24 ม.ค. 2019 เวลา 10:40 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
แบคทีเรียจรจัด: ตอนที่​ 6 เมืองหลวงเชื้อโรคกับพระราชวังต้องห้าม
ทำไมคนจึงอ้วน?​ ทำไมทารกห้ามทานน้ำผึ้ง?
เราเลือกแฟนจากอะไร?
คำตอบนี้ต้องขยายด้วยกล้องจุลทรรศน์
มนุษย์แต่ละคนมีพันธุกรรมที่เหมือนกันถึง​ 99.9% แล้วอะไรทำให้เราแตกต่างกันเหลือเกิน
พื้นผิวทุกตารางมิลของร่างกายเราทั้งภายในและภายนอกถูกปลกคลุมไปด้วยเชื้อเจ้าถิ่น​ นับล้าน​ ๆ​ตัว​ ได้แก่​ แบคทีเรีย​ ไวรัส​ รา​ โปรโตซัว​ รวมไปถึง อาร์เคีย​ (archaea - สิ่งมีชีวิตที่คล้ายแต่ไม่ใช่แบคทีเรีย​ ตัวอย่างเช่น​ อาร์เคีย​กลุ่ม​ methanogen ในลำไส้สัตว์และมนุษย์​ สร้างก๊าซมีเทนที่เป็นองค์ประกอบหลักของก๊าซชีวภาพและทำให้เกิดส้วมระเบิดได้)
1
เชื้อเจ้าถิ่นเหล่านี้มีจำนวนมากกว่าเซลล์ของเรา​ ถ้าเอาเชื้อทั้งหมดมารวมกันประมาณน้ำหนัก​ได้​ 200 - 1000 กรัม​ หนักกว่าไตหรือม้ามเสียอีก​ พวกมันรวมกันมีจำนวนยีนมากกว่ามนุษย์เป็นร้อยเท่า
1
บางคนจัดว่านี่เป็นอวัยวะใหม่เลยทีเดียว​ และเรียกกลุ่มเชื้อเจ้าถิ่นทั้งโขยงว่า​ ไมโครไบโอต้า​ (Microbiota)
การศึกษาไมโครไบโอต้างอกขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ดแบบฉุดไม่อยู่​ ในวารสาร​ Science​ กับ​ Nature ที่ลงตีพิมพ์เฉพาะงานวิจัยระดับสะท้านปฐพี​ (ground-breaking) แทบทุกฉบับจะต้องมี​งานวิจัยใน 3 หัวข้อ​ ได้แก่​ ไมโครไบโอต้า​ ภูมิคุ้มกัน​ และสมอง
ส่วนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ด้านอื่น​ ๆ​ ค่อนข้างอิ่มตัว นาน​ ๆ​ จะมีงานวิจัยสะท้านปฐพีผลัดกันมาให้ยลโฉมสักครั้ง เช่น​ ด้านหัวใจ​ ปอด​ หรือไต
น่าแปลกใจว่า​ความรู้เรื่องเชื้อโรคเป็นต้นกำเนิดของการแพทย์สมัยใหม่​ แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่ได้เข้าใจเรื่องเชื้อโรคซักเท่าไหร่​
รู้เขา​ (เชื้อโรค)​ รู้เรา​ (ภูมิคุ้มกัน) รบ​ร้อยครั้ง​ ชนะ​ร้อยครั้ง
ในอดีต​ เราแทบไม่รู้อะไร​เกี่ยวกับ​ ทั้งเขาและเราเลย แต่เรายังนึกฝันว่าจะ​ "ปิดตำรา" เรื่องโรคติดเชื้อได้​ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ​ ก็คงไม่ต่างอะไรกับผู้มีอำนาจคิดว่าจะจัดการกับผู้ประท้วงได้ด้วยลูกปืน
ถึงได้ผลในตอนแรกแต่ปัญหาจะยิ่งฝังรากลึกลงไปอีก
ธรรมชาติคนเราก็เป็นเช่นนี้​ คนรู้น้อยก็จะคิดว่าตัวเองรู้มาก​ แต่คนรู้มากกลับคิดว่าตัวเองรู้น้อย​ (เอาคำว่า​ "ดี" ไปแทนที่คำว่า​ "รู้" ก็จะได้ความจริงอีกแบบ)
ถ้าเราเปรียบร่างกายของเราเป็นเมืองหรือประเทศ​ พันธุกรรมจะเป็นตัวกำหนดลักษณะภูมิประเทศ​ เชื้อเจ้าถิ่นก็เปรียบได้กับพลเมือง​ ซึ่งบุคลิก​ลักษณะของพลเมืองจิ๋วนี้เองที่จะกำหนดเอกลักษณ์ของประเทศซึ่งก็คือตัวคุณ
เชื้อเจ้าถิ่นในแต่ละคนแต่ละเชื้อชาติก็แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม​ พันธุกรรม​ อาหารการกิน​ อย่างคนญี่ปุ่นที่ทานสาหร่ายกันเป็นล่ำเป็นสันมาหลายรุ่น​ ในลำไส้จะมีเชื้อแบคทีเรียที่ย่อยสาหร่ายได้
ถ้าคุณอยากย่อยหญ้า​ได้​ อาจลองพยายามกินหญ้าทุกวันต่อเนื่องไปหลายรุ่น​ โหลนของโหลนคุณ​ อาจมีเชื้อแบคทีเรียที่ย่อยเซลลูโลสได้เหมือนที่พบในสัตว์เคี้ยวเอื้องก็เป็นได้​ (อันนี้พูดเล่น​ อย่าไปลองเชียว)​
เมืองหลวงของเชื้อเจ้าถิ่นที่อยู่กันอย่างหนาแน่นที่สุด​ ก็คือ​ ลำไส้ใหญ่​ (colon) อันเป็นที่อยู่ของอุจจาระนั่นเอง
เชื้อเจ้าถิ่นในลำไส้ใหญ่​ของคนคนหนึ่งมีความหลากหลายมาก​ (biodiversity) โดยทั่วไปยิ่งหลากหลายมากก็ยิ่งดี​ เชื้อต่าง​ ๆ​ จะถ่วงดุลกันเอง​ หากความหลากหลายลดน้อยลง​ มีแต่เชื้อเดิม​ ๆ​ ซ้ำ​ ๆ​ ไม่กี่ชนิด​ นั่นก็เป็นสัญญาณที่บอกว่าประเทศ​ (ร่างของคุณ)​ กำลังมีปัญหา
นั่นคือหากคุณปล่อยให้มีผู้มีบทบาทมีอำนาจ​เบ็ดเสร็จ รวมกันอยู่ในคนไม่กี่กลุ่ม​ ไม่มีใครสามารถทัดทานได้​ ก็จะเกิดความวุ่นวายขึ้น
มนุษย์เราทานอาหารสารพัด​ มีสารอาหาร​ เชื้อโรค ยา​ สารพิษ​ สารตกค้าง​ เต็มไปหมด​ เราจึงมีเชื้อเจ้าถิ่นที่มีความสามารถหลากหลายพร้อมต่อกรแทบทุกสถานการณ์
ความหลากหลายไม่ได้ดีเสมอไป​ ในผู้หญิงมีส่วนที่เปรียบได้กับพระราชวังต้องห้าม​ ซึ่งไม่ใช่ที่ที่ปล่อยให้ผู้คนมากหน้าหลายตาเข้าไปยุ่มย่ามได้​ นั่นก็คือส่วน​ ช่องคลอด​ (vagina) นั่นเอง
ตรงข้ามกับลำไส้ใหญ่​ ในช่องคลอดของผู้หญิงที่สุขภาพดี​ จะมีความหลากหลายของเชื้อเจ้าถิ่นน้อย​ ส่วนมากเป็นเชื้อ​กลุ่ม​ แลคโตบาซิลัส [Lactobacillus] ซึ่งเปรียบเหมือนนางสนมหรือเหล่าขันทีแห่งวังต้องห้าม​ เชื้อนี้ผลิตกรดแลคติก​ (lactic acid) ทำให้เชื้อทั่วไปไม่ค่อยย่างกรายเข้ามา
ความจำเป็นที่ช่องคลอดจะต้องมีเชื้อเจ้าถิ่นหลากหลายแบบในลำไส้ก็คงน้อย​ เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่คงไม่ได้มีจำนวนคู่นอนเยอะเท่าชนิดของอาหารที่ทาน​ บางคนทั้งชีวิตอาจมีคู่นอนแค่คนเดียวหรือไม่มีเลย​
2
และเชื้อเจ้าถิ่นของช่องคลอดสตรีนี่เองที่จะเป็นเชื้อกลุ่มแรกที่เข้าไปตั้งถิ่นฐานในตัวทารก​ ถ้าความหลากหลายมากเกิน​ อาจจะมีเชื้อที่อันตรายไปยึดร่างทารกได้​
1
ซึ่งก็ตรงกับข้อมูลแวดล้อมว่าเชื้อ​ แลคโตบาซิลัส​ ซึ่งพบได้ในนมเปรี้ยว​ โยเกิร์ต​ และช่องคลอดของมนุษย์​ น่าจะเป็นเชื้อที่ค่อนข้างดีต่อสุขภาพ
ในทางกลับกัน​ หากเชื้อในช่องคลอดมีความหลากหลายมากเกินจนเสียสมดุล​ ผู้หญิงจะเกิดภาวะ​ แบคทีเรียล วาไจโนซิส (bacterial vaginosis)
ภาวะนี้แทบไม่พบในหญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แต่จะพบได้บ่อยขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนคู่นอน​ มีคู่นอนหลายคน​ หรือในหญิงที่ทำการล้างช่องคลอด​
ภาวะนี้เป็นการเสียสมดุล​ ไม่ใช่โรคติดต่อ​ แต่เพิ่มโอกาสติดโรคอื่น​ ๆ​ ทางเพศสัมพันธ์​ได้ โดยหญิงจะมีอาการตกขาว​กลิ่นเหมือนคาวปลา​
ข้อดี​ (หรือข้อเสียก็ไม่ทราบ)​ ที่โดยสัญชาตญาณ​คนส่วนใหญ่ไม่ชอบกลิ่นแบบนี้ จึงลดโอกาสที่ผู้ชายจะมามีเพศสัมพันธ์ด้วย​ ทำให้ผู้หญิงได้พักฟื้นรอสมดุลกลับมาและลดโอกาสที่ทารกในอนาคตจะต้องรับเชื้อเจ้าถิ่นที่ปรวนแปรนี้ได้
ทารกที่ยังไม่เกิด​ ก็เหมือนทวีปใหม่​ แผ่นดินใหม่ที่ยังไม่มีใครจับจอง​ ช่วงที่มารดากำลังเบ่งคลอดนี่เอง​ เชื้อจากช่องคลอดก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่มาสู่โลกใบนี้​ บางคนเปรียบเทียบว่าเป็นพิธีแบ๊บติสซึ่ม​ของแบคทีเรีย (bacterial babtism) เลยทีเดียว
เชื้อต่าง​ ๆ​ เข้าไปจับจองพื้นที่ว่างเปล่าบนตัวทารก​ใครมาก่อนได้ก่อน​ บางตัวอาจไปอยู่บนผิวหนัง​ บางตัวไปอยู่ในช่องปาก​หรืออวัยวะเพศ​
แล้วเชื้อหลากชนิดก็ร่วมกันก่อตั้งเมืองหลวงที่ลำไส้ใหญ่​เพราะเป็นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารที่มนุษย์ย่อยหรือดูดซึมไม่หมด​ ไม่เป็นกรดมากเกินเหมือนในกระเพาะ​ ไม่ได้มีน้ำดีหรือน้ำย่อยเข้มข้นเท่าในลำไส้เล็ก
เชื้อแต่ละตัวก็เลือกชัยภูมิที่ถนัด​ในลำไส้ บางตัวเลือกอยู่บนยอดภูเขา​ (villus - ส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายนิ้วมือของเยื่อบุผนังลำไส้เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึม​)​ บางตัวก็ึ่อยู่ที่เชิงเขา​ บ้างอยู่ในหลุม​ (crypt) บ้างก็อยู่บนพื้นเฉอะแฉะ​ (mucus -​ เมือก)
มีจังหวะชีวิต​กลางวันกลางคืน​ แต่ละเวลาเชื้อแต่ละตัวก็ทำงานต่างกันไป​ บ้างก็ออกหาอาหารในบริเวณห่างออกไป​ ถึงเวลาก็กลับสู่รังของตัวเอง
น้ำนมแม่ก็ช่วยคัดเลือกเชื้อที่ดีให้กับทารก​ (อ่านเพิ่มได้ในตอนที่​ 4) ลูกของผมดื่มนมจากเต้าจนถึงอายุ​ 4 ขวบครึ่ง​ ประมาณว่ายืนดูดได้เลย ซึ่งตอนนั้นลูกทานอาหารทุกอย่างเหมือนผู้ใหญ่แล้ว​ แค่ดูดนมเล่นแก้เซ็งนิด​ ๆ​ หน่อย​ ๆ​
ปากลูกจะมีกลิ่นหอมเหมือนโยเกิร์ตแม้จะไม่ได้เป็นช่วงหลังดื่มนมก็ตาม
แต่พอลูกเบื่อเลิกดูดนมแม่​ แค่​ไม่กี่สัปดาห์กลิ่นปากลูกก็เหมือนของผู้ใหญ่ทันที​ ผมเลยบอกภรรยาว่าขอลองดูดมั่งก่อนน้ำนมจะหมดสนิท​ เผื่อปากจะหอมเหมือนลูก​ ภรรยาเลยแจกมะเหงกให้​ 1 ชุด
2
ทั้งนี้คงไม่ได้แนะนำให้ใครไปดูดนมจากเต้าแก้ปากเหม็น​ แค่ประทับใจว่านมแม่น่าจะมีผลกับเชื้อในช่องปากพอควรเลย
1
ตอนพาลูกไปหาหมอฟันเด็ก​ หมอฟันก็ถามผมกับภรรยาก่อนเลยว่ามีฟันผุหรือเปล่า​ ถ้ามีให้รีบไปอุด​ เพราะกลัวกลุ่มเชื้อที่ทำให้ฟันผุได้ง่าย​จากพ่อแม่ จะถ่ายทอดสู่ลูก
สายสัมพันธ์แม่ลูกจึงไม่ได้มีแค่พันธุกรรมเท่านั้น​ แต่รวมไปถึงความอบอุ่น​ อาหาร​ ภูมิคุ้มกัน​ ไมโตคอนเดรีย​ ไปจนถึงเชื้อโรค
แต่สายสัมพันธุ์นี้อาจขาดสะบั้นลง​ จากการผ่าตัดคลอด​ การใช้นมชงแทนนมแม่​ การได้ยาปฏิชีวนะระหว่างมารดาตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
เป็นที่ยอมรับว่าการผ่าตัดคลอด​ (cesarean section) ส่งผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของเชื้อเจ้าถิ่น​ เนื่องจากทารกไม่ได้สัมผัสเชื้อในช่องคลอดมารดา
บางคนพยายามโยงความสัมพันธ์ของการผ่าคลอด​กับความอ้วน​ เบาหวาน​ และโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันต่าง​ ๆ
เรื่องนี้ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับนัก​ แต่หมอสูติที่เชื่อเรื่องนี้มาก​ ๆ​ บางคน​ หลังเอาทารกออกด้วยการผ่าคลอดแล้ว​ จะเอาสารคัดหลั่งจากช่องคลอดมารดามาละเลงบนตัวทารก​ (vaginal seeding) โดยเฉพาะบริเวณปาก​ หวังว่าทารกจะได้รับเชื้อเจ้าถิ่นที่ดีเหมือนการคลอดตามธรรมชาติ
เชื้อเจ้าถิ่นที่เริ่มก่อตัวในทารกยังไม่เข้มแข็งนัก​ เชื้ออันตรายบางอย่างอาจฉวยโอกาสเข้ายึดครองได้
1
ตัวอย่างที่ชัดเจน​คือเชื้อ​ คลอสตริเดียม​ โบทูลินั่ม​ [Clostridium botulinum] ที่สามารถสร้างพิษที่มีความรุนแรงที่สุดในโลก​ (botulinum toxin) ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต​ หยุดหายใจตายได้​ และเราเอามาใช้แก้รอยเหี่ยวย่นที่รู้จักกันดีในชื่อ​ โบท็อกซ์​ (Botox) นั่นเอง
เชื้อนี้มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมในดินทั่วไปอยู่แล้ว​ เติบโตในภาวะที่ไม่มีออกซิเจน​ ในอาหารหมักดองที่ชาวบ้านทำกันเองแบบไม่ถูกสุขลักษณะ​ อาจมีเชื้อนี้เพิ่มจำนวน​ สร้างพิษจนเกิดอันตรายต่อผู้ที่ทาน
ผึ้งเวลาไปเก็บน้ำหวานก็ปนเปื้อนเชื้อนี้ในธรรมชาติได้​ ในน้ำผึ้งจึงอาจมีเชื้อนี้ซ่อนอยู่ในรูปของสปอร์ (spore)​
แต่สปอร์ไม่สามารถงอกเป็นตัว​ (vegetative form) จึงสร้างพิษไม่ได้ด้วย​ เพราะน้ำตาลในน้ำผึ้งที่สูงมาก​จะดูดน้ำออกจากเซลล์​ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการถนอมอาหารด้วยการดองหวานหรือการแช่อิ่มนั่นเอง​ เราจึงสามารถทานน้ำผึ้งได้อย่างปลอดภัย
แต่เมื่อน้ำผึ้งถูกเจือจางไม่ว่าจะโดยอาหารหรือน้ำย่อย​ สปอร์ของเชื้อโบทูลินั่ม​ที่เราทานเข้าไป​ ก็อาจงอกขึ้นมาใหม่และสร้างพิษได้
แต่ที่เราไม่เป็นอะไร​ เพราะเชื้อเจ้าถิ่นที่ยึดครองพื้นที่ในลำไส้อยู่จะยับยั้งไม่ให้เชื้อนี้เพิ่มจำนวนจนก่อเรื่องได้
เชื้อโบทูลินั่มก็เปรียบได้กับชาวยุโรปที่เดินทางไปอเมริกา​ ปัจจุบันก็คงไปในฐานะนักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่​ เข้าแล้วก็ออก​ ไม่ได้ก่อเรื่องอะไร​ เพราะชาวอเมริกันยึดครองพื้นที่อย่างสมบูรณ์แล้ว
แต่ทารกเปรียบได้กับทวีปอเมริกาตอนยุคโคลัมบัส​ ที่มีเพียงชาวอินเดียนแดงอยู่กันเป็นชนเผ่ากระจัดกระจาย​ เมื่อชาวยุโรปมาพบเข้า​ ก็ยึดมันซะเลย
ทารกจึงมีโอกาสเสี่ยงที่เชื้อนี้จะเพิ่มจำนวนในลำไส้​และสร้างพิษจนเกิดโรคได้​ (infantile botulism) นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ฉลากของน้ำผึ้งระบุว่า​ ห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่า​ 1 ขวบทาน
เมื่อเด็กเติบโตขึ้น​ เชื้อเจ้าถิ่นกับภูมิคุ้มกันพัฒนาเต็มที่แล้ว​ แม้จะมีการปรับเปลี่ยนบ้างตลอดเวลา​ แต่ก็ไม่ส่งผลรุนแรงหรือถาวรเท่าในวัยทารก
เหมือนเราเลือกระบอบการปกครองแล้วว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์​ หลังจากนั้นจะเปลี่ยนรัฐบาลหรือรัฐธรรมนูญอีกกี่ฉบับ​ โครงสร้างโดยรวมก็ยังคล้าย​ ๆ​ เดิม
หรืออาจกล่าวได้ว่าวัยทารกเป็นช่วงเปราะบางมาก​ ไม่ว่าจะการพัฒนาของสมอง​ เชื้อเจ้าถิ่น​ หรือภูมิคุ้มกัน​ สิ่งที่เกิดขึ้นในวัยนี้​ จะติดตัวเด็กน้อยไปชั่วชีวิต
การได้รับยาปฏิชีวนะที่เป็นเหมือนระเบิดปรมาณูสำหรับเชื้อเจ้าถิ่น​ จึงส่งผลกระทบต่อทารกรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่​ และอาจทำให้โครงสร้างทางสังคมของเชื้อเจ้าถิ่นเปลี่ยนไปตลอดกาล
ผู้ใหญ่ก็เปรียบเหมือนประเทศที่มีระบบระเบียบ​ มีวัฒนธรรมมายาวนานแข็งแกร่ง​ อย่างญี่ปุ่น​ หลังโดนระเบิดนิวเคลียร์เข้าไป​ แม้จะใช้เวลาแต่สุดท้ายผู้รอดชีวิตก็ฟื้นฟูประเทศกลับมามีเอกลักษณ์คล้ายเดิมได้
1
ความเสียหายขึ้นกับอานุภาพของยาปฏิชีวนะ​ เพนนิซิลินก็คงเทียบได้กับระเปิดปรมาณู​ ลิตเติ้ลบอย​ ใช้เวลาฟื้นตัวสั้นหน่อยในระดับเป็นสัปดาห์ถึงเดือน
ถ้าได้คาร์บาพีเนม​ (carbapenem) ซึ่งฆ่าเชื้อได้สารพัด​ ก็เหมือนโดน​ ซาร์​ บอมบา​ เชื้อเจ้าถิ่นตายกันระเนระนาด​ (อ่านเพิ่มเติมได้ในตอนที่​ 2) อาจจะใช้เวลาฟื้นตัวหลายเดือนจนถึงเป็นปี​ กว่าจะกลับไปใกล้เคียงปกติ​ แต่อาจไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว​ ทั้งนี้นอกจากความแรง​ ยังขึ้นกับระยะเวลาที่ได้ยา​ปฏิชีวนะ ยิ่งได้นานก็ยิ่งฟื้นช้า
แต่สำหรับทารก​ ร่างอาจถูกยึดครองด้วยเชื้อที่เปลี่ยนไปอย่างถาวร​ เปรียบกับประเทศไทย​ ถ้าในยุคพ่อขุน​ สุโขทัยโดนนิวเคลียร์ถล่ม​ แล้วมีชาวแขกหรือแอฟริกันเข้ามาแทน​ ประเทศไทยในปัจจุบันคงต่างจากที่เราเห็นอยู่เป็นแน่
ผลกระทบที่เกิดจากการได้ยาปฏิชีวนะในวัยทารกที่มีหลักฐานพอสมควรคือภาวะอ้วนที่เป็นกันมากขึ้นเรื่อย​ ๆ
ตัวอย่างคือ​ ยาปฏิชีวนะถูกนำมาใช้ในปศุสัตว์อย่างบ้าคลั่ง​ ปริมาณยาทั้งหมดที่ใช้มากกว่าในมนุษย์เกือบสิบเท่า​ และไม่ได้ใช้เพื่อรักษาหรือป้องกันโรค​ แต่ใช้เพื่อเพิ่มน้ำหนักสัตว์​ จะได้ขายได้ราคาดีขึ้น
ในอเมริกา​ อัตราการใช้ยาปฏิชีวนะในรัฐต่าง​ ๆ​ จะสัมพันธ์กับการเกิดภาวะอ้วน​ ยิ่งรัฐไหนใช้ยาปฏิชีวนะมาก​ โดยเฉพาะในเด็กที่อายุต่ำกว่า​ 2 ขวบ​ รัฐนั้นก็ยิ่งมีคนอ้วนมาก​
หนูทดลอง​จะอ้วนขึ้นเมื่อได้รับยาปฏิชีวนะ​ โดยเฉพาะถ้าได้ตั้งแต่หนูยังแบเบาะ​ และพบว่าลักษณะของเชื้อเจ้าถิ่นจะเปลี่ยนแปลงรุนแรงกว่าหนูที่โตแล้ว
ถ้าเอาหนูปลอดเชื้อ​ (germ-free) มาให้ยาปฏิชีวนะจะไม่มีผลต่อน้ำหนักตัว​ หมายความว่ายาปฏิชีวนะอย่างเดียวไม่ได้ทำให้น้ำหนักหนูเพิ่ม
แต่ถ้าเราเอาเชื้อในลำไส้ของหนูที่เคยได้ยาปฏิชีวนะแล้วอ้วน​ ไปใส่ให้หนูอีกตัว​ หนูตัวใหม่จะอ้วนตามแม้มันจะไม่เคยได้ยาปฏิชีวนะเลย
สรุปได้ว่ายาปฏิชีวนะเปลี่ยนแปลงเชื้อเจ้าถิ่นในทารก​ ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดภาวะอ้วนเมื่อโตขึ้น
แม้แต่การนำเชื้อในลำไส้จากคนอ้วนหรืือผอม​ ไปใส่ในหนู​ ก็ทำให้หนูอ้วนหรือผอมตามได้เช่นกัน
เชื้อที่ทำให้อ้วนนี้จะมีแนวโน้มที่จะสกัดเอาพลังงานออกจากอาหารมาใช้ได้มากกว่าเชื้อในภาวะปกติ​ จึงทำให้เจ้าของร่างได้สารอาหารหรือพลังงานเพิ่มขึ้นไปด้วย
อาหารบางอย่างเมื่อคู่กับเชื้อบางชนิดก็กลายเป็นสูตรสำเร็จของความอ้วนได้​ เช่น​ ในหนูทดลองพบว่าอาหารที่มีไขมันสูงอาจถูกเชื้อในลำไส้เปลี่ยนเป็นอะซิเตท (acetate) ปริมาณมากเข้าสู่กระแสเลือด
อะซิเตทจะกระตุ้นสมองให้ส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาทสมองคู่ที่​ 10 (vagus nerve) มากระตุ้นตับอ่อนให้เพิ่มระดับอินซูลิน​ในเลือด ซึ่งไปกระตุ้นให้เซลล์ไขมัน​ (adipocyte)​ ให้ดึงน้ำตาลในเลือดไปสะสมเป็นไขมันจนอ้วนในที่สุด
นอกจากนี้​ อะซิเตทยังกระตุ้นให้หิวและเพิ่มน้ำย่อย​ ผ่านการทำงานของฮอร์โมนอื่นด้วย
เมื่อนำเชื้อเจ้าถิ่นในลำไส้ของแฝดเหมือนที่คนหนึ่งผอมแต่อีกคนอ้วนไปใส่ให้หนูปลอดเชื้อ​ พบว่าหนูที่ได้เชื้อจากแฝดผอมกลายเป็นหนูผอม​ ขณะที่หนูที่ได้เชื้อจากแฝดอ้วนกลายเป็นหนูอ้วน​ เครดิตภาพ​: Jeff Gordon ที่มา: https://www.jax.org
อันที่จริงเชื้อไม่ได้มายุ่งกับเราแต่ฝ่ายเดียว
ร่างกายเรา​ก็พยายามควบคุมเชื้อ เยื่อบุผนังลำไส้สามารถปล่อย​ไมโครอาร์เอ็นเอ​ (miRNA) ไปยับยั้งหรือส่งเสริมการเติบโตของเชื้อแต่ละชนิด
ระบบภูมิคุ้มกันของเราเริ่มทำความรู้จักกับเชื้อที่เข้ามาตั้งรกราก​ มีการสุ่มเอาเชื้อมาตรวจสอบดูรูปร่างหน้าตา​ ปั๊มลายนิ้วมือ​ คล้ายการทำทะเบียนราษฎร์ว่ามีเชื้ออะไร​บ้าง​ ตัวไหนไม่ทำอันตราย​ ตัวไหนอาจก่อโรคได้​ ควบคุมไม่ให้เชื้อที่อาจก่อโรคมีมากเกินไป
เชื้ิอเหล่านี้บางครั้งอาจบุกรุกเข้ามา​ คล้ายการปล้นสะดม​ ฉกชิงวิ่งราว​ ให้ระบบภูมิคุ้มกันได้ซ้อมมือ​ ฝึกฝนกองทัพเม็ดเลือดขาวให้พร้อมรับศึกใหญ่ในอนาคต​ และจดจำหมายหัวพวกเชื้อที่ก่อเรื่องไว้
แล้วถ้าเราไม่มีเชื้อเจ้าถิ่นเลยจะเกิดอะไรขึ้น
เราสามารถเลี้ยงหนูให้ปลอดเชื้อ​ (germ-free) ซึ่งพบว่าหนูพวกนี้ไม่แข็งแรง​ ภูมิคุ้มกันไม่พัฒนาเต็มที่​ ถ้าเจอเชื้อโหดหน่อยก็ตายเอาง่าย​ ๆ
หนูทดลองทั่วไปที่เราเลี้ยงก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาดมาก​ อาหารการกินก็ซ้ำ​ ๆ​ เดิม​ เชื้อเจ้าถิ่นในลำไส้จึงไม่ค่อยหลากหลาย​
ถ้าเราแค่เอาหนูในธรรมชาติตัวนึงหย่อนลงไปในกรง​ หนูทดลองจะตายไปครึ่งนึงเพราะทนเชื้อที่หนูแปลกหน้านำติดตัวมาไม่ได้​ แต่หนูอีกครึ่งที่รอดมาได้จะแข็งแรง​ ต้านทานการติดเชื้อได้ดีขึ้น
มนุษย์ปัจจุบันก็คล้ายหนูทดลอง​ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้น​ ทานแต่อาหารสะอาดปรุงสุก​ แถมยังใช้ยาปฏิชีวนะเป็นว่าเล่น​ เราจึงมีความหลากหลายของเชื้อเจ้าถิ่นลดลงเรื่อย​ ๆ​ ในแต่ละรุ่น​ (generation)
เชื่อว่าความสะอาดเกินทำให้เกิดปัญหาภูมิคุ้มกันผิดปกติ​ (hygiene hypothesis) เช่น​ ภูมิแพ้​ (allergy) หรือภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง​ (autoimmunity) ซึ่งพบมาก​ขึ้นเรื่อย​ ๆ​ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว
พบว่าในประเทศที่สาธารณสุขยังไม่ดี​ ประชากรส่วนใหญ่มีพยาธิในตัว​ ซึ่งกระตุ้นให้ลำไส้หลั่งเมือก​ (mucus) ออกมามากขึ้น​ ส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียที่ชอบเมือกเพิ่มจำนวนได้ดี​ ซึ่งเชื้อกลุ่มนี้ช่วยลดการอักเสบ​ ประชากรกลุ่มนี้จึงไม่ค่อยมีปัญหาลำไส้อักเสบ​ (inflammatory bowel diseases) ที่พบบ่อยในประเทศที่เจริญแล้ว
การสาธารณสุขที่ดีขึ้นช่วยให้ประชากรกว่าครึ่งไม่ต้องตายจากโรคติดเชื้อแต่ก็อาจแลกมาด้วยเชื้อเจ้าถิ่นที่อ่อนแอลงและโรคทางระบบภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้น
1
เชื้อเจ้าถิ่น​ หรือไมโครไบโอต้า​ มีความสัมพันธ์กับทุกโรค​ ไม่ว่าจะเป็น​ มะเร็ง​ เบาหวาน​ สมองเสื่อม​ โรคพุ่มพวง​ หรือโรคติดเชื้อ​ เรียกได้ว่าหาภาวะที่มันไม่เกี่ยวข้องแทบไม่ได้
นอกจากนี้มันยังสัมพันธ์กับระดับสติปัญญาและอารมณ์ต่าง​ ๆ​ อีกด้วย
ขนาดที่บางคนประชดว่านี่ถ้าใครโดนฟ้าผ่าตาย​ ก็คงเพราะไมโครไบโอต้ามันดลใจให้ไปยืนโทรศัพท์อยู่กลางทุ่งในวันที่ฝนตกฟ้าคะนอง
อย่างไรก็ตามการพบความสัมพันธ์​ (association) ไม่ได้แปลว่ามันเป็นเหตุเป็นผลกัน​ (causal relationship) ซึ่งพิสูจน์ได้ยากมากในมนุษย์ที่มีความหลากหลายทั้งพันธุกรรมและเชื้อเจ้าถิ่น
เช่น​ มีคนพบไวรัสของสาหร่ายบางชนิดในคอหอยของคนที่มีไอคิวต่ำ​ได้บ่อย อาจเรียกได้ว่าเป็น​ ไวรัสคนโง่ (stupidity virus) แต่แค่การพบได้บ่อยไม่ได้เป็นการพิสูจน์ว่ามันทำให้เราโง่ได้จริง
ข้อมูลที่เด่นชัดจึงมักมาจากสัตว์ทดลอง​ เช่น​ การศึกษาในหนูทดลอง​ พบเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งในลำไส้ที่สามารถสร้างสารสื่อประสาท​ (neurotransmitter) ดูดซึมเข้ากระแสเลือด​ ไปกระตุ้นสมองให้เกิดความวิตกกังวล​ (anxiety) ได้
นี่ก็เป็นเรื่องฮอตสุด​ ๆ​ ว่าระบบลำไส้สามารถควบคุมสมองเราได้อย่างไร​ (gut-brain axis) เช่น​ เชื้อในลำไส้อาจปล่อยสารเคมีเข้ากระแสเลือด​ อาจส่งสัญญาณผ่าน​เส้นประสาท​เวกัส​ (vagus nerve) ซึ่งเชื่อมลำไส้กับสมอง​ หรือ​ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกัน​ซึ่งไปปรับเปลี่ยนการทำงานของสมองอีกที
เช่น​ (เรื่องสมมุติ)​ ถ้าคุณอยากกินโดนัท​ แท้จริงแล้ว​ อาจเกิดจากเชื้อในลำไส้ที่ชอบแป้งหรือน้ำตาลในโดนัท​ ไปรบกวนระบบตับอ่อนให้ปล่อยอินซูลินเพิ่ม​ ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ​ คุณจึงอยากทานของหวาน​
เมื่อทานแล้ว​ เชื้อนี้ได้อาหารที่มันต้องการ​ อาจปล่อยสารสื่อประสาทที่ไปกระตุ้นระบบโดพามีน​หรือเอ็นดอร์ฟินในสมอง​ จึงทำให้คุณรู้สึกฟินสุด​ ๆ​ ประหนึ่งว่าโดนัทชิ้นนั้นเป็นเฮโรอีนของคุณเลย
คุณอาจเชื่อว่าคู่ของคุณเป็นพรหมลิขิต​ ซึ่งก็อาจจะจริง​ แต่พรหมหรือกามเทพของคุณอาจตัวเล็กมากจนต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
ในแมลงวันผลไม้​ (fruit fly) มันจะเลือกผสมพันธ์ุกับเพศตรงข้ามที่มีเชื้อเจ้าถิ่นชนิดเดียวกัน​ เพราะ​ลักษณะฟีโรโมนของมันที่ดึงดูดเพศตรงข้ามจะเปลี่ยนแปลงไปตามเชื้อที่มีอยู่ในตัว​ ถ้าเชื้อไม่ตรงกัน​ มันจะไม่ไปผสมพันธ์ุด้วย
ในมนุษย์การเลือกคู่ของเราซับซ้อนมาก​ แต่เราคงไม่ปฏิเสธว่ากลิ่นกาย​ กลิ่นเหงื่อ​ กลิ่นปาก​ ซึ่งเป็นผลพวงจากการทำงานของเชื้อเจ้าถิ่น​ มีผลต่อความพึงพอใจไม่มากก็น้อย
กลิ่นแบบเดียวกันอาจทำให้บางคนตื่นตัวทางเพศ บางคนเฉยๆ​ หรือบางคนจะอ้วกก็ได้
1
ถ้าคุณคบกับใครที่คุณคิดว่าเฮงซวยสุดขีด​ แต่คุณตัดใจจากเขาไม่ได้เสียที​ นั่นอาจเป็นเพราะเชื้อเจ้าถิ่นในตัวคุณโหยหาอยากเกี่ยวดองเป็นญาติกับเชื้อของเขาก็เป็นได้
เพราะกิจกรรมทางเพศทั้งหลาย​ มองในอีกมุมก็เป็นการแลกเปลี่ยนเชื้อของอวัยวะที่มาสัมผัสกันนั่นเอง
ยิ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด​ เชื้อเจ้าถิ่นของคู่นั้นก็ยิ่งมีความคล้ายกัน​
ถ้าใครปากแข็งว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน​ ก็ลองเอาเชื้อเจ้าถิ่นมาตรวจดูว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหน​ ถ้าไม่มีเศษเสี้ยวที่เหมือนกันเลย​ เขาอาจจะพูดจริง​
อนาคตเราอาจจะแยกระดับความลึกซึ้งของความสัมพันธ์ได้ตามระดับความคล้ายของเชื้อเจ้าถิ่น​หรือไมโครไบโอต้าได้
อันที่จริงเราไม่ได้แลกเปลี่ยนเชื้อกับสิ่งมีชีวิตอย่างเดียว​ เรามีการแลกเปลี่ยนกับวัตถุสิ่งของด้วย​ เวลาเราไปอยู่ที่ไหนก็ตาม​ ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง​ เราจะสามารถตรวจพบเชื้อบนร่างเราไปอยู่ตามโต๊ะ​ เก้าอี้​ ผนัง​ ได้​
มีการศึกษาหาเชื้อที่อยู่ในวัตถุเหล่านี้​เพื่อใช้ในทางนิติวิทยา ว่าอาจช่วยระบุตัวตนและช่วงเวลาที่คนคนนั้นอาศัยอยู่ในสถานที่นั้น​ ๆ
เชื้อเจ้าถิ่นยังช่วยปกป้องเราจากเชื้อก่อโรค
เชื้อก่อโรคแม้จะร้ายกาจเพียงใด​ ถ้าบุกมาแบบข้ามาคนเดียว​ ก็มักจะโดนเชื้อเจ้าถิ่นของเรารุมยำเละ​
พวกพยาธิตัวใหญ่ยักษ์เมื่อเทียบกับเชื้ออื่น​ ๆ​ อาจจะพอมาแบบเดี่ยว​ ๆ​ ก็รอดได้​ แต่ถ้าเชื้อแบคทีเรียตัวเล็กหน่อย​จะตีเมืองเราได้​ มักต้องยกโขยงกันมาเป็นกองทัพ​
ขนาดของกองทัพ​ (inoculum size) ก็ขึ้นกับชนิดของเชื้อ​ เช่น​ เชื้อไทฟอยด์​ [Salmonella Typhi] ต้องจัดทัพมา​ 1 แสนนายถึงจะฝ่าด่านกรดในกระเพาะกับเชื้อเจ้าถิ่นในลำไส้จนก่อโรคในคนที่แข็งแรงดีได้​ 50​ คนจาก​ 100 คน​ แต่ถ้าเป็นเชื้อบิดไม่มีตัว​ [Shigella] อาศัยหน่วยบุกทะลวงแค่​ 100 นายก็อาจจะยึดเมืองได้
หากเราได้ยาลดกรด​หรือเชื้อเจ้าถิ่นของเราเหลือน้อยจากการได้ยาปฏิชีวนะ​ เชื้อก่อโรคอาจยึดร่างเราได้สบาย​ ๆ​ ด้วยทัพขนาดเล็กนิดเดียว
การที่เราจะกำจัดเชื้อบางอย่างออกไปก็จำเป็นต้องอาศัยเชื้อเจ้าถิ่น
เชื้อซาลโมเนลล่า​ [Salmonella]​ ชนิดที่ไม่ใช่เชื้อไทฟอยด์​ เมื่อทำให้เกิดอาการท้องเสีย​ ถ้าผู้ป่วยแข็งแรงดี​ เชื้อไม่ได้แพร่กระจาย พบว่าการให้ยาปฏิชีวนะไม่ช่วยอะไร​ แถมยังทำให้ผู้ป่วยปล่อยเชื้อออกมาในอุจจาระได้นานขึ้น​ (prolonged shedding)
ทั้งนี้เพราะเชื้อเจ้าถิ่นถูกทำลาย​จากยาปฏิชีวนะ จึงไม่มีใครมาขับไล่ทำลายเชื้อนี้​ ลำไส้จึงถูกยึดครองยาวนานไม่สามารถประกาศเอกราชได้เสียที
การที่เชื้อเจ้าถิ่นช่วยปกป้องเรา​ ส่วนใหญ่ก็อธิบายตรง​ ๆ​ ว่าเชื้อมันแย่งอาหาร​ แย่งพื้นที่กัน​ เชื้อก่อโรคจึงต้องมีมากพอที่จะสังหารเชื้อเจ้าถิ่นแล้วหาทางแทรกบุกเข้าตีกำแพงเมืองซึ่งก็คือผนังลำไส้นั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีกลไกพิสดารอย่างอื่น​ เช่น​ ในหนูทดลองสายพันธุ์เดียวกัน​ พันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ​ พบว่าหนูที่มาจากคนละแหล่ง​เมื่อใส่เชื้อก่อโรคเข้าไปจะเกิดอาการต่างกันมาก​ กลุ่มหนึ่งย่ำแย่​ น้ำหนักลด​ อีกกลุ่มหนึ่งไม่เป็นอะไรมาก
ปรากฏว่าหนูที่ไม่ค่อยป่วย​ มีเชื้อเจ้าถิ่นชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อลำไส้อักเสบจากเชื้อก่อโรค​ มันจะเคลื่อนที่ออกจากลำไส้​ ไปเกาะที่เซลล์ไขมันที่อยู่ในช่องท้อง​ กระตุ้นให้เซลล์ปล่อยฮอร์โมน​บางอย่าง​มาช่วยลดผลร้ายที่เกิดจากการอักเสบติดเชื้อ
ประสบการณ์ตรงที่เคยใช้หนูทดลองมาทดสอบการเกิดโรค​ พวกหนูพิเศษ​ (knockout mice - พันธุกรรมเหมือนหนูปกติทุกประการ​ ยกเว้นยีน​ 1 คู่ที่เราศึกษา​ ไม่สามารถทำงานได้) ที่พึ่งซื้อมาจากบริษัทหรือขอมาจากมหาวิทยาลัยอื่น​ มาทดสอบการติดเชื้อ​ มีแนวโน้มที่จะมีอาการเจ็บป่วยแตกต่างจากหนูปกติที่เลี้ยงไว้เองนานแล้ว​ ทำให้เราดีใจว่าเราจะพบยีนที่มีผลต่อการเจ็บป่วยแล้ว
แต่พอเลี้ยงหนูพิเศษต่อไปให้มันออกลูกออกหลานซักพัก​ เอาหนูพิเศษรุ่นใหม่นี้ทำการทดลองซ้ำ​ กลับไม่พบความแตกต่างของอาการป่วยจากหนูปกติ
พอได้ผลตรงข้ามกับครั้งแรก​ ผมก็พบว่าหนูพิเศษที่ยิ่งเลี้ยงไว้เองนาน​ ความแตกต่างจากหนูปกติก็ยิ่งแทบไม่มี
สมมุติฐานจึงเป็นว่าหนูพิเศษที่เอาเข้ามาใหม่น่าจะมีเชื้อเจ้าถิ่นต่างกับหนูที่เราเลี้ยงเองมานานแล้ว​ จึงให้ผลการศึกษาต่างกัน​ ไม่ได้เป็นผลจากความผิดปกติของยีนในหนูพิเศษ
แต่เมื่อเลี้ยงไปซักระยะ​ อยู่ในบริเวณเดียวกัน​ อาหารเหมือนกัน​ เชื้อเจ้าถิ่นอาจปรับมาใกล้เคียงกัน​ จึงไม่พบความแตกต่าง
ถ้าสมมุติฐานนี้เป็นจริง​ ผลการทดลองในสัตว์ทดลองต่าง​ ๆ​ ที่ผ่านมา​ อาจสรุปผลผิดหมด
ปกติได้หนูมาเราก็อยากรีบทำการทดลอง​ เพราะค่าดูแลหนูแพงมาก​ ไม่มีใครคิดที่จะรอให้เชื้อเจ้าถิ่นมันปรับตัวคงที่ก่อนค่อยทำการทดลอง
คุณคงเห็นแล้วว่าเชื้อเจ้าถิ่นหรือเทพอารักษ์ประจำตัวเรา​ มีอิทธิพลมหาศาลกับสุขภาพและพฤติกรรมของคุณ​ หรือแม้แต่ผลการทดลองที่เราเชื่อกันหัวปักหัวปำ​
การที่คุณทนอ่านบทความยาว ๆ​ นี้จนจบ​ ก็อาจเป็นเพราะเชื้อเจ้าถิ่นของคุณอยากให้คุณได้รับรู้ว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ​
ขนาดเชื้อก่อโรคที่แข็งแกร่งยังใช่ว่าจะฝ่าด่านเชื้อเจ้าถิ่นได้ง่ายนัก​ เชื้อดื้อยาที่อ่อนแอ​ (อ่านเพิ่มได้ในตอนที่​ 4)​ จึงไม่ค่อยยุ่งกับเรา​
แต่ถ้าเราใช้ยาปฏิชีวนะบ่อย​ ๆ​ เชื้อดื้อยาจะมาแทนที่กลายเป็นเชื้อเจ้าถิ่นของคุณในที่สุด​ กลายเป็นเทพอารักษ์พันธุ์วิบัติ​ ซึ่งอาจก่อโรคในภายหลังหรือส่งยีนดื้อยาให้กับเชื้ออื่นที่มาถล่มคุณได้
ถ้าคุณมีความจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาชีวิตไว้​ ถึงเชื้อก่อโรคจะตาย​ แต่คุณก็ต้องสังเวยเชื้อเจ้าถิ่นไปตาม​กัน​
จะมีเวทมนตร์ใดที่ช่วยคืนชีพเทพอารักษ์ให้กับคุณหรือไม่?
แล้วเชื่อหรือไม่ว่าเทพอารักษ์ของคุณอาจให้ลาภได้?
โปรดติดตามตอนถัดไป
แบคทีเรียจรจัด: ตอนที่​ 7 อุจจาระคือทอง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา