจพบแล้ว มันแก้อะไรอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากยุติการตั้งครรภ์ หรือถ้าพร้อมเลี้ยงก็ไม่มีปัญหาครับ ส่วนนี้เป็นการตัดสินใจของพ่อแม่เด็ก ไม่ว่าจะเลือกทางไหน เราก็เคารพในการตัดสินใจนั้นๆ
1
ในช่วงแรกเป็นช่วงที่เปราะบาง ยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้เด็กน้อยในท้องเป็นอันตราย อย่างที่บอกถ้าเกิดความผิดปกติกับเด็กน้อยตั้งแต่เล็กๆ หมายถึงว่าอายุครรภ์ยังน้อยๆอยู่ แน่นอนว่ามันย่อมทำให้ความผิดปกติรุนแรงกว่า มียาบางตัวที่ทำให้เด็กออกมาพิกลพิการได้ เป็นเรื่องที่แม่ต้องระวัง ส่วนมากหมอที่ดูแลจะปรับยาเป็นตัวปลอดภัย แค่ไปแจ้งว่าจะมีลูก แต่ยาบางตัวไม่มีหมอประจำบอก ใครมีแผนจะตั้งครรภ์ผมว่าต้องทราบไว้ครับ ขอยกตัวเด็ดๆมาตัวนึง เพิ่งเจอเลย
2
ยาตัวนั้นคือ Vitamin A ชื่อฟังดูไม่มีพิษมีภัย แต่ไม่ใช่กับคนท้องและเด็กน้อยในท้องแม่ มันไปทำอะไรอย่างไรซับซ้อนมาก แต่การศึกษาออกมาชัดเจนเลยว่าถ้าใช้ยาที่ผสม Vitamin A (ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Retinol) ในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์เนี่ย โอกาสที่จะมีลูกผิดปกติเยอะขึ้นมากเลย แล้วที่สำคัญ มันหาซื้อได้ไม่ยาก และ มันเป็นยาแก้สิวระดับเทพ คือใครเป็นสิวมา ถ้าอาบน้ำล้างหน้าทุกวัน ไม่สกปรกซกมกเกินทน ส่วนใหญ่ตัวนี้เอาอยู่หมดครับ
Preorder แบบนี้มา อาจจะแท้งไม่รู้ตัว
แน่นอนความสวยความงามย่อมมาคู่กับผู้หญิง มีแบบยากินอันนี้หนักเลย บางตัวเป็นยาทา เข้าเลือดน้อยกว่าแต่ก็ดูดซึมเข้าไปหาลูกได้เหมือนกันนะครับ ตอนซื้อเภสัชจะแจ้งเลยว่าถ้าใช้ยา จำเป็นต้องคุมกำเนิดนะครับ ไม่อยากให้มีเด็กเกิดมาแล้วเสี่ยงพิการ บางคนอาจจะลืมไป ใช้มานานแล้วค่อยตั้งครรภ์ หรือไปซื้อยาแบบที่ไม่มีคนแนะนำ ซื้อมาใช้เอง ทีนี้ปัญหามาแน่นอน ถ้าจะไปซื้อยาอะไร แจ้งก่อนเลยนะครับว่าตั้งครรภ์อยู่ ท้องเล็กๆยังมองไม่ออกหรอก เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก
หลังจากผ่านพ้นช่วงแรกมาได้ ยังไม่หมดแค่นั้นครับ มาดูปัญหาฝั่งแม่กันบ้าง จริงๆถ้าแม่มีปัญหา ลูกก็จะมีปัญหาตามมา เพราะลูกต้องพึ่งพาแม่เป็นหลัก ส่วนที่เชื่อมแม่กับลูกเข้าด้วยกันก็คือรก (Placenta) ฝั่งนึงของรกจะแปะที่มดลูก อีกฝั่งที่หันออกจะมีสายสะดือต่อไปที่ท้องลูก สายสะดือเนี่ยเป็นตัวหลักเลยในการส่งอาหาร ส่งอากาศให้ลูก หลักการก็คือ เลือดของลูกจะไหลผ่านสายสะดือมาที่รกที่เกาะอยู่ในผนังมดลูกแม่ มาเจอกับเลือดแม่ที่รก ไม่ผสมกัน แต่จะเกิดการแลกเปลี่ยนอาหาร อากาศกันที่ส่วนของรก แล้วเลือดของลูกก็จะไหลกลับตัวลูกผ่านสายสะดือเส้นเดิมไปเลี้ยงตัวลูก เพราะงั้น ถ้าแม่มีไม่พอ มันก็ไม่เหลือให้ถึงลูก ลูกก็จะแย่ตามแม่ไปด้วยน่ะสิ
1
ด้านนี้ฝั่งแม่ ติดกับผนังมดลูกแม่มาก่อน
หน้าที่ของรก มันเหมือนปอด เหมือนลำไส้ ดูดอาหาร ดูดอากาศมาให้ลูกใช้ เป็นอวัยวะสำคัญเลย แต่มันก็มีข้อเสียอยู่ พบในบางคนเท่านั้นแหละ สารตัวนึงในรกเนี่ย จะไปทำให้การควบคุมน้ำในตัวแม่รวนไป จากน้ำที่สมดุล ทำให้บางที่น้ำไปน้อย บางที่น้ำไปเยอะเกิน เราเรียกว่า ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Pre-eclampsia) อันนี้ส่งผลกับแม่โดยตรง แล้วลูกก็จะโดนตามไปเป็นโดมิโน กลไกอะไรแท้จริงยังหาคำตอบแน่ชัดกันไม่ได้
1
แล้วมันเจอบ่อยมั้ย มันเป็นยังไง บอกเลยว่ามันเจอค่อนข้างบ่อยเลยครับ ใครที่ท้องก่อนเคยเป็น ท้องถัดมาก็มักจะเป็น ส่วนมากแม่จะมีความดันสูงขึ้น ทั้งๆที่ก่อนท้องไม่เคยตรวจเจอเลย หรือพอคุมความดันได้ พอท้องเท่านั้นแหละ ความดันตัวบน 150 160 กันเป็นว่าเล่น ไตจะทำงานแย่ลง กรองของเสียได้น้อย หมอก็จะเอาฉี่ไปตรวจ ถ้าหมอเจอโปรตีนรั่วออกมา เพราะไตมันกรองไม่ได้ มันหลุดออกมาในฉี่ ก็จะบอกแม่ว่า แย่ละ สงสัยจะมีครรภ์เป็นพิษนะ ยังฟังดูเฉยๆใช่มั้ยครับ แต่มันไม่ได้มีแค่นี้ มันยังส่งผลที่ปอดทำให้น้ำรั่วมาท่วมปอด อากาศก็เข้าไปในปอดได้น้อยลง แม่ก็จะหายใจเอาอากาศได้น้อย ลูกก็จะได้น้อย
1
ยังไม่หมด ตับจะขาดเลือดไปเลี้ยง ปวดท้อง จุกๆแน่นๆ เกล็ดเลือดต่ำลง เลือดจะออกง่ายขึ้น หยุดเลือดยากด้วย ความดันสูงทำให้เกิดเส้นเลือดสมองตีบแตกได้ ไม่ค่อยบ่อยนะครับ แต่ความเสี่ยงมันมากขึ้น มาถึงตรงนี้เริ่มแย่ละครับ อย่างที่บอก ถ้าแม่แย่ ลูกจะแย่ตาม ทำไงล่ะทีนี้ ถ้าอาการน้อยๆ ยังรอดูอาการได้ การไปเอาเด็กออกมาในช่วงที่ยังไม่พร้อมคลอด การเจริญของเด็กภายนอกตัวแม่ มันไม่ดีเท่ากับในตัวแม่ครับ เหมือนเราไปหยุดไม่ให้เด็กโตไปกว่านี้แล้ว ถ้าเป็นไปได้ เราไม่อยากทำแบบนั้น แต่ถ้าอาการหนักมากจนแม่ชักแหง่กๆแล้ว จุดนั้นมันไม่ไหวจริงๆ อาจจะต้องให้ยากระตุ้นแล้วรีบเอาเด็กออกมา ซึ่งเลือกเป็นเคสๆไป
อ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะพอเข้าใจว่าเะมีลูกซักคน เราต้องทำใจระดับนึงว่า เรามีโอกาสอยู่เล็กๆนะ ที่จะได้ลูกผิดปกติ และมีความเสี่ยงต่อตัวแม่เองด้วยนะ
ฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่นๆเถอะครับ สำคัญมาก
ทางที่ดี ผมแนะนำอย่างงี้ครับ ก่อนจะตั้งครรภ์
วางแผนก่อน ไปหาหมอขอคำแนะนำได้ตั้งแต่ก่อนท้องเลยนะครับ ไม่ต้องรอท้องติดแล้วค่อยไป หรือถ้าใครมีบุตรยากก็แนะนำได้ครับ
ถ้ามีความเสี่ยงจากท้องก่อนๆ มีโรคประจำตัว กินยาไทรอยด์ กินยาความดัน ต้องมาปรับยากันก่อนท้องจะเป็นอะไรที่ Perfect มากๆ
มาตรวจเลือดก่อนจะดีงาม บางคนมี Thalassemia แต่ไม่เคยรู้เลย ลูกก็เสี่ยงเป็นโรคได้ ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากให้ลูกมีโรคติดมาตั้งแต่เกิด ปรึกษาหมอวางแผนประเมินความเสี่ยงกันก่อน บางคนสุขภาพอาจจะไม่พร้อมตั้งครรภ์ จะได้แนะนำให้ถูกทางครับ
ตรวจโรคติดเชื้อ ตรวจเบาหวาน แค่นี้คร่าวๆนะครับ ยังมีอีกเยอะพอควรเลย ขอสรุปสั้นๆว่าฝากครรภ์สำคัญนะครับ
วันนี้รู้สึกหนักความรู้ไปหน่อย แต่เพื่อลูกน้อยก็ต้องยอมครับ เพราะเจอคนที่มาฝากครรภ์ช้าเยอะมากๆ บางทีมาตอนมันสายเกินแก้ไปแล้ว เสียดายโอกาสครับ
หายไปนานเกือบอาทิตย์ งานยุ่งหัวหมุนมากเลย
มาช้าแต่มาเรื่อยๆนะครับ 555
โฆษณา