9 ม.ค. 2019 เวลา 16:08 • ธุรกิจ
# มันอยู่ใต้ชุดเกราะ #
.
ผมเพิ่งสังเกตว่าช่วงนี้ ผมชอบใส่เสื้ออยู่แค่ยี่ห้อเดียว (เผลอๆ จะสีเดียวด้วยซ้ำ)
ถึงขนาดเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ร้านกาแฟเข้าท่าทักว่า “ทำไมไม่อาบน้ำ” เลยทีเดียว
ถึงจะเป็นเสื้อผ้าแนวสปอร์ตเหมาะสำหรับคนที่มีบุคคลิกภาพกระฉับกระเฉงเหมือนกัน
แต่ Nike กับ Adidas เป็นแบรนด์ที่ไม่สามารถทำให้ผมซื้อง่ายได้เท่ากับ Under Armour
ตามประสาผู้ประกอบการ ... พอฉุกคิดขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“Under Armour” ทำยังไง? ลูกค้า(อย่างน้อยก็ผมคนนึง)จึงมีความรู้สึกดีกับแบรนด์นี้มากกว่ารุ่นพี่ในตลาดเสื้อผ้ากีฬาเจ้าอื่นๆ
.
ต้องบอกก่อนว่า สิ่งหนึ่งที่แบรนด์ระดับโลกเหล่านี้ทำได้ดีมากเหมือนๆ กัน คือการมีจุดยืนที่ชัดเจนเกี่ยวกับลูกค้าของพวกเขา พวกเขาสามารถสร้างความรู้สึกอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นในใจลูกค้าของพวกเขาได้อยู่เสมอๆ
ผมไม่ใช่ลูกค้าของ Nike กับ Adidas เพราะฉะนั้นคงไม่สามารถบรรยายความรู้สึกกับสองแบรนด์นี้ได้
แต่สำหรับ Under Armour บอกตรงๆ ว่ามันโดนตั้งแต่ชื่อแล้ว
.
สมัยที่ผมยังรับราชการอยู่ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยปกติ เวลาสวมชุดเกราะ จะสวมทับเครื่องแบบสนามไปเลย
ซึ่งเครื่องแบบสนามนั้นจะมีรังดุม ซิป สาบประเป๋าเสื้อ
บางครั้งอาจจะมีไฟแช็ค มีดพับ หรืออะไรเล็กๆ อยู่ในกระเป๋าเสื้อด้วย
ทุกครั้งที่สวมชุดเกราะออกปฏิบัติงาน ชุดเกราะที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก ก็จะกดทับส่วนต่างๆ ของเครื่องแบบ
ทำให้หายใจไม่สะดวก เกิดความอึดอัด และความคล่องตัวในการทำงานลดลง
.
ดังนั้น จึงมีเสื้ออยู่ชนิดนึงที่เรียกกันในหมู่ทหารตำรวจว่า Combat Shirt (ภาพประกอบด้านล่าง ตอนที่ยังไม่ได้สวมชุดเกราะทับ)ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้
และมันก็แก้ได้ดีมาก เพราะนอกจากบรรดาซิป รังดุม และกระเป๋า บริเวณที่เสื้อเกราะจะกดทับจะถูกเอาออกไปแล้ว เนื้อผ้าที่ใช้ตัดเย็บในบริเวณนั้นยังเป็นผ้าที่ระบายอากาศได้ดีมากอีกด้วย
.
ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักคำว่าแบรนด์เท่าไหร่
รู้จักแค่ “ความรู้สึก” ที่ว่าไอ้เสื้อผ้าเนื้อแบบผ้าใต้ชุดเกราะนี่มันใส่สบายดีเท่านั้นเอง
ความรู้สึกอุ้ยอ้ายในการทำงานหายไปครึ่งต่อครึ่ง
ปฏิบัติภารกิจได้นานขึ้นโดยไม่รู้สึกร้อนอบ (ป่าฝนภาคใต้)
ที่สำคัญ ตากแป๊บเดียวก็แห้ง
.
พอเริ่มทำธุรกิจ และเริ่มต้องดูแลภาพลักษณ์บ้าง
ทันทีที่ได้ยินคำว่า Under Armour ซึ่งแปลว่า “ใต้ชุดเกราะ” สมองก็เริ่มเชื่อมโยง
กลิ่นป่า กลิ่นเหงื่อนักรบ กลิ่นควันปืน เหมือนจะค่อยๆ พากันโชยออกมาจากมุมไหนสักมุมในความทรงจำ
.
ยิ่งรู้จักกับแบรนด์นี้มากขึ้น ทั้งจากการสื่อสาร(โฆษณา)จากแบรนด์เอง และจากพี่น้องทหารตำรวจด้วยกัน ก็ยิ่งรู้สึกว่า เสื้อผ้าแบรนด์นี้มันเกิดมาเพื่อคนอย่างเราชัดๆ
และทหารตำรวจในชีวิตผมจำนวนมาก ที่ “บ้า” แบรนด์นี้ และอาจจะด้วยเหตุผลคล้ายๆ กันกับผม
(จริงๆ เรียกว่า “เหตุผล” ไม่ได้หรอก น่าจะเป็น “ความรู้สึก” ล้วนๆ)
.
.
เรื่องนี้สอนอะไรเรา?
จะสังเกตเห็นว่า เพียงแค่ชื่อแบรนด์ที่สื่อถึงความเป็นเสื้อผ้าใต้ชุดเกราะ ซึ่งความจริงแล้วเป็นเสื้อผ้าใต้ชุดเกราะอเมริกันฟุตบอล ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทหารตำรวจเลยด้วยซ้ำ ก็ยังกลายเป็น Trigger หรือตัวกระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงได้มากขนาดนี้
หากใช้เวลากับธุรกิจของเราให้มากขึ้น เพื่อหา Trigger ที่แท้จริงของลูกค้าให้เจอ
ผมเชื่อว่า ทุกธุรกิจสามารถมี “ลูกค้าเฉพาะ” ของตัวเองได้เช่นกัน
 
.
ตราบใดที่ Under Armour ไม่เปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไปซะก่อน (เหมือน Nike เริ่มเน้นกลุ่มไลฟ์สไตล์ , Adidas เน้นกลุ่มวิ่ง)
ผมเชื่อว่า ผมคงเป็นสาวกแบรนด์นี้ไปอีกนานครับ
.
- ผู้กองเบนซ์ -
โฆษณา