Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คมคิด
•
ติดตาม
1 ก.พ. 2019 เวลา 10:06 • ปรัชญา
สัจธรรมชีวิตกับหม้อชาบู
คุณผู้อ่านน่าจะเคยกินชาบูบุฟเฟ่ต์กันมาแล้ว
บางคนชอบกินมากถึงขนาดว่าต้องไปทุกสัปดาห์
จะด้วยเพราะเหตุผลมันคุ้มค่าที่ได้เลือกกินอะไรได้หลายอย่าง
สันคอและสันนอกถาดใหญ่ ๆ
กุ้งตัวโต ๆ ที่เหมือนยกทั้ง 7 คาบสมุทรมาให้สั่งแบบไม่มีวันหมด
ซูชิบาร์ที่พนักงานต้องวิ่งมาเติมทุก ๆ 20 นาทีหรือครี่งชั่วโมง
หรือจะเพราะความอร่อยที่น้ำซุปน้ำจิ้มก็ตาม
บางร้านเสนอโปรโมชั่น “มาเท่านี้คนแต่จ่ายเพียงจำนวนเท่านี้คน” ก็มี ลดแลกแจกแถมกันจนต้องคิดคำนวณกันหน้าร้านเหมือนต่อรองอะไรกันสักอย่างก่อนจะพอใจแล้วพากันเข้าไป
ในขณะที่บางคนก็เล็งแค่ของหวานประจำร้านไว้รอตบท้ายก่อนจะเช็คบิล แค่นั้น
แต่หลายคนขอแค่เข้าร้านประเภทนี้เดือนนึงครั้งนึงก็น่าจะพอแล้ว เพราะสมัยนี้มันแพงเหลือเกิน คุณภาพสวนทางกับราคาที่ขึ้นเอา ๆ
และการกินชาบู ที่เหมือนจะอร่อย สมกับการรอคอยเวลาเรียกคิวหรือสตางค์ที่เสียไป มันก็อาจทำให้เราเห็นอะไรบางอย่างจากหม้อร้อน ๆ ที่มีควันลอยขึ้นมาได้เช่นกัน ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของเรา
หม้อชาบู สรรพงาน สรรพชีวิต
เมื่อเริ่มต้นนั่งโต๊ะ เราก็ยังหิวแบบพร้อมขย้ำทุกอย่างที่ขวางหน้า ใช่ไหมล่ะ ก็เอาเลย หมูสไลด์เอย ผักเอย กุ้งตัวใหญ่ ๆ เอย ยังไม่พอเหรอ อ่ะ เนื้อวัว วากิว อะไรน่ะ? มีเมนูพิเศษอีกเหรอ ? เหอ ได้เวลากิน 2 ชั่วโมง ไม่เป็นไร จัดไป วันนี้เรายกทัพใหญ่มา
ไฟหม้อยังแรง ซุปยังเหลือ น้ำย่อยยังทำงาน แหม่ 1 ชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมงนี่ น้อยไปด้วยซ้ำ บางคนอาจคิดแบบนั้น
เวลาผ่านไป...จะ 2 ชั่วโมงแล้ว ไฟหม้อยังแรง ซุปยังเหลือ แต่…น้ำย่อยเริ่มหมด
เราก็คงจะอิ่ม อืด ตอนนี้แหละ เราจะเห็นสัจธรรมหลายอย่าง จากเดิมที่คีบจนตะเกียบชนกัน กลายเป็นว่ามาเกี่ยง โยนและผลักให้อีกฝ่ายกิน ไม่งั้นไม่หมด โดนปรับแน่ แหม่ ดันมารักกันอะไรตอนอิ่ม
บางคนอาจท้องแน่นแล้วจริง แต่ถ้าพูดถึงขนมหวานก็อาจมีแรงฮึดต่ออีกเฮือก
แต่สำหรับคนที่มัน ไม่ไหวแล้ว ทำยังไงก็ยัดไม่ลง เนื้อเหลืออีกเป็นถาดทั้ง ๆ ที่กินไปได้ไม่เท่าไรเอง ขนมวงขนมหวานอะไรก็ไม่เอาแล้ว ปวดท้องตั้งแต่เนื้อถาดที่ 2 ขอจ่ายตังค์แล้วไปห้องน้ำสถานเดียว บางรายอาจหนักถึงขั้นอ้วก
1
มันก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของเรา ซึ่งเวลาส่วนใหญ่โดยประมาณ 50-70 เปอร์เซ็นต์ ต้องเหนื่อยหน่ายกับการเรียนในห้องเรียน ทุ่มเทจนอ่อนล้าให้กับการทำงานซึ่งเป็นเมนูหลักของชีวิตเราที่ต้องจัดการมันไปให้ได้ จนเราลืมอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตหรืออย่างน้อย ๆ 30 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ
เช่นกัน เวลาในช่วง 1 ชั่วโมงแรกของการกินหรือครึ่งหนึ่งของเวลาที่ได้ ต้องหมดไปกับพวกเนื้อ
บางงานอาจดูยาก แต่จริง ๆ ใช้เวลาจัดการไม่นาน ไม่ต่างจากเนื้อหมู
บางงานอาจดูง่ายแต่จริง ๆ ต้องใช้เวลาจัดการเหมือนเนื้อวัว เสียแรง (น้ำย่อย) ไปไม่ใช่น้อย
บางชิ้นอาจน่าอภิรมย์เพราะทำวันศุกร์บ่ายเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จ ไม่ต่างจากการแกะกุ้งจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดจนเพลิน
ต่งานบางอย่างเราก็ไม่อยากทำ แม้เรารู้ดีว่ามันก็มีประโยชน์ ไม่ต่างจากพวกผัก
ครั้งแรกที่เราอยากมากิน เราก็หวังว่าทางร้านจะผ่านคิวคนก่อนหน้าไปเร็ว ๆ เพื่อให้ถึงคิวของเรา
ไม่ต่างจากการยื่นสมัครงานที่เราก็คาดหวังว่าคนก่อนหน้าจะสละสิทธิ์หรือบริษัทอยากได้เรามากกว่า แต่พอเวลาผ่านไป เจอสถานการณ์น่าอึดอัด (พุง) ไม่น่าประทับใจ เราก็อยากรีบออก รีบตัดสินมันเสียแล้วว่า เราไม่ไหว ไม่อยากจะเคลียร์ มันจบแค่นี้แล้ว ออก (จากร้าน) เถอะ
แต่บางคนอาจก้มหน้าก้มตาจนลืมเวลาและลืมไปว่า บรรดางานหนัก ๆ หรือเนื้อเหนียว ๆ ทั้งหลาย มันก็เป็นเพียงแค่เมนูที่ทางร้านเสนอให้กินแบบหลักๆ เท่านั้น แต่ในร้านก็ยังมีขนมหวาน ไอศกรีม ผลไม้ และน้ำหวาน ๆ เย็น ๆ รอเราอยู่เหมือนกัน
ถ้าเราลองกินช้า ๆ มีสติสักนิด เราอาจค้นพบวิธีการพิศดารแต่อร่อยด้วยการเอาไอศกรีมไปลอยบนน้ำอัดลม กลายเป็นไอศกรีมโฟลทแบบเฉพาะตัวที่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มแบบร้านฟาสต์ฟู้ด
บางคนเจอของหวานที่มีรสชาติที่ตามหามานาน
บางคนเปิดเจอเมนูโปรดอีกเมนูหนึ่ง
ของพวกนี้นี่แหละครับที่ทำให้การกินชาบูของเรามันครบถ้วน ไม่อิ่มกับเนื้อจนเกินไป แล้วก็ได้เห็นว่ามันมีอะไรอีกตั้งหลายอย่างให้เราได้กิน ได้ค้นพบ มีเรื่องเล่าเพิ่มขึ้น
เปรียบไปมันก็คงเหมือนกับงานอดิเรกเอย งานที่เราสร้างขึ้นเอง เรื่องที่เราสนใจแล้วทำให้เป็นงานแห่งชีวิตของเรา วันพักร้อน วันลา สวัสดิการต่าง ๆ แม้แต่การสังสรรค์ เจอเพื่อนเก่า หรือการทำอะไรไร้สาระแบบเด็ก ๆ ในวันหยุดบ้าง
ของพวกนี้อาจดูไร้ประโยชน์ ไร้ค่าและกลายเป็นอุปสรรคในสายตาของใครบางคนที่บ้างาน บ้าผลกำไร ต้องดูโตเป็นผู้ใหญ่ตลอดเวลา
แต่อย่าลืมครับว่า อะไรที่มากเกินไป มันก็ส่งผลร้ายต่อเราได้ ไม่ต่างจากการสั่งเนื้อมาเป็นสิบ ๆ ถาดแต่กินไม่หมดหรือกินจนอาเจียน
และก็ไม่มีใครบัญญัติกฎตายตัวนะครับว่า ห้ามกินเนื้อพร้อมกับของหวาน
แล้วรู้อะไรไหมครับ ถ้าเราลองกินของหวาน แล้วนั่งพักสักหน่อย ถ้าน้ำซุปยังเหลือ ให้ลองเปิดไฟแรงสุดจนควันลอยหอมฉุย ใส่อะไรเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ ลงไป สูดกลิ่นหอม ๆ ของมันแล้วลองซดดู เชื่อไหมครับ มันจะทำให้เรากินต่อได้อีกระยะหนึ่งเลย
เพราะความเผ็ด ความเปรี้ยว กลิ่นหอม ๆ และความร้อน มันไปช่วยให้สมองเกิดความกระชุ่มกระชวย หลั่งสารอยากกินออกมาอีกรอบ แล้วร่างกายก็ตอบสนองตามนั้น
ส่วนท้องเราที่ได้รับพวกของหวานจำพวกนมและน้ำตาล เมื่อมันเริ่มอยู่ตัวหรืออืด ๆ ในท้อง การได้เพียงแค่กลิ่นความเปรี้ยวความเผ็ด มันจะช่วยให้ร่างกายอยากขับของหวานพวกนี้ออกไป กลายเป็นว่า เราอยากกลับไปกินของคาว ๆ มากขึ้นอีกด้วย
หม้อชาบูนี้ สอนให้ผมรู้ว่า
เพราะชีวิตเรามีหลายด้าน
อย่าให้อะไรเพียงแค่ด้านเดียว บดบังสิ่งดี ๆ อื่น ๆ ไปจากความคิดของเรา
เนื้อในร้านไม่มีวันหมด ตราบเท่าที่ทางร้านยังอยากให้เรากิน เปรียบไปก็เหมือนกับถ้าเราไม่อยูากับบริษัทแล้ว ก็มีคนมาแทนในตำแหน่งเราอยู่ดี
ไม่ได้กินวันนี้ ก็กินวันอื่นหรือร้านอื่นก็ได้
ไม่ได้ทำงานนี้ ก็หางานอื่นทำก็ได้
แต่อย่าลืมนะครับ
น้ำย่อยและเวลาของเรา มีวันหมด
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย