7 ม.ค. 2019 เวลา 03:46 • ไลฟ์สไตล์
วิ่งเปลี่ยนชีวิต
1
ปัจจุบันผมอายุ39ปี เรียนจบปริญญาตรี และโทจากมหาวิทยาลัย top5 ในสาขาวิชาชีพที่ตลาดต้องการ ผมได้ทำงานในตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทต่างชาติ และเป็นที่ปรึกษาให้กับโครงการก่อสร้างปั้มน้ำมันในเมืองไทย
เดือนสิงหาคม ปี2561 ตาผมเริ่มมองอะไรไม่ชัด ภาพทุกอย่างเบลอโดยที่สายตาผมไม่ได้สั้นหรือยาวไปกว่าเดิม คอแห้งกระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะทุก2ชั่วโมง และเป็นตะคริวที่ขาทุกเช้าหลังตื่นนอน ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะการทำงานหนัก พักผ่อนน้อย เลยตั้งใจว่าจะรีบเคลียงานให้เสร็จแล้วค่อยลาพักร้อนสัก2-3วัน ก็น่าจะหายเป็นปกติ
ช่วงสุดสัปดาห์ผมมีนัดต้องขับรถไปบรรยายที่ต่างจังหวัด ระหว่างขับรถผมรู้สึกอ่อนเพลียมาก จนต้องจอดพักระหว่างทาง พร้อมๆกับอาการคอแห้งและกระหายน้ำตลอดเวลา ตาผมเริ่มมองเห็นชัดแค่ไม่กี่เมตร ผมตัดสินใจฝืนขับรถไปโรงพยาบาล เพราะคิดว่าอย่างน้อยถ้าได้วิตามิน หรือยาบำรุง ก็น่าจะดีขึ้น
1
ทางโรงพยาบาลสั่งให้ผมเจาะเลือดทันที ค่าน้ำตาลในเลือดผมสูงถึง 659 mg/dL (คนปกติไม่ควรเกิน 100 mg/dL และอาจจะช๊อคตายได้ถ้าระดับน้ำตาลสูงเกิน400 mg/dL) หมอฟันธงว่าผมเป็นเบาหวานขั้นวิกฤติ!!! และผมยังมีภาวะความดันสูง ไขมันเกาะที่ตับ และเริ่มมีอาการอักเสบที่ไต แถมมาอีกด้วย !!!
1
ใครไม่เป็นอาจไม่เข้าใจ แต่สำหรับผมมันเหมือนโดนฟ้าผ่าจังๆ ตอนที่หมอบอกผมว่า ถ้าผมยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ผมน่าจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 5ปี ถ้าไม่ช๊อคตาย (เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงกว่าคนปกติถึง 6เท่าครึ่ง!!!) ก็น่าจะตายด้วยอาการไตวาย โรคตับอักเสบ โรคหัวใจ หรืออาจพิการเพราะเส้นเลือดในสมองอุดตัน หรือไม่ก็โดนตัดขา หรือตาบอด!!!
สิ่งที่ผมรู้สึกตอนนั้น คือ #ความสำเร็จในชีวิตของผมมันเหลือศูนย์ ถ้าผมตาย หรือ ต้องนอนพิการอยู่กับบ้านภายใน 5 ปีนี้ !!!
ผมกลับมาบ้าน หาข้อมูลอ่านทั้งของไทยและต่างประเทศจากหลายๆแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพราะผมไม่ต้องการเป็นภาระให้ใครต้องมาดูแล ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ผมยังไม่อยากตาย
1
ผมเริ่มออกไปวิ่งที่สวนลุมฯ ซึ่งมันไม่ง่ายเลยสำหรับคนอ้วนหนัก 125กก. ที่ต้องวิ่ง ผมเปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าคุณหนัก 75กก. ให้คุณลองแบกข้าวสารสัก 50กก. แล้วลองวิ่งดู นั่นแหล่ะครับ มันใช่เลย สิ่งที่ผมเป็น!!!
วันแรก ผมวิ่งได้แค่กิโลเดียว เพราะมันทั้งเหนื่อยและปวดขา ผมเป็นตะคริวที่ขาทั้ง 2 ข้าง ปวดจนฝืนวิ่งต่อไม่ไหว กัดฟันเดินลากขา จากกลางสวนลุมฯ มาที่รถใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ฝนก็ตก ตะคริวก็ไม่หาย ปวดขาจนเดินน้ำตาคลอ แต่ก็กัดฟันบอกตัวเองว่า #ไม่เป็นไรพรุ่งนี้มาวิ่งใหม่
ผมเริ่มหาข้อมูลเพิ่ม เริ่มฝึกวิ่ง และฝึกการรับประทานอาหารวิธีใหม่เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน ทำอย่างไรจะวิ่งได้นานขึ้น วิ่งแล้วไม่ปวดเข่า ไม่เป็นตะคริว ทำอย่างไรจะคุมระดับน้ำตาลได้ ผมใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงหาข้อมูลอ่าน/ฟัง ทุกวัน
30วันต่อมา ผมเหนื่อยน้อยลง วิ่งได้ไกลขึ้น นานขึ้น ผมวิ่งเฉลี่ยวันล่ะ 10กิโลเมตร แทบจะทุกวัน ผมสมัครลงวิ่งตามรายการต่างๆ ที่จัดขึ้นเดือนล่ะ2ครั้ง (เพื่อให้รู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา)
ช่วงแรกที่ผมวิ่ง ผมวิ่งสลับเดิน ด้วยความเร็วที่คนทั่วไปเรียกว่าเต่าคลาน มีอาม่าคนหนึ่งวิ่งแซงผมไป ผมเจออาม่าอีกครั้งที่จุดพัก ผมบอกกับอาม่าว่าผมอายที่โดนอาม่าวิ่งแซง ทำยังงัยผมจะวิ่งชนะอาม่า และคนอื่นๆได้ แต่อาม่าบอกผมว่า "เธอไม่ได้วิ่งแข่งกับฉัน เธอไม่ได้วิ่งแข่งกับใคร แต่เธอกำลังวิ่งแข่งกับตัวเธอเอง และวิธีที่จะเอาชนะตัวเองได้ก็คือ #อย่าหยุดวิ่ง"
1
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมไม่เคยหยุดวิ่ง ผมวิ่งอย่างน้อยสัปดาห์ล่ะ 5-7 วัน เดือนล่ะไม่ต่ำกว่า 300กม. ทุกเดือน 120 วันที่ผ่านมา ผมตั้งเป้าหมาย และวิ่งไปแล้ว 1,240 กิโลเมตร
#ผลการตรวจร่างกายจากวันแรกที่เจาะเลือด
*ระดับน้ำตาลในเลือด(fasting) = 659 mg/dL
*ระดับน้ำตาลสะสม (Hemoglobolin A1c) =12.5
*ความดันสูง ไขมันเกาะตับ ไตอักเสบ
1
#60วัน ต่อมา
*ระดับน้ำตาลในเลือด(fasting) = 90 mg/dL
(และไม่เคยขึ้นสูงกว่านี้อีกเลย)
*ระดับน้ำตาลสะสม (Hemoglobolin A1c) =6.7
*ความดันปกติ ไม่มีไขมันเกาะตับ ไตไม่อักเสบ
1
#120วัน ต่อมา'
*น้ำหนักลดลงจาก 125kg เหลือ 85kg
(ลดลง 40kg ภายใน 4เดือน)
*ระดับน้ำตาลสะสม (Hemoglobolin A1c) =5.5
ผมไม่ต้องกินยาลดน้ำหนัก ไม่ต้องซื้ออาหารเสริม ไม่ต้องอดอาหาร และไม่ต้องเจ็บตัวให้หมอผ่าตัด แต่น้ำหนักผมก็ลดลงเฉลี่ยเดือนล่ะ 10kg ตลอด 4เดือน
นอกจากน้ำหนัก และระดับน้ำตาลในเลือด (fasting)ที่ลดลงอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน ค่าความดัน ภาวะไขมันที่ตับ อาการตาเบลอ หรืออาการอักเสบที่ไต ที่ผมเคยเป็นก็หายเป็นปกติ
จนกระทั่งค่าระดับน้ำตาลสะสม (Hemoglobin A1c) =5.5 (คนปกติไม่ควรเกิน6.5) หมอบอกผมว่า ผมไม่จำเป็นต้องกินยาลดระดับน้ำตาลในเลือดอีกแล้ว หยุดทานยาได้เลย และจะเรียกว่า ผมหายจากโรคเบาหวานแล้วก็ได้
จากข้อมูลที่ผมศึกษามาตลอด 4เดือน ทำให้ผมรู้ว่าผมเรียนและเชื่อแบบผิดๆ มาตลอด อย่างเช่น
1.) เบาหวาน เป็นโรคที่เป็นตลอดชีวิต เป็นแล้วรักษาไม่หาย (ความจริงคือ #เบาหวานสามารถรักษาให้หายขาดและกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ)
.
2.) สาเหตุของเบาหวานเป็นเพราะพันธุกรรม (ความจริงคือ #สาเหตุของเบาหวานส่วนใหญ่เป็นเพราะพฤติกรรมการกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลในสัดส่วนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งการกินบ่อย กินจุบกินจิบ ยิ่งกระตุ้นให้อินซูลินหลั่งบ่อยจนเป็นสาเหตุหลักของการดื้ออินซูลิน
3.) การกินยาหรือฉีดอินซูลินช่วยให้อาการของเบาหวานดีขึ้น (ความจริงคือ #ไม่เคยมีใครหายจากเบาหวานด้วยการกินยาหรือฉีดอินซูลิน_คนไข้จะต้องเพิ่มยามากขึ้น_ระดับน้ำตาลจะมีแนวโน้มสูงขึ้นและคุมยากขึ้น)
1
4.) ระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำลงเพราะผลของยาหรืออินซูลินที่ฉีดเข้าไป ช่วยลดระดับน้ำตาลในร่างกาย (ความจริงคือ #ยาและอินซูลินทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วยการพยายามดันน้ำตาลจากในเลือดเข้าไปในเซลล์ร่างกาย_จึงเป็นผลให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะนั้นนั้น_และทำให้อวัยวะนั้นเสื่อมสภาพหรือเป็นมะเร็ง)
.
1
5.) เมื่ออายุมากขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคไต โรคตับ หัวใจ ความดัน (ความจริงคือ #โรคเหล่านี้สาเหตุมาจากเบาหวาน หรือ ผลของอินซูลินที่มากขึ้น และการพยายามดันน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ คนที่เป็นเบาหวานเมื่อกินน้ำตาล ระดับน้ำตาลจะขึ้นสูง 2-3เท่า
ถึงจะกินยาช่วยให้ระดับน้ำตาลลดลงมา แต่ทุกครั้งที่ระดับน้ำตาลขึ้นสูงจะทำให้เกิดการอักเสบที่ไต จึงเป็นสาเหตุให้คนที่เป็นเบาหวานนนหลายปี มักจะเป็นโรคไต ถึงแม้จะกินยาคุมระดับน้ำตาลได้ก็ตาม)
.
1
#การวิ่ง (หรือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ) สามารถดึงเอาน้ำตาล และไขมันที่สะสมออกจากเซลล์ในร่างกายได้จริง จึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงตามไปด้วย และทำให้ลดอาการดื้ออินซูลินในร่างกาย และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจโรคไต และโรคหลอดเลือด ทุกประเภท
ผมชวนคนมากมายที่ไม่เคยวิ่ง ให้ออกมาวิ่งกับผม หรือวิ่งที่อื่นๆ ในสถานที่ที่เขาสะดวก ผมเคยทำเสื้อวิ่งแจกฟรีให้กับคนที่ออกมาวิ่งครบ 10กม. ภายใน 10วัน คน3คนบอกผมว่า #เขาอยากได้เสื้อ ผมเลยตั้งกติกา ว่าต้องเอา 10กิโล ***มาแลกกัน!!!
#คนแรก บอกผมคืนนั้นว่าเมื่อตอนเย็น เขาวิ่งบ้างเดินบ้าง หยุดพักบ้าง แม้จะเหนื่อยและเมื่อยมาก แต่เขาก็วิ่งจนครบ 10กิโล ==> ผมเอาเสื้อให้เขาไป
#คนที่สอง กลับมาหาผมอีก 10วัน แล้วบอกผมว่าเขาวิ่งวันล่ะ 1กิโลเมตร ทุกวันจนครบ 10กิโล ==> ผมก็เอาเสื้อให้เขา
#คนที่สาม บอกผมตั้งแต่วันแรกว่า "มันยากจัง เขาไม่มีเวลา ยังไม่ได้ซื้อรองเท้า วิ่งแล้วปวดเข่า ไม่มีที่วิ่ง บ้านอยู่ไกล ==> ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เขาก็ยังไม่คิดจะวิ่ง (แต่เขาก็บอกผมว่า ยังอยากได้เสื้อฟรีอยู่)
บางทีผมก็นึกเปรียบเทียบ ถ้าผมจะทำธุรกิจ มอบหมายงานให้ใคร หรือ รับใครเข้าทำงาน คน 3แบบนี้ ก็มักจะมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ...
คนส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมออกกำลังกาย เป็นเพราะข้ออ้าง มากกว่าเหตุผล ผมบอกกับตัวเองเสมอว่า ถ้าเราลงวิ่งมาราธอนได้สำเร็จ หรือ วิ่งสะสมระยะทางได้ครบ 1,000 กิโลเมตรแรก ได้เมื่อไร ในโลกนี้ก็คงไม่มีอะไรที่ยากเกินที่ผมจะทำไม่ได้
***ผมตั้งเป้าหมายในปี2019 ผมจะชวนคนมาวิ่งกับผมให้ได้10,000คน ภายใน 360วัน ผมขอแค่คนล่ะ 360กิโลเมตร ใครสนใจอยากลองเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ให้ลงแอ๊ปในมือถือ ชื่อแอ๊ป : Endomondo
แล้วค้นหาชื่อ Challenge : 360 Challenge your self to running
โฆษณา