31 ม.ค. 2019 เวลา 13:06 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
อัมพาทครึ่งซีก : การรักษา
ใช้อะไรรักษาอัมพาต
มาช้าไปทำไมรักษาไม่ได้
มีโอกาสหายมั้ย ต้องเป็นตลอดชีวิตรึปล่าว
เมื่อวันก่อนเรารู้แล้วว่า Stroke หรือ อัมพาต อาการเป็นยังไง คนไหนเสี่ยงมาก คนไหนเสี่ยงน้อย
มาเล่าพื้นฐาน ย้อนความกันซักนิด เริ่มกันตั้งแต่เมื่อเส้นเลือดสมองตีบ สมองน้อยๆของเราก็ถูกอดข้าวอดน้ำ ขาด Oxygen มาเลี้ยง เวลาเริ่มเดินนับถอยหลัง เซลล์ประสาทจะขาด Oxygen ได้ไม่นานนัก แม้เส้นเลือดจะตันไปแต่ความจริงแล้วก็ไม่ได้ถึงกับขาดจนไม่มีให้ใช้เลย เพราะส่วนมากเส้นเลือดเส้นอื่นๆที่ยังใช้งานได้ดีอยู่ก็สามารถทำหน้าที่แทนได้บางส่วน เลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมองแต่ละเส้น แบ่งพื้นที่กันแต่ก็แบ่งไม่ได้ชัดเจน มีส่วนที่ overlap กันอยู่บ้าง ส่วนที่ overlap จะมีเส้นอื่นมาช่วยแบ่งเบาภาระ แต่ส่วนตรงกลางที่เส้นเลือดอื่นมาเลี้ยงไม่ถึงตรงนี้อันตรายที่จะตาย
สมองที่ขาดเลือด สีดำๆ ด้านขวาล่าง
เพราะงั้นเวลายิ่งผ่านไป ส่วนที่ขาดเลือดก็จะค่อยๆแห้งลงอย่างช้าๆ ถ้าทิ้งไว้นานเกินก็ตายสนิทไปเลย ในจุดนี้แล้วแม้ว่าจะแก้เส้นเลือดให้กลับมาเหมือนเดิมก็ไม่ทันแล้ว คนที่มาถึงโรงพยาบาลได้เร็ว โอกาสที่จะฟื้นกลับมาย่อมมีมากกว่า โอกาสที่เซลล์ประสาทจะตายน้อยกว่า ก็ฟื้นตัวได้มากกว่า ฟังก์ชั่นที่เหลือมีมากกว่า เพราะงั้น Time is Golden นะครับช่วงนี้
แต่การไปทำอะไรกับสมองก็ไม่ได้มีแค่ประโยชน์อย่างเดียว มันยังมีโทษของมันด้วย เหรียญมี 2 ด้านเสมอครับ จะทำอะไรต้องคิดเผื่อถ้ามันจะไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังด้วย
เกริ่นมานาน เข้าเรื่องการรักษาซะที
ถ้าคนไข้มาถึงโรงพยาบาลได้เร็ว ที่ว่าเร็วนี่เร็วขนาดไหน สมมุติเหตุการณ์ ตอน 10 โมงเช้าเห็นนาย A เดินไปเดินมาปกติดี กินข้าวเสร็จจะไปเรียกนาย A เจอนอนแอ้งแม้งหมดสติอยู่ในห้อง ไปเรียกแล้วตื่นขึ้นมามีอาการหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว แขนขาด้านขวาขยับไม่ได้ รีบอุ้มขึ้นรถ บึ่งมาอย่างไว 15 นาทีถึงโรงพยาบาล ก็ไม่ใช่ว่าจะรักษาได้ทุกคนนะครับ ทำไมล่ะ
สลบไปเป็นได้หลายอย่าง stroke ควรปลุกแล้วตื่น
ในทางการแพทย์เรานับว่าเร็วคือ ในช่วงเวลาก่อน 4 ชั่วโมงครึ่ง ตั้งแต่เริ่มมีอาการ หรือบางที่อาจจะใช้ 3 ชั่วโมงแล้วแต่โรงพยาบาล แต่อย่าลืมว่าตั้งแต่เริ่มมีอาการนะครับ ไม่ใช่ไปนับตอนไปเจอ นาย A ที่นอนหมดสติอยู่ ตื่นมามองหน้าเรา ก็เห็นว่ามีอาการอ่อนแรงไปแล้ว
ในจุดนี้เราบอกไม่ได้เลยว่าคนไข้เริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนจะหมดสติไป ระหว่างหมดสติ หรือว่าตื่นมาแล้วเพิ่งเป็น แบบนี้เราจะเลือกที่จุดไหนดีล่ะ แบบนี้ทางการแพทย์จะเลือกที่ safety ที่สุดครับ คือจะ assume ไปก่อนว่านาย A มีอาการตั้งแต่ 10 เช้าที่เราเห็นเลย เพราะบอกจริงๆว่าไม่รู้ว่าอาการมันเป็นมาเมื่อไหร่ จริงๆแล้วอาการอาจจะเพิ่งมีตอน 12:00 ก็ได้ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ รู้แค่ว่าตอน 10 โมงน่ะยังดีอยู่ ทำไมต้องไป assume อย่างงั้น เพราะมันมีข้อเสียด้วยไงครับ
สิ่งที่เราจะฉีดเข้าไปแก้ไขคือ ยาละลายลิ่มเลือด (Fibrinolytics) โดยที่หวังว่ายาที่ให้จะเข้าไปในหัวแล้วละลายลิ่มเลือดที่อุดเส้นเลือดอยู่ให้มันเปิดกลับมาเหมือนเดิม แต่อย่าลืมว่ายาที่ให้ไปมันไม่ได้หยุดอยู่แค่สมอง มันไปได้ทั้งตัวนะครับ เพราะงั้นส่วนไหนที่เราไม่ได้อยากให้มันเลือดออก มันก็ไปทำให้เลือดออกได้เหมือนกัน แล้วเลือดออกเนี่ยไม่ใช่ซึมๆ หยดๆแบบมีดบาดนะครับ บางคนมันเอาถึงตายเลย พวกเลือดออกในช่องท้อง เสียเลือดจนช็อกตายสบายๆ เลือดออกในสมองอาการก็แย่ลงไปอีก หรืออาจจะสมองตายเลยก็ได้ อย่าลืมว่า Stroke มันไม่ถึงตายนะครับ
จากสมองขาดเลือด ถ้ากลายเป็นเส้นเลือดในสมองแตกนี่ซวย 2 เด้งเลย
เงื่อนไขที่บอกว่าต้องมาเร็วกว่า 4.5 ชั่วโมงนี่มีไว้ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนั้น เมื่อก่อนก็ไม่มีหรอกครับ เงื่อนไขนี้ แรกๆก็ลองให้หมดแหละ ปรากฎว่าคนที่อาการเป็นมานานเนี่ย แทนที่มันจะแค่เปิดเส้นเลือด มันกลับไปทำให้เลือดออกง่ายขึ้นในสมอง จนเส้นเลือดสมองแตกไปด้วย ทีนี้ล่ะงานยุ่งเลย เลือดไหลออกมาจะจะไปไหนได้ ก็โดนขังอยู่ในกระโหลกนั่นหละครับ เลือดจะไปกดสมองที่นิ่มๆ ทำให้อาการมันแย่ลงไปกว่าเดิมอีก จากอาการอาจจะแค่อ่อนแรงนิดๆหน่อยๆ ก็กลายเป็นไม่มีแรงเลยก็เป็นได้
ฟังดูแล้วก็น่ากลัว จริงๆแล้วมันเกิดบ่อยมั้ย มันก็ไม่ได้บ่อย แต่มันก็ไม่น้อยนะครับ ความเสี่ยงที่จะเกิดมันก็ยิ่งเพิ่มตามเวลาที่ล่าช้าออกไป แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้ามาทันใน 4.5 ชั่วโมง จะไม่มีทางเกิดเลือดออกในสมองได้นะครับ เวลาให้ยาอะไรไป จะไปคิดว่าผลต้องออกมาแบบนี้เป๊ะๆ 100% ไม่มีทางหรอกครับ ถ้าคิดว่าคุ้มที่จะเสี่ยงก็ต้องลอง คนที่ดูคุ้มเสี่ยงก็เช่น อาการเป็นเยอะจนน่าเสี่ยง เวลามาเร็วโอกาสเกิดน้อย แบบนี้ก็น่าลอง ถ้าจะให้ยาต้องทำใจไว้เลยว่ามันเหมือนการเสี่ยงดวงระดับนึง แต่เสี่ยงมากเสี่ยงน้อย แล้วแต่ระยะเวลาที่มา กับ บุญเก่าที่สั่งสมไว้
ภาพฉีดสีเส้นเลือดสมองก่อนจะไปรักษา จำรูปนี้ไว้ก่อนนะครับ
ถ้าเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ๆหน่อย แม้มาช้ากว่า 4.5 ชั่วโมง ก็ยังพอแก้ไขได้ ในเมื่อเรารู้แล้วว่าถ้าเกิน 4.5 ชั่วโมงไป ให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้วจะทำให้เลือดออกในสมองได้ง่าย เราก็มีวิธีอื่นอีกครับ ที่ไม่ต้องไปยุ่งกับยานั่น คิดภาพง่ายๆก็คือเราก็จะไปดึงเอา Clotted blood ออกมาตรงๆเลย (Thrombectomy) แต่มันอยู่ในหัว เราจะทำยังไง เราก็จะเอาสายใส่ไปในหลอดเลือด ไล่ตามหลอดเลือดไปเรื่อยๆจนเข้าสมอง แล้วก็ฉีดสีดู ว่ามันตีบที่เส้นไหน ละเอาอุปกรณ์ไปดึงก้อนเลือดที่อุดอยู่ออกมา ให้เส้นเลือดมันเปิดเหมือนเดิม แต่วิธีนี้ก็ไม่ได้ใช้ได้กับทุกคน แม้จะใช้ได้ในคนที่เกิน 4.5 ชม แต่ก็ไม่เกิน 8 ชั่วโมง ถือว่ายืดระยะออกมาอีกหน่อย สำหรับโรงพยาบาลที่พร้อมจะทำได้ แต่ไม่ได้สามารถทำได้ทุกคนนะครับ แล้วแต่ว่าก้อนเลือดมันไปอุดตรงไหนด้วย
ลองดูเทียบกับรูปข้างบน มีเส้นเลือดเพิ่มมาอีกเยอะ
แต่ยังไงที่เล่ามาทั้งหมดมันแก้ปัญหากันที่ปลายเหตุนะครับ คือเป็นแล้วค่อยมาหาทางรักษา ป้องกันจะดีกว่ารักษา ด้วยการลดความเสี่ยงทั้งหลายอย่างที่เล่าไปในตอนแรก ของแบบนี้เงินซื้อไม่ได้ ใครทำใครได้นะครับ
รักษาแล้วคนไข้จะกลับมาดีเหมือนเดิมมั้ย อันนี้ก็เป็นความคาดหวังอีกข้อที่ตอบยากครับ แต่ละคนก็ตอบสนองกันไปคนละแบบ เรียกว่าคนละ setting กัน จะให้ผลลัพท์มันออกมาตามตำราคงไม่ได้ หมอก็บอกตรงๆว่าคาดเดาไม่ได้เหมือนกันครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าตอบสนองดี ก็อาจจะทำกายภาพไม่กี่เดือน แล้วก็กลับมาใช้งานได้ปกติ ถ้าเป็นเยอะ บางคนทำเป็นปี กลับมาได้แค่พอช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ลำบากคนรอบข้างเท่านี้ก็นับว่าสำเร็จแล้ว บางคนมันไม่ไ่ด้จริงๆ จะกายภาพ กระตุ้นไฟฟ้ายังไงก็ไม่ขึ้น ขยับไม่ได้เลยก็มีครับ
ไม่มียาวิเศษอะไรจะมารักษาโรคอัมพาทได้นะครับ ถ้ามีจริงๆเอามาเลยครับ คนไข้ทำกายภาพแทบจะล้นโรงพยาบาล ไม่ต้องยาวิเศษกินให้เปลืองตังแถมจะได้ไตวาย ตับพังมาอีกเรื่องด้วย ป้องกันไว้ดีกว่ารักษาเสมอครับ แต่ถ้าเป็นแล้วทำกายภาพก็ช่วยได้ในคนส่วนใหญ่ แต่ต้องใช้กำลังใจมากพอดูเลย
ช่วงนี้สาระเยอะ งานก็เยอะ อัพช้าหน่อยนะครับ แต่จะพยายามหาเรื่องมาเล่าให้ฟังอีก :D
โฆษณา