23 ม.ค. 2019 เวลา 14:49 • ปรัชญา
พ่อตาบอด
ในวันหนึ่ง วันที่ฝนพรำลูกชายสอง สามีอีกหนึ่งต่างต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป ชีวิตทั้งหมดคงวิ่งถึงจุดจบเป็นแน่แท้ หากไม่มีใครทำอะไร เพราะแม่เปรียบเสมือนเสาเอกของบ้าน เป็นที่ค้ำจุนหล่อเลี้ยงคนทั้งหมด
ฝ่ายลูกชายคนโตดูจะฟื้นจากความเศร้าได้เร็วที่สุด เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เป็นอันทำงาน ดีแต่ผลาญสมบัติไปวันๆ ยังโชคดีที่บ้านมีทรัพย์สินเงินทองอยู่มาก และที่สำคัญต่อจากนี้จะไม่มีคนห้ามปรามอีกต่อไป
ฝ่ายลูกชายคนเล็กเป็นผู้ฟื้นจากความเศร้าลำดับต่อมา ตั้งใจว่าจะดูแลพ่อให้ดี ตามที่ได้รับปากกับแม่ในช่วงสุดท้าย
ฝ่ายพ่อนั้นได้แต่เฝ้าจมอยู่กับความเศร้าเสียใจยาวนานที่สุด จากภาระทางจิตใจ และจากการที่ร้องไห้ติดต่อกันเวลานาน เริ่มทำให้ฝ่ายพ่อเริ่มแสดงอาการว่ามองอะไรไม่ค่อยเห็น
ฝ่ายลูกคนโต เห็นดังนั้นก็เข้าทาง เริ่มทำการสับเปลี่ยนของมีค่าในบ้าน เป็นของปลอมราคาถูกๆ เพื่อให้พ่อที่ใช้สัมผัสได้แต่มือแทนตานั้นดูไม่ออก
ฝ่ายลูกชายคนเล็กเห็นพฤติกรรมเช่นนี้ก็พยายามห้ามปรามหลายครั้ง แต่ทุกครั้งต้องมีจังหวะที่พ่อต้องเป็นโน่นเป็นนี่ ทำให้จังหวะที่จะไปขัดขวางต้องล้มเหลวทุกครั้ง
วันเวลาผ่านไป
ฝ่ายลูกชายคนโตยังผลาญสมบัติไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้ง ทั้งดื่ม กิน เที่ยว อย่างสำราญ
ฝ่ายลูกชายคนเล็กล้มเลิกความคิดที่จะขัดขวางไปแล้ว เพราะดูเหมือนจะเป็นประสงค์ของพ่อที่จะปล่อยไปเช่นนั้น และตอนนี้ตนก็กำลังมุ่งกับการทำการค้า ตามวิชาที่ได้สนทนากับพ่อยามดูแล
ในสภาพหนึ่งลดหนึ่งเพิ่มเช่นนี้ปลายทางย่อมมีผลลัพธ์เดียว
ฝ่ายลูกชายคนโต สุดท้ายหมดตัวและต้องกลายเป็นขอทานอยู่ข้างถนน บ้านช่องไม่มีให้กลับหลังจากเอาบ้านที่เคยอยู่อาศัยและขับไล่น้องชายกับพ่อไปจำนอง เพื่อหาเงินต่ออายุไปวันๆ
ฝ่ายลูกชายคนเล็กไม่ได้ยึดติดกับทรัพย์สินเงินทองมากนัก ข้างตนเองแค่เพียงต้องการดูแลพ่อ และอยากลองนำวิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนจากพ่อไปใช้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้นมากมายมหาศาล
วันเวลาผันเปลี่ยนอีกครั้ง
ฝ่ายลูกชายคนเล็กได้ให้ลูกน้องช่วยตามหาพี่ชายจนพบก่อนที่จะนอนหนาวเหน็บเสียชีวิตข้างถนน
คนทั้งสามกลับมาพร้อมหน้าอีกครั้ง ลูกชายคนโตใช้ชีวิตไปกับการสำนึกบาปที่ทำมา ร้องห่มร้องไห้พร้อมกับขอโทษพ่อและน้องชายกับความผิดที่ได้ก่อ
ระหว่างที่ลูกชายทั้งสองกำลังอยู่ในภาวะปลื้มปิติที่ครอบครัวกลับมาพร้อมหน้า พลันสังเกตว่าการหยิบจับของบนโต๊ะของพ่อช่างคล่องแคล่วไม่เหมือนกับคนตาบอด ลูกชายคนเล็กจึงทำใจกล้าๆถามถึงสายตาของพ่อว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ฝ่ายพ่อก็ตอบว่าสายตาข้าก็ปกติดีนี่ ไม่เห็นเป็นอย่างไร พวกเจ้าคิดเองเออเองทั้งนั้น ที่ข้าเป็นอยู่นี้ก็ดี เป็นการพิสูจน์ว่าคนตาดีมิอาจเห็นบางอย่างเช่นคนตาบอด ซึ่งข้าก็ได้เห็นถึงนิสัยใจคอของพวกเจ้าแต่ละคนยามที่ข้ามีสภาพที่เปลี่ยนไป
เจ้าลูกคนโต ที่ข้าปล่อยให้เจ้าผลาญสมบัติ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าไม่เคยเชื่อฟังใคร ยกเว้นแม่ที่เสียไปคนเดียว ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะมีชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวัน ทรัพย์สมบัติที่ข้าหามาได้ในชีวิตนี้ ยามตายมิได้ใช้ สุดท้ายข้าก็ต้องยกให้เจ้าอยู่ดี สู้ยกให้แต่เนิ่นๆและหวังว่าเจ้าจะกลับตัวได้ซักวัน อย่างน้อยที่สุดถึงเจ้าจะล้มเหลว แต่ด้วยวัยของเจ้าตอนนี้ก็ยังมีเวลาพอกลับตัวอยู่บ้าง
เจ้าลูกคนเล็ก ตลอดหลายปี เจ้าลำบากมามาก ตั้งแต่แม่เสียไป เจ้าต้องเป็นคนวิ่งเต้นไปเสียทุกเรื่อง และที่ครอบครัวเรามาเจอกันวันนี้สุดท้ายก็เป็นเพราะเจ้า สิ่งที่ข้าเห็นในตัวเจ้าแต่เล็กซึ่งไม่เคยดูผิดไป คือสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรม อันประกอบไปด้วยเมตตาต่อผู้ด้อยโอกาสกว่า กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ข้าจึงมอบสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ข้ามีให้เจ้า นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าปัญญา ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธพี่ของเจ้าและให้โอกาสเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง
หลังจากนั้น ลูกชายคนโตซึ่งได้รับมรดกปัญญาจากพ่อมาอีกคน ก็เริ่มกลับตัวเปลี่ยนนิสัย และช่วยน้องชายขยายกิจการออกไปอย่างกว้างไกล โดยทุกวันที่หนึ่งของเดือน ตนจะไม่ลืมไปตั้งโรงทานช่วยคนยากไร้ เพื่อเป็นการทำคุณความดี และเป็นการย้ำเตือนถึงความหนาวเหน็บช่วงหนึ่งของชีวิต
Original Story by review.everything.jinglebell

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา