13 ม.ค. 2019 เวลา 04:09 • ประวัติศาสตร์
พระพุทธเจ้า
ตอน โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยมาถึงตำบลอุรุเวลา
แล้วในยุคสมัยนั้นเอง มีชฎิล ๓ พี่น้องที่เป็นที่เคารพนับถือของคนจำนวนมากอยู่ ๓ คน คือ
๑ อุรุเวลกัสสป พี่คนโต
๒ นทีกัสสป พี่คนกลาง
๓ คยากัสสป น้องเล็ก
ทั้งสามพี่น้องนั้นได้อาศัยอยู่ในตำบลอุรุเวลา มีอาศรมที่สร้างห่างกันออกไปเป็นระยะ
ทั้ง ๓ คน มีรายละเอียดโดยย่อดังนี้
๑. ชฎิลชื่อ อุรุเวลกัสสป 
เป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธาน มีลูกศิษย์ชฎิล จำนวน ๕๐๐ คน
๒. ชฎิลชื่อ นทีกัสสป 
เป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธาน มีลูกศิษย์ชฎิล จำนวน ๓๐๐ คน
๓. ชฎิลชื่อ คยากัสสป 
เป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า เป็นประธาน มีลูกศิษย์ชฎิล จำนวน ๒๐๐ คน
ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้เสด็จเข้าไปสู่อาศรมของชฎิลชื่อ
อุรุเวลกัสสป แล้วได้ตรัสกับ
อุรุเวลกัสสปว่า :
พระพุทธเจ้าทรงตรัส :
"ดูก่อน กัสสป ถ้าท่านไม่หนักใจ เราขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงนี้สักคืนหนึ่ง"
อุรุเวลกัสสปทูลตอบ :
"ข้าแต่มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่หนักใจเลย แต่ในโรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาค
ที่ดุร้ายมีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรงมาก อย่าเลยท่าน มันจะทำให้ท่านลำบาก
แม้ครั้งที่สอง ที่สาม พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงตรัสเช่นเดิม...
ลำดับนั้น
พระพุทธเจ้าทรงตรัสอีกครั้งว่า :
"พญานาคนั้นจะไม่ทำให้เราลำบาก ดูก่อนกัสสป เอาเถิด ขอท่านจงอนุญาตโรงบูชาเพลิงนั้นแก่เราเถิด"
อุรุเวลกัสสปทูลตอบ :
"ข้าแต่มหาสมณะ หากเป็นประสงค์ ของท่าน เชิญท่านอยู่ตามสบายเถิด"
ครั้งนั้น 
พระผู้มีพระภาคทรงทราบอุรุเวลกัสสปนั้นว่า อนุญาตให้แล้ว ไม่ทรงครั่นคร้าม ปราศจากความกลัว แล้วเสด็จเข้าไปสู่โรงบูชาเพลิงนั้นทันที จากนั้นพระองค์ทรงปูหญ้า เครื่องลาด แล้ว
ประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติมั่น
ปาฏิหาริย์ที่ ๑
ณ โรงบูชาเพลิง...
พญานาคที่อาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงนั้น เมื่อได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
กำลังเสด็จเข้ามาแล้วในสถานที่ของตน จึงเกิดความไม่พอใจ จึงได้บังหวนควันขึ้นมา (ทำให้ควันพุ่งตลบขึ้นมา)
หวังจะจัดการกับพระพุทธเจ้า
ลำดับนั้นเอง
พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงดำริว่า ไฉนหนอเราพึงครอบงำเดชของพญานาคนี้ด้วยเดชของตน โดยไม่กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูกและเยื่อในกระดูก ดังนี้แล้วพระองค์จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร เช่นนั้น
พระองค์ได้ทรง​เนรมิต​แล้วบังหวนควันที่รุนแรงกว่าต้านควันของพญานาคนั้นกลับไป ทำให้พญานาค​ได้รับความทรมาน​จึงเกิดความโมโหและโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก เพราะทนความที่ตนนั้น โดนผู้อื่นเข้ามาลบหลู่ไม่ได้ จึงได้พ่นไฟอันร้อนแรง ใส่พระพุทธเจ้าในทันที!!!
แต่ทว่า พระผู้มีพระภาคก็ทรงเข้ากสิณสมาบัติมีเตโชธาตุ (ธาตุไฟ)
เป็นอารมณ์ แล้วบันดาลไฟที่รุนแรงยิ่งกว่าของพญานาคต้านทานไว้ เมื่อทั้งสองฝ่ายโพลงไฟขึ้นใส่กัน ทำให้โรงบูชาเพลิงนั้นรุ่งโรจน์เป็นเปลวเพลิง
ดุจไฟลุกไหม้ไปทั่ว
เหตุนั้นเอง
จึงทำให้ชฎิลทั้งหลายเกิดความแตกตื่น จึงพากันรีบวิ่งมาล้อมดูที่โรงบูชาเพลิงแล้วพากันกล่าวขึ้นว่า :
"พวกเราทั้งหลาย พระมหาสมณะรูปงามนั้น คงถูกพญานาคเบียดเบียนแล้วเป็นแน่แท้"
เวลาต่อมาไม่นานนัก...
พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงครอบงำเดชของพญานาคตนนั้น ได้ด้วยเดชของพระองค์ อันตรายจากพญานาคนั้น มิได้กระทบกระทั่งผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกของพระองค์เลย แม้แต่น้อย​ จากนั้นแล้วพระองค์จึงได้ทรงขดพญานาคไว้ในบาตรของพระองค์ เมื่อผ่านราตรีนั้น แล้วทรงแสดงแก่ชฎิลอุรุเวลกัสสป ด้วยว่า
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า : 
"ดูก่อน กัสสป นี่พญานาคของท่าน
เราครอบงำเดชของมันด้วยเดชของเราแล้ว"
อุรุเวลกัสสปทูลตอบว่า :
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ จึงครอบงำเดช ของพญานาคที่ดุร้าย มีฤทธิ์ เป็นอสรพิษ มีพิษร้ายแรง ได้ด้วยเดชของตน"
"แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่ได้เป็น
พระอรหันต์เหมือนดังเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
***แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ทำให้ ชฎิลอุรุเวลกัสสป ก็เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธองค์บ้างแล้ว แต่ว่าตัวเองนั้นยังคงมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่***
ด้วยเพราะอิทธิปาฏิหารย์ในครั้งนี้ของพระผู้มีพระภาค จึงได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า : 
"ข้าแต่มหาสมณะ ขอนิมนต์ท่านอยู่ในสถานที่นี่แหละ ข้าพเจ้าจักบำรุงท่านด้วยภัตตาหารประจำ"
ปาฏิหาริย์ที่ ๒
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์(แนวป่า) แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอาศรมของชฎิลอุรุเวลกัสสป มากนัก
ครั้งนั้นเองท้าวมหาราชทั้ง ๔ เมื่อถึงเวลาราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็เปล่งรัศมีงามยังไพรสณฑ์ทั้งหมดให้สว่างไสว แล้วก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทูลขอฟังธรรมจนเสร็จแล้ว ก็ได้มายืนเฝ้าอยู่ประจำทั้ง ๔ ทิศ ดุจกองไฟใหญ่ฉันนั้น
ในเวลาต่อมา...
ชฎิลอุรุเวลกัสสป ก็ได้เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคโดยผ่านราตรีนั้นเอง ครั้นเมื่อถึงแล้วก็ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า:
"ถึงเวลาแล้วมหาสมณะ ภัตตาหารได้จัดเสร็จแล้ว ว่าแต่ท่านมหาสมณะ พวกนั้นคือใครกันหนอ... เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว มีรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปหาท่าน ครั้นถึงแล้วอภิวาทท่าน ได้ยืนอยู่ทั้ง ๔ ทิศประดุจกองไฟใหญ่ฉะนั้น?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า:
"ดูก่อนกัสสป พวกนั้นคือท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้ามาหาเราเพื่อฟังธรรม"
ครั้งนั้นเองทำให้ ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า :
"พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ขนาดถึงกับท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้ามาหาเพื่อฟังธรรม"
"แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคก็เสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป แล้วประทับอยู่ใน
ไพรสณฑ์ตำบลนั้นต่อ...
ปาฏิหาริย์ที่ ๓
ครั้งเวลาต่อมา...
ท้าวสักกะจอมทวยเทพ เมื่อราตรีปฐมยามล่วงผ่านไปแล้ว ก็ได้เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว แล้วก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อขอฟังธรรม ครั้น​เมื่อ​เสร็จ​แล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
และได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่อันควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อนมาก
เวลาต่อมา...
ชฎิลอุรุเวลกัสสปก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยผ่านราตรีนั้นเช่นกัน ครั้นเมื่อถึงแล้วจึงได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า :
"ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว ผู้นั้นคือใครกันหนอ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาท่าน ครั้นถึงแล้วอภิวาท
ท่าน ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า :
"ดูก่อนกัสสป ผู้นั้น คือ ท้าวสักกะจอมทวยเทพเข้ามาหาเราเพื่อฟังธรรม"
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุกัสสปได้มีความดำริว่า "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับท้าวสักกะจอมทวยเทพเข้ามาหาเพื่อขอฟังธรรม"
"แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป แล้วก็ประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล
ปาฏิหาริย์ที่ ๔
ครั้งนั้น...
ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว ก็เปล่งรัศมีงดงามยิ่งกว่าทุกๆครั้ง และรัศมีของท่านก็ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสวมากกว่าครั้งก่อนๆ จากน้ันก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่อฟังธรรม ครั้นเมื่อเสร็จแล้วจึงถวายบังคมแด่พระผู้มีพระภาค
เจ้าและได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ประดุจดังกองไฟใหญ่ที่งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อนอย่างมาก
ครั้นล่วงราตรีนั้นเอง ชฎิลอุรุเวลกัสสป ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วก็ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มี :
"พระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว ผู้นั้นคือใครกันหนอ เมื่อราตรีปฐมยามผ่านไปแล้ว เปล่งรัศมีงาม ยังไพรสนฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาท่าน ครั้นถึงแล้วอภิวาทท่าน ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดุจกองไฟใหญ่ งามและประณีตกว่ารัศมีแต่ก่อน?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า :
"ดูก่อนกัสสป ผู้นั้น คือ ท้าวสหัมบดีพรหมเข้ามาหาเราเพื่อฟังธรรม"
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับท้าวสหัมบดีพรหมเข้ามาหาเพื่อฟังธรรม"
"แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป แล้วก็ประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลต่อไป
ปาฏิหาริย์ที่ ๕
ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เตรียมการบูชายัญเป็นการใหญ่และ
ประชาชนชาวอังคะและมคธทั้งเกือบทั้งหมด ได้ถือของเคี้ยวของบริโภคมาเป็นอันมาก และกำลังบ่ายหน้ามุ่งไปหาชฎิลอุรุเวลกัสสป
อุรุเวลกัสสปจึงได้ดำริในใจว่า :
"บัดนี้ เราได้เตรียมการบูชายัญเป็น การใหญ่ และประชาชนชาวอังคะ
และมคธทั้งสิ้นนั้นก็ได้นำของเคี้ยวของบริโภคมาเป็นอันมากกำลังบ่ายหน้ามุ่งมาหาเรา"
"แต่ถ้าหากพระมหาสมณะจักทำ
อิทธิปาฏิหาริย์ในหมู่มหาชนแล้วนั้น ลาภสักการะก็จักเจริญยิ่งแก่พระมหาสมณะ ส่วนลาภสักการะของเรา
เองนั้นก็จักเสื่อมลง"
โอ... จักทำไฉนหนอ... วันพรุ่งนี้ พระมหาสมณะจึงจะไม่มาฉัน
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ทรงทราบความ ปริวิตกแห่งจิตของชฎิลอุรุเวลกัสสปด้วยพระทัยแล้ว
จึงเสด็จไปยังอุตตรกุรุทวีป พระองค์​ทรงนำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้น แล้วเสวยที่ริมสระอโนดาต ประทับกลางวันอยู่ ณ ที่นั้นแหละ
ครั้นล่วงราตรีนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วจึงได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า : "ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว เพราะเหตุไรหนอ วานนี้ท่าน
จึงไม่มา เป็นความจริง พวกข้าพเจ้าระลึกถึงท่านว่า เพราะเหตุไรหนอ พระมหาสมณะจึงไม่มาแต่ส่วนแห่งขาทนียาหาร ข้าพเจ้าได้เตรียมจัดไว้เพื่อท่านแล้ว"
พระผู้มีพระภาคตรัสย้อนถามว่า :
"ดูก่อนกัสสป ท่านได้ดำริอย่างนี้มิใช่หรือว่า บัดนี้ เราได้เตรียมการบูชายัญเป็นการใหญ่ และประชาชนชาวอังคะและมคธทั้งสิ้นได้นำของเคี้ยวและของบริโภคเป็นอันมากบ่ายหน้ามุ่งมาหา ถ้าพระมหาสมณะจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ ในหมู่มหาชนลาภสักการะจักเจริญยิ่งแก่พระมหาสมณะ แล้วลาภสักการะของเราจักเสื่อม โอ.. จะทำไฉน... วันพรุ่งนี้พระมหาสมณะจึงจะไม่มาฉัน"
"ดูก่อนกัสสป เรานั้นแลทราบความ
ปริวิตกแห่งจิตของท่านด้วยใจของเรา จึงไปอุตตรกุรุทวีป นำบิณฑบาตมา
จากอุตตรกุรุทวีปนั้น มาฉันที่ริมสระอโนดาตแล้วและได้พักกลางวันอยู่ ณ ที่นั้นแหละ"
ขณะนั้นเอง ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ จึงได้ทราบความคิดนึกแม้ด้วยใจได้"
"แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป แล้วประทับอยู่ ณไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล
ปาฏิหาริย์ที่ ๖
ผ้าบังสุกุล
ก็โดยสมัยนั้น ผ้าบังสุกุลบังเกิดแก่พระผู้มีพระภาค จึงพระองค์ได้ทรงพระดำริว่า :
"เราจะพึงซักผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ"
ลำดับนั้นเอง
ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยพระทัยของพระองค์ จึงรีบขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า :
"พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดซักผ้าบังสุกุลในสระนี้"
ที่นั้นเอง...
พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า
"เราจะพึงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ"
ลำดับนั้นเอง
ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว ได้
ยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางพลางทูลว่า : "พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงขยำผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า"
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า "เราจะพึงพาดผ้าบังสุกุลไว้ ณ
ที่ไหนหนอ"
ครั้งนั้น เทพยดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบก ทราบพระดำริในพระหทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยใจของตน จึงน้อมกิ่งกุ่มลงมา พลางกราบทูลว่า :
"พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาค
โปรดทรงพาดผ้าบังสุกุลไว้ที่กิ่งกุ่มนี้เถิดพระพุทธเจ้าข้า"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า "เราจะผึ่งผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ"
ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ทรงทราบพระดำริในพระหทัยของ
พระผู้มีพระภาคด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว ก็ได้ยกแผ่นศิลาใหญ่มาวางไว้ พลางกราบทูลว่า :
"พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงผึ่งผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้"
หลังจากนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคโดยล่วงราตรีนั้น ครั้นถึงแล้วก็ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า :
"ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว เพราะเหตุไรหนอ"
"มหาสมณะ เมื่อก่อนสระนี้ไม่มีที่นี้ เดี๋ยวนี้มีสระอยู่ที่นี้ เมื่อก่อนศิลาเหล่านี้ไม่มีวางอยู่ ใครยกศิลาเหล่านี้มาวางไว้ เมื่อก่อนกิ่งกุ่มบกต้นนี้ไม่น้อมลง เดี๋ยวนี้กิ่งนั้นน้อมลง?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า :
"ดูก่อนกัสสป ผ้าบังสุกุลบังเกิดแก่เรา ณ ที่นี้ เรานั้นได้ดำริว่า "จะพึงซักผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ" ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ทรงทราบความดำริในจิตของเราด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว จึงขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ แล้วตรัสบอกแก่เราว่า : "พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงซักผ้าบังสุกุลในสระนี้ สระนี้อันผู้มิใช่มนุษย์ได้ขุดแล้วด้วยมือ"
"ดูก่อนกัสสป เรานั้นได้ดำริว่า จะพึงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ ครั้งนั้น
ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ทราบความดำริในจิตของเราด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว ได้ทรงยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางไว้ โดยทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงขยำผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้ ศิลาแผ่นนี้อันผู้มิใช่มนุษย์ได้ยกมาวางไว้"
"ดูก่อนกัสสป เรานั้นได้ดำริว่า จะพึง
พาดผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ ครั้งนั้น เทพดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบก ทราบความดำริในจิตของเราด้วยใจของตนแล้ว จึงน้อมกิ่งกุ่มลงมาโดยทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาค
โปรดทรงพาดผ้าบังสุกุลไว้บนกิ่งกุ่มนี้ ต้นกุ่มบกนี้นั้นประหนึ่งจะกราบทูลว่า ขอพระองค์จงทรงนำพระหัตถ์มาแล้วจักน้อมลง"
"ดูก่อนกัสสป เรานั้นได้ดำริว่า จะพึงผึ่งผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ทรงทราบความดำริแห่งจิตของเราด้วยพระทัยของพระองค์แล้วได้ยกศิลาแผ่นใหญ่มาวางไว้ โดยทูลว่า พระพุทธเจ้า
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงผึ่งผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้ ศิลาแผ่นนี้อันผู้มิใช่มนุษย์ได้ยกมาวางไว้"
ครั้งนั้นเอง ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ดำริว่า "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ถึงกับท้าวสักกะจอมทวยเทพได้ทำการช่วยเหลือ"
"แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสป แล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล
ปาฏิหาริย์ที่ ๗
เก็บผลหว้า...
ครั้นล่วงราตรีนั้นไป ชฎิลอุรุเวลกัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วจึง
กราบทูลภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า :
"ดูก่อนกัสสป ท่านไปเถิด เราจะตามไป"
พระผู้มีพระภาค ทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปแล้ว ก็ทรงเก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีป แล้วเสด็จมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน ชฎิลอุรุเวลกัสสป
เมื่ออุรุเวลกัสสป ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อนแล้วจึงได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า :
"ข้าแต่มหาสมณะ ท่านจากมาทางไหน ข้าพเจ้ากลับมาก่อนท่าน แต่เหตุใดท่านถึงมานั่งในโรงบูชาเพลิงได้ก่อนข้าพเจ้า?"
พระพุทธเจ้า​ตรัสตอบ :
"ดูก่อนกัสสป เราส่งท่านไปแล้ว ได้เก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีป แล้วก็มานั่งในโรงบูชาเพลิงนี้ก่อน ดูกรกัสสป ผลหว้านี้แล สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส ถ้าท่านต้องการ
เชิญบริโภคเถิด"
อุรุ​เว​ลก​ั​ส​สป​กล่าวตอบ :
"อย่าเลย มหาสมณะ ท่านนั่นแหละเก็บผลไม้นี้มา ท่านนั่นแหละ จงฉันผลไม้นี้เถิด"
ลำดับนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ เพราะส่งเรามาก่อนแล้ว ยังเก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปแล้วยังมานั่งในโรงบูชาเพลิงได้ก่อนเราเสียอีก..."
"แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสปแล้ว ประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้นแล
ครั้นล่วงราตรีนั้นไป ชฎิลอุรุเวลกัสสปไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้ว จึงทูลภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว มหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงส่งชฎิลอุรุเวลกัสสปไปด้วยพระดำรัสว่า :
"ดูกรกัสสป ท่านไปเถิดเราจักตามไป"
แล้วทรงเก็บผลมะม่วง ...
ผลมะขามป้อม ...
ผลสมอ ในที่ไม่ไกลต้นหว้าประจำ
ชมพูทวีปนั้น และเสด็จไปสู่ภพดาวดึงส์ ทรงเก็บดอกปาริฉัตตกะ
แล้วมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิง
ก่อนชฎิลอุรุเวลกัสสป
เมื่ออุรุุเวลกัสสปได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งในโรงบูชาเพลิง ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า "ข้าแต่มหาสมณะ ท่านมาทางไหน ข้าพเจ้ากลับมาก่อนท่าน แต่ท่านยัง
มานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน?"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า :
"ดูก่อนกัสสป เราส่งท่านแล้วได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ เก็บดอกปาริฉัตตกะแล้ว มานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน ดูกรกัสสป ดอกปาริฉัตตกะนี้แล สมบูรณ์
ด้วยสีและกลิ่น"
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ เพราะส่งเรามาก่อนแล้วยังไปสู่ภพดาวดึงส์ เก็บดอกปาริฉัตตกะแล้วยังมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อนเราตัวอีก"
"แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ปาฏิหาริย์ที่ ๘
ผ่าฟืน...
ก็โดยสมัยนั้น ชฎิลเหล่านั้นปรารถนาที่จะบำเรอไฟ แต่ไม่อาจจะฝ่าฟืนได้
ชฎิลเหล่านั้นจึงได้มีความดำริต้องกันว่า "ข้อที่พวกเราไม่อาจผ่าฟืนได้นั้น คงเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะรูปงามนั้นเป็นแน่แท้"
ครั้งนั้นเอง พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า :
"ดูก่อนกัสสป พวกชฎิลจงผ่าฟืนเถิด"
ชฎิลอุรุเวลกัสสป รับพระพุทธดำรัสว่า "ข้าแต่มหาสมณะ ขอพวกชฎิลทั้งหลายจงผ่าฟืนกันเถิด"
จากนั้นเหล่าชฎิลทั้งหลายก็ได้ผ่าฟืน ออกเป็น ๕๐๐ ท่อนคราวเดียวเท่านั้น
ครั้งนั้นแล ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับให้พวกชฎิลผ่าฟืนได้มากมายขนาดนี้"
"แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ปาฏิหาริย์ที่ ๙
ก่อไฟ...
ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นปรารถนาจะบำเรอไฟ แต่ไม่อาจจะก่อไฟให้ลุกได้ จึงชฎิลเหล่านั้นจึงได้มีความดำริต้องกันว่า "ข้อที่พวกเราไม่อาจจะก่อไฟให้ลุกขึ้นได้นั้น คงเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะรูปงามนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า
"ดูกรกัสสป พวกชฎิลจงก่อไฟให้ลุกเถิด"
ชฎิลอุรุเวลกัสสป รับพระพุทธดำรัสว่า "ข้าแต่มหาสมณะ พวกชฎิลทั้งหลายจงก่อไฟให้ลุกเถิด"
ชฎิลทั้งหลาย​เมื่อจุดไฟ ก็เกิดไฟลุกทั้ง ๕๐๐ กอง ไฟนั้นได้ลุกขึ้นในคราวเดียวกันเทียว
ลำดับนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสป ได้มีความดำริว่า "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับให้ไฟลุกขึ้นได้ 500 กอง ในคราวเดียว..."
"แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ปาฏิหาริย์ที่ ๑๐
ดับไฟ...
ก็ในสมัยนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นได้บำเรอไฟกันแล้วไม่อาจดับไฟได้ จึงได้คิดต้องกันว่า "ข้อที่พวกเราไม่อาจดับไฟได้นั้น คงเป็นอิทธานุภาพของพระสมณะรูปงามนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า :
"ดูก่อนกัสสป พวกชฎิลจงดับไฟเถิด"
ชฎิลอุรุเวลกัสสป รับพระพุทธดำรัสว่า "ข้าแต่มหาสมณะ ขอพวกชฎิลทั้งหลายจงดับไฟกันเถิด"
ลำดับนั้นไฟทั้ง ๕๐๐ กอง ก็ได้ดับคราวเดียวกัน
ครั้งนั้นแล ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับให้พวกชฏิล ดับไฟได้ 500 กองในครั้งเดียวได้ แต่ก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ปาฏิหาริย์ที่ ๑๑
กองไฟ...
ก็โดยสมัยนั้น ชฎิลเกล่านั้นได้พากันดำลงบ้าง ผุดขึ้นบ้าง ทั้งดำทั้งผุดบ้าง
ในแม่น้ำเนรัญชรา ในราตรีหนาวเหมันตฤดู ระหว่างท้ายเดือน ๓ ต้นเดือน ๔ ในสมัยที่น้ำค้างตก...
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิรมิตกองไฟไว้ ๕๐๐ กอง สำหรับให้ชฎิลเหล่านั้นขึ้นจากน้ำแล้วจะได้ผิงไฟ
ด้วยกองไฟทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้ชฎิลเหล่านั้นได้มีความดำริต้องกันว่า "ข้อที่กองไฟเหล่านี้ถูกนิรมิตไว้นั้น คงต้องเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะรูปงามอย่างไม่ต้องสงสัยเลย"
ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความ
ดำริว่า "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับนิรมิตกองไฟได้มากมายถึงเพียงนั้น แต่ก็คงยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
ปาฏิหาริย์ที่​ ๑๒
น้ำท่วม...
ก็โดยสมัยนั้นแล ก็เกิดมีกลุ่มเมฆดำขนาดใหญ่รวมก่อตัวขึ้นมาในขณะที่มิใช่ฤดูฝน แล้วทำฝนให้ตกหนักมาก จนเกิดเป็นห้วงน้ำใหญ่ได้ไหลท่วม ลงไปยัง ประเทศที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ขณะนั้นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดำริว่า :
"ไฉนหนอ เราจะพึงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบ แล้วจงกรมอยู่บนภาคพื้น อันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลางหนอ"
ครั้นแล้วจึงทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้วเสด็จจงกรมอยู่ บนภาคพื้น อันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลางขึ้นมา
ต่อมา... ชฎิลอุรุเวลกัสสปกล่าวว่า : "ขอพระมหาสมณะอย่าได้ถูกน้ำพัดไปเสียเลย"
ดังนั้นแล้ว.. ชฎิล​อุรุ​เวลา​กัสสปพร้อมด้วยเหล่าชฎิลทั้งหลายก็ได้พากันเอาเรือออกไปสู่ประเทศที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ และได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้ทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้ว เสด็จจงกรมอยู่บนภาคพื้นอันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า :
"ข้าแต่มหาสมณะท่านยังอยู่ที่นี่หรอกหรือ? "
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า :
"ถูกแล้ว กัสสป เรายังอยู่ที่นี่"
ดังนี้แล้ว...
พระ​พุทธองค์​ก็เสด็จขึ้นสู่เวหาสปรากฏอยู่ที่เรือในทันที!!!
จึงชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่า : "พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับบันดาลไม่ให้น้ำไหลไปได้ แต่ยังไงพระมหาสมณะนั้นก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นกับเราอย่างแน่นอน"
***ทูลขอบรรพชาและอุปสมบท***
ลำดับนั้นเอง...
พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า : "โมฆบุรุษนี้ ได้มีความคิดอย่างนี้
มานานแล้วว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่ ถ้ากระไร เราจะพึงให้ชฎิลนี้สลดใจ"
แล้วจึงตรัสกะชฎิลอุรุเวลกัสสปว่า :
"ดูก่อนกัสสป ท่านไม่ใช่พระอรหันต์แน่ ทั้งยังไม่พบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์ แม้ปฏิทาของท่านที่จะเป็นเหตุให้เป็นพระอรหันต์ หรือพบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่มีเลย"
เมื่ออุรุเวลากัสสปได้ฟังคำของพระพุทธองค์จบ... ในทีนั้นเอง...
ชฎิลอุรุเวลกัสสปจึงได้ละทิ้งความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง และก็ได้ก้มลงซบ เศียรลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า :
"ข้า​แต่​พระองค์​ผู้เป็นมหาสมณะ ขอข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า :
"ดูก่อนกัสสป ท่านเป็นผู้นำ เป็นผู้ฝึกสอน เป็นผู้เลิศ เป็นหัวหน้า
เป็นประธานของชฎิล ๕๐๐ คน
ท่านจงบอกกล่าวกับชฎิลเหล่านั้นก่อน พวกนั้นจักทำตามที่เข้าใจด้วยตนเอง"
ลำดับนั้น...
ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เข้าไปหาชฎิลเหล่านั้น ครั้นแล้วก็ได้แจ้งความประสงค์ต่อชฎิลเหล่านั้นว่า :
"ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราปรารถนาที่จะประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอพวกท่านจงทำตามใจตนเองที่เข้าใจเถิด"
ชฎิลพวกนั้นกราบเรียนว่า :
"พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเลื่อมใสยิ่งในพระมหาสมณะมานานแล้ว ขอรับ
ถ้าท่านอาจารย์จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ
พวกข้าพเจ้าทั้งหมดก็จักประพฤติ
พรหมจรรย์ในพระมหาสมณะเหมือนกัน"
เวลาต่อมา...
ชฎิลเหล่านั้นก็ได้ลอยผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิงในน้ำ แล้ว
พากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบเศียรลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้ทูลขอบรรพชา อุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า :
"ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้ มีพระภาค ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า :
"พวกเธอจงเป็นภิกษุเถิด"
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสต่อไปว่า :
"ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด"
พระวาจานั้นแล จึงได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุทั้งหลายเหล่านั้น
ครั้นเวลาต่อมา...
ชฎิลนทีกัสสปผู้เป็นน้องคนกลาง
ได้เห็นผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิงลอยน้ำมาจากทางอาศรมของพี่คนโต
ครั้นแล้วก็ได้มีความดำริว่า "อุปสรรคอย่าได้มีแก่พี่ชายเราเลย"
จึงได้ส่งชฎิลไปด้วยคำสั่งว่า พวกเธอ
จงไป จงรู้พี่ชายของเรา ดังนี้แล้ว ทั้งตนเองกับชฎิล ๓๐๐ ได้เข้าไปหาท่านพระอุรุเวลกัสสป แล้วเรียนถามว่า :
"ข้าแต่พี่กัสสป พรหมจรรย์นี้ประเสริฐแน่หรือ?"
พระอุรุเวลกัสสปตอบว่า :
"แน่ละเธอ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐแท้"
หลังจากนั้น ชฎิลเหล่านั้นลอยผม ชฎา เครื่องบริขารและเครื่องบูชาเพลิงในน้ำ แล้วพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบเศียรลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้ทูลขอบรรพชา
อุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า :
ขอพวกข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วนเถิด พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า :
"พวกเธอจงเป็นภิกษุเถิด"
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสต่อไปว่า :
"ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด"
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น
เวลาต่อมา...
ชฎิลคยากัสสปผู้เป็นน้องคนเล็ก
ได้เห็นผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิง ลอยน้ำมา
ครั้นแล้ว ได้มีความดำริว่า "อุปสรรคอย่าได้มีแก่พี่ชายทั้งสองของเราเลย" แล้วส่งชฎิลไปด้วยคำสั่งว่า พวกเธอจงไป จงรู้พี่ชายทั้งสองของเรา ดังนี้แล้ว ทั้งตนเองกับชฎิล ๒๐๐ คน ได้เข้าไปหาท่านพระอุรุเวลกัสสป แล้วเรียนถามว่า ข้าแต่พี่กัสสป : "พรหมจรรย์นี้ประเสริฐแน่หรือ?"
1
พระอุรุเวลกัสสปตอบว่า :
"แน่ละเธอ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐแท้"
หลังจากนั้น ชฎิลเหล่านั้นลอยผม ชฎา เครื่องบริขาร และเครื่องบูชาเพลิงในน้ำ แล้วพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบเศียรลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า :
"ขอพวกข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า :
"พวกเธอจงเป็นภิกษุเถิด"
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสต่อไปว่า :
"ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด"
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้นแล
***(อาทิตตปริยายสูตร) ***
ครั้นนั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลา ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ตำบลคยาสีสะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๑๐๐๐ รูป ล้วนเป็นปุราณชฎิล
หากท่านใดมีโอกาสก็ลองไปเที่ยวไปแสวงบุญได้นะครับ
พระองค์ประทับอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยานั้น พร้อมด้วยภิกษุ ๑๐๐๐ รูป ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้ :
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ก็อะไรเล่าชื่อว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน?"
ขออนุญาต​นำภาพมาประกอบ เพื่อเผยแผ่ธรรมครับ cr.ใต้ภาพครับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
- จักษุเป็นของร้อน
- รูปทั้งหลายเป็นของร้อน
- วิญญาณอาศัยจักษุเป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร?
เรากล่าวว่า ร้อน
- เพราะไฟ คือ ราคะ
- เพราะไฟ คือ โทสะ
- เพราะไฟ คือ โมหะ
- ร้อนเพราะความเกิด
- เพราะความแก่ และความตาย
- ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน
- เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะ
ความคับแค้น
- โสตเป็นของร้อน เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน
- ฆานะเป็นของร้อน กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน
- ชิวหาเป็นของร้อน รสทั้งหลายเป็นของร้อน
- กายเป็นของร้อน โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นของร้อน
- มนะเป็นของร้อน ธรรมทั้งหลายเป็นของร้อน
- วิญญาณอาศัยมนะเป็นของร้อน
- สัมผัสอาศัยมนะเป็นของร้อน ความเสวยอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร?
เรากล่าวว่า "ร้อน"
เพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปทั้งหลาย
-​ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยจักษุ
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยจักษุ
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสต ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเสียงทั้งหลาย
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกลิ่นทั้งหลาย
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรสทั้งหลาย
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมนะ
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมทั้งหลาย
-​ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยมนะ
- ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยมนะ -​ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี
สถานที่ปัจจุบัน cr. ใต้ภาพ
ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัส
ไวยากรณภาษิตนี้อยู่...
"จิตของภิกษุ ๑๐๐๐ รูปนั้น ก็พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกแล้ว"
***อาทิตตปริยายสูตร จบ***
***คุยท้ายเรื่องกับ แอดต้นธรรม***
เนื้อหาในบทนี้อาจจะมีเนื้อเรื่องที่ยาวไปสักหน่อย แต่เท่าที่ผมค้นหามานั้น มีแต่ใจความที่น่าสนใจ และมีรายละเอียดที่สนุก มีสถานที่หลากหลายที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จไป ผมจึงมิอยากตัดตอนใดตอนหนึ่งออกไปเลย ด้วยความตั้งใจจริงที่ว่า อยากให้ท่านผู้อ่านได้รับ ความรู้ความสนุกและได้รับธรรมพร้อมๆ กันไปด้วยครับ
และในบทนี้ มีภาพประกอบจากสถานที่จริงมาใช้ประกอบด้วย เนื่องจากผมไปเจอคลิปในยูทูท ของพระอาจารย์สมทบ ปรักกโม P.Santipalo ท่านได้ทำรายการธรรมะในเรื่ิองของพระพุทธเจ้า ได้ดีมากๆ ภาพประกอบก็งามมากๆ ดังนั้นผมจึงจะขอ อนุญาต​นำมาไว้ประกอบบนความในบนนี้ หากเจ้าของภาพมีความประสงค์เห็นว่าไม่เหมาะสมเช่นไร ก็สามารถแจ้งผมได้ในทันทีครับ
สุดท้ายนี้ผมหวังว่าบทความนี้จะพึงมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านทั้งหลายไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอดวงตาเห็นธรรมจงบังเกิดแก่สาธุชนทั้งหลาย สาธุ
อ้างอิง
พระวินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวรรคภาค ๑ - หน้าที่ 36-50
รูปภาพถ่าย : cr. พระอาจารย์สมทบ ปรักกโม P.Santipalo (สามารถชมรายการของพระอาจารย์ได้ในยูทูบครับ)
ปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้อ่านง่ายขึ้นและภาพประกอบโดย : แอดมินต้นธรรม เพจธรรม STORY

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา