30 ม.ค. 2019 เวลา 14:08 • ไลฟ์สไตล์
หลวงพ่อจรัญเล่าเรื่อง
การพบกันของ
หลวงปู่โลกอุดรกับพระเจ้าตากสินไว้ว่า.......
เมื่อครั้งที่พระเจ้าตากสินตั้งค่ายอยู่ในป่า ครั้นได้เวลาดึกสงัด มีพระภิกษุลึกลับรูปหนึ่งเดินเข้ามาหาถึงที่ประทับ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะเดินฝ่าทหารคุ้มกันมาได้เช่นนี้
สมเด็จพระเจ้าตากสินตรัสถามพระภิกษุรูปนั้นว่า
“ท่านเข้ามาได้อย่างไร ?”
พระลึกลับตอบว่า “เดินเข้ามา”
พระเจ้าตากถามว่า “แล้วทหารไม่เห็นท่านดอกหรือ ?”
พระลึกลับรูปนั้นตอบว่า “ไม่ทราบ”
พระเจ้าตากคิดในพระทัยว่าจะสั่งลงโทษทหารยาม
“อย่ามองความผิดผู้อื่น ให้มองความผิดตัวเองดีกว่า”
คำพูดของพระลึกลับนั้น ทำให้พระเจ้าตากแปลกพระทัยยิ่งนัก พระรูปนี้สามารถล่วงรู้ความคิดในพระทัยของพระองค์ได้อย่างไร ?
จากนั้นพระลึกลับรูปดังกล่าวก็แสดง “อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์” คือ เทศนาโปรดใจความว่า
“มหาบพิตรทำลายชีวิตคนมานักต่อนัก ฆ่าคนมามากต่อมาก มือทั้งสองเปื้อนเลือด การกระทำเหล่านี้เป็นบาปหนัก แม้ว่าจะลาจากโลกนี้ไปแล้วย่อมมีนรกที่ไปเป็นแน่แท้”
พระเจ้าตากจึงตอบว่า “ที่กระผมทำไปเพราะเป็นหน้าที่ในการปกป้องแผ่นดิน”
แล้วพระลึกลับรูปนั้นท่านก็ตอบกลับมาว่า “มาบัดนี้มหาบพิตร ก็ได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว มหาบพิตรเกิดมาเพื่อกู้ชาติ หน้าที่นี้ก็ลุล่วงอย่างสมบูรณ์ ส่วนการปกป้องชาตินั้นเป็นหน้าที่ของผู้อื่น สมควรให้เขามาทำแทน ขอมหาบพิตรอย่าจับดาบอีกเลย อาตมาขอบิณฑบาตดาบจากมหาบพิตร”
“แล้วเหตุใดกระผมจึงต้องทำเช่นนั้น ?”
“ทำไปเพื่อเป็นการตัดความหลงในวัฏสงสาร เพราะหากพระองค์ต้องรับภาระในการปกครองบ้านเมือง ก็รังแต่จะสร้างกรรมน้อยใหญ่ผูกมัดให้เกิดชาติภพ หลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่รู้จักจบสิ้น จะบังเกิดแต่ความทุกข์มีชาติ ชรา มรณะเป็นต้น อาตมาทราบดีว่ามหาบพิตรได้ทำบุญมานับชาติไม่ถ้วน มีวาสนาจะบรรลุธรรมชั้นสูงในบวรพระพุทธศาสนา อาตมาจึงได้มาโปรดพระองค์เป็นการปิดทางไปสู่อบายภูมิ ให้พระองค์รับรู้แนวทางแห่งมรรคผลเพื่อตัดสังสารวัฏอันทรมานยืดยาวนี้ไปเสีย”
หลวงพ่อจรัญท่านว่า ด้วยการสนทนาเพียงเท่านี้ สมเด็จพระเจ้าตากสินก็เกิดสติปัญญาขึ้นมา ล่วงรู้ว่าพระภิกษุลึกลับที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหาใช่พระภิกษุธรรมสามัญไม่ แต่ต้องเป็นพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวิเศษจึงสามารถล่วงรู้วาระจิตทายทักดักใจได้ เพียงการเทศนาแต่เพียงน้อยนิด ก็ทำให้เกิดศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาได้อย่างลึกซึ้ง
พระภิกษุลึกลับรูปนั้นได้เมตตาสอนหลักมหาสติปัฏฐาน 4 แก่สมเด็จพระเจ้าตากสิน หลังจากที่พระองค์ทรงปฏิบัติด้วยหลักพุทธานุสติ และอานาปานสติประกอบด้วยสติปัฏฐาน 4 นั้น จิตของพระองค์ลุล่วงเข้าสู่สมาธิชั้นต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นผู้มีบุญวาสนามาแต่ปางก่อน ซึ่งพระลึกลับรูปนั้นล่วงรู้เรื่องนี้ดี
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินปฏิบัติทางมรรคผลนี้แล้ว ภูมิจิตภูมิธรรมเดิมก็บังเกิด เลิกการจับดาบถือปืน เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน ไม่นิยมสุงสิงกับใคร วันๆ ตั้งหน้าปฏิบัติดูจิตดูกายเท่านั้น คนทั่วไปทางโลกวิสัยก็เข้าใจว่าพระองค์บ้า !
หลวงพ่อจรัญกล่าวสรุปตอนท้ายว่า พระเจ้าตากบรรลุมรรคผลเบื้องต้นคือได้ “พระโสดาบัน” ตั้งแต่ครั้งเป็นฆราวาส นับเป็นบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์อย่างแท้จริง
4
ทางเพจขอขอบคุณเรื่องเล่าจากศิษย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เป็นอย่างสูง
อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่ศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม
 
ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้พอสม
เจริญสมถะ วิปัสสนา พ่อชื่นชม
ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พระพุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน
อันตัวพ่อชื่อว่าพระยาตาก ขอแต่เพียงกู้ชาติ ไม่สืบทอดอำนาจ! มุ่งแต่พระสัมโพธิญาณ!!
โดย: โรม บุนนาค
พระบรมรูปวิปัสสนากรรมฐาน ในศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินที่วัดอินทาราม ธนบุรี
ในภารกิจกู้ชาติและสร้างความเป็นปึกแผ่นให้ชาตินั้น จะเห็นได้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะอย่างแรงกล้า พระองค์ไม่ทรงเหน็ดเหนื่อยที่จะนำหน้าทหารออกศึกสงครามเกือบตลอดราชการ แต่หลายครั้งพระองค์ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ทรงมุ่งในราชบัลลังก์ แต่ทรงมุ่งแสวงความสงบสุขในพระสัมโพธิญาณมากกว่า
พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงตอนที่ขับไล่อิทธิพลพม่าพ้นไปจากแผ่นดินไทย ทรงช้างออกตรวจสภาพกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า
“...ทอดพระเนตรเห็นอัฏฐิกเรวฬะคนทั้งปวงอันถึงพิบัติชีพตายด้วยทุพภิกขะ โจระ โรคะ สุมกองอยู่ดุจหนึ่งภูเขา และเห็นประชาชนซึ่งลำบากอดอยากอาหาร มีรูปร่างดุจหนึ่งเปรตปีศาจพึงเกลียด ทรงพระสังเวชประดุจมีพระทัยเหนื่อยหน่ายในราชสมบัติ จะเสด็จไปเมืองจันทบุรี จึงสมณพราหมณาจารย์เสนาบดี ประชาราษฎรชวนกันกราบทูลอาราธนาวิงวอน สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระบรมหน่อพุทธางกูรตรัสเห็นประโยชน์เป็นปัจจัยแก่พระปรมาภิเษกสมโพธิญาณนั้นก็รับอาราธนา จึงเสด็จยับยั้งอยู่ ณ พระตำหนักเมืองธนบุรี”
ที่ทรงรับคำวิงวอนให้อยู่ช่วยเหลืออาณาประชาราษฎร์นั้น ก็ทรงมุ่งหวังในผลบุญที่จะเป็นปัจจัยไปสู่พระสัมโพธิญาณ
ในจดหมายเหตุรายวันทัพเมื่อครั้งไปตีเมืองพุทไธมาศ กรุงกัมพูชา ใน พ.ศ.๒๓๑๔ อาลักษณ์ได้จดในสมุดข่อย ซึ่งเก็บอยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“จึงทรงพระสัตยาธิษฐาน สาบานต่อหน้าพระอาจารย์วัดเทริงหวาย พระสงฆ์หลายรูปว่า เป็นสัจแห่งข้าฯ ข้าฯทำความเพียร มิได้คิดแก่กายและชีวิต ทั้งนี้จะปรารถนาสมบัติพัสถานอันใดหามิได้ ปรารถนาแต่จะให้สมณชีพราหมณ์สัตว์โลกเป็นสุข อย่าให้เบียดเบียนกัน ให้ตั้งอยู่ในธรรมปฏิบัติ เพื่อจะเป็นปัจจัยแก่โพธิญาณสิ่งเดียว ถ้าแลผู้ใดสามารถจะอยู่ในราชสมบัติให้สมณพราหมณ์ประชาราษฎรเป็นสุขได้ จะยกสมบัติทั้งนี้ให้แก่บุคคลนั้นแล้ว ข้าฯจะไปสร้างสมณธรรมแต่ผู้เดียว ถ้ามิฉะนั้น จะปรารถนาศีรษะแลหทัยวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็จะให้แก่ผู้นั้น ถ้าแลมีสัจจะนี้ข้าฯมุสาวาท ขอให้ตกไปยังอบายภูมิเถิด”
พระเจ้าตากสินนั้นทรงใฝ่ในพระศาสนาอย่างมาก และไม่ทรงรังเกียจศาสนาอื่น ทรงพิจารณาแต่ความถูกต้องที่ควรปฏิบัติเท่านั้น
สังฆราชเลอบองได้รายงานไปกรุงปารีสตอนหนึ่งว่า
“เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ได้มีพระราชโองการให้เราไปเฝ้าอีก และในครั้งนี้ได้มีรับสั่งให้พระสงฆ์สำคัญๆกับพระจีนไปเฝ้าด้วย วันนั้นเป็นวันรื่นเริงทั่วพระราชอาณาจักร เพราะเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย พระเจ้าแผ่นดินกำลังสำราญพระทัย จึงได้ลงประทับเสื่อธรรมดาอย่างพวกเราเหมือนกัน ในชั้นแรกได้รับสั่งถามถึงการต่างๆหลายอย่าง แล้วจึงรับสั่งถามว่า การที่เราเป็นบาทหลวงและมีเมียไม่ได้ จะต้องเป็นอยู่อย่างนี้ชั่วชีวิตหรืออย่างไร เราจึงได้ทูลตอบว่า เมื่อเราอุทิศตัวให้แก่พระเป็นเจ้าแล้ว ก็ต้องเป็นอยู่เช่นนี้ชั่วชีวิต จะกลับกลายเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงรับสั่งว่า
“เราตั้งใจว่าจะให้พระสงฆ์ของเราเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต่อไปเมื่อพระสงฆ์ได้บวชแล้ว ห้ามมิให้สึกและห้ามมีเมีย”
ต่อมามีรับสั่งให้พระสงฆ์ บาทหลวงมิชชันนารี และนักบวชในศาสนาอิสลามมาโต้เถียงกันในเรื่องศาสนา พระสงฆ์ว่าการฆ่าสัตว์นั้นเป็นบาป แต่พวกเข้ารีตและศาสนาอิสลามเถียงว่าการฆ่าสัตว์ไม่เป็นบาป ขณะโต้เถียงนั้นพระเจ้าตากสินก็ประทับเป็นประธานและร่วมการโต้เถียงด้วย ครั้นทรงฟังความเห็นของพวกเข้ารีตและอิสลามว่าการฆ่าสัตว์ไม่บาป ก็ไม่พอพระทัย พอรุ่งขึ้นก็ออกประกาศพระราชโองการลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๓๑๗ ห้ามคนไทยและมอญไปเข้าพิธีของพวกมะหะมัดและพวกเข้ารีต ใครฝ่าฝืนมีโทษถึงประหารชีวิต ส่วนคนที่ชักชวนหรือไม่ห้ามปราม ก็มีโทษถึงประหารชีวิตด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านั้นพระเจ้าตากก็เคยถกปัญหานี้กับบาทหลวงคอร์มาแล้ว โดยรับสั่งถามว่าทำไมศาสนาคริสเตียนจึงยอมให้ฆ่าสัตว์
บาทหลวงคอร์ได้ทูลตอบว่า พระเยซูผู้เป็นนายของสิ่งทั้งปวง ได้สร้างสัตว์ไว้สำหรับเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ข้อนี้เป็นสิ่งที่เชื่อกันทุกประเทศ เพราะฉะนั้นจะผิดไม่ได้
เมื่อบาทหลวงคอร์สังเกตเห็นว่ามีความสนพระทัยที่จะฟัง จึงกราบทูลต่อไปอีกว่า ถ้าไม่ยอมให้ฆ่าสัตว์แล้วไม่ช้าโลกนี้ก็จะไม่มีมนุษย์อยู่ เพราะเหตุว่าสัตว์ กวาง จะมารับประทานหญ้าและพันธุ์ข้าวเสียหมด ทำให้มนุษย์อดอาหารตาย ปลาก็จะตายตามลำน้ำลำคลอง ทำให้น้ำและอากาศเหม็นโสโครก เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น
ในระหว่างที่บาทหลวงคอร์กราบทูลอยู่นั้น พระเจ้าตากสินทรงพลิกหนังสือทอดพระเนตรอยู่ แล้วรับสั่งว่า
“ศาสนาคริสเตียนจะไม่ดีอย่างไรได้ อะไรของเขาดีไปหมด จนกระทั่งกระดาษที่เขาใช้ก็ดี”
ในจดหมายของมองซิเออร์คอร์ที่รายงานไปยังฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๓๑๓ กล่าวไว้ว่า
โฆษณา