2 ก.พ. 2019 เวลา 16:36
......... ตอนที่ 5.1 กับเรื่องเล่านี้ ...เล่าเรื่องสะพานข้ามแม่น้ำแคว ในครั้งก่อนที่ญี่ปุ่นนำเอาเชลยสงคราม มาทำงานสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว เพื่อจะไปพม่า เล่าเรื่องคนไทยไม่กลัวทหารญี่ปุ่น อีกทั้งมีเรื่องทอง ที่เล่าลือกันว่านำมาฝังไว้ ที่จังหวัดกาญจนบุรี ทำให้มีการค้นหากันมานานมาก ตั้งแต่สงครามเลิกใหม่ๆ แต่เรื่องทองที่ฝังไว้ มีแผนที่หลายแบบ ที่เขียนบนผ้าที่ดูเก่าๆ..และดูไม่รู้เรื่อง....
...
ครั้งหนึ่งเมื่อร่วม 30 กว่า ปีก่อน ผมก็ยังเคยร่วมได้เห็นเช่นกันกับแผนที่ขุมทรัพย์ ที่ทองผาภูมิ บ้านเพื่อนผมคนหนึ่ง ที่มีคนนำมาเสนอขาย..
อาจจะเป็นชื่อที่เป็นทอง คือ “ทองผาภูมิ” และ ภูมิประเทศสิ่งแวดล้อมเป็นป่า เลยทำให้องค์ประกอบครบถ้วน เรื่องทองที่ญี่ปุ่นฝังไว้เล่าสืบกันมา จึงดูเสมือนเป็นเรื่องจริง......ไม่ใช่นิยายแบบเพชรพระอุมา ...
…..เรื่องทองที่ฝังตามจุดต่างๆ ครั้งนั้น ก็มีคนหาทองและสมบัติญี่ปุ่น กันหลายกลุ่ม หลายคณะ มาเนิ่นนาน แต่มาขึ้นชื่อและ เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วประเทศในครั้งนั้น เริ่มจากปี 2538-2539 ในยุค ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา ที่มีรัฐมนตรี รอยต่อ นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรักษาการณ์ และ ต่อมา นายบรรหาร มาเป็นนายกรัฐมนตรี ..
1
ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ได้เปิดเผยว่า ตัวเอง ได้รับรู้กับเรื่องทหารญี่ปุ่น ฝังสมบัติไว้ ที่บริเวณทองผาภูมิ และ สังขละบุรี เปิดเผยว่ามีทองเป็นสามขบวนตู้รถไฟ และเพชรว่าเป็นแสนกะรัต และพันธบัตร อีกมูลค่าเป็นพันๆล้านบาท ป่าทั้งป่าของเมืองกาญจนบุรี กลายเป็นป่า “ลายแทง” ซุกซ่อนสมบัติ นักแสวงโชคชาวไทยและต่างชาติพากันระดมขุดกันอย่างมโหฬารมานับสิบๆ ปี นับตั้งแต่ญี่ปุ่นแพ้สงครามฝ่ายพันธมิตรหมาดๆ ก็เริ่มมีการขุดหากันเรื่อยมา.....
ว่ากันว่าเป็นพันธบัตรที่นำมาแสดง
ทั้งนี้ จากการที่กองทัพญี่ปุ่นภายใต้การนำของ พลตรีชิโมดา และ พลตรีกาชิ นำทหารและเชลยมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ แต่เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ก็จำเป็นต้องถอนกำลังกลับ ก็มีข่าวลือว่าญี่ปุ่นได้นำสมบัติที่ยึดมาได้ซุกซ่อนตามป่าเขาในพื้นที่ อ.ไทรโยค อ.ทองผาภูมิ อ.สังขละบุรี โดยเฉพาะ “ทองคำแท่ง” ที่เชื่อว่าญี่ปุ่นไม่นำกลับไปด้วย...
…และเริ่มต้นจากคนนี้ก่อน ที่จะไปถึง รตท.เชาวรินทร์ คือ
ผังที่ซุกซ่อนทองตามจินตนาการ
.... 8 ธันวามคม 2538 (ตรงกับวันที่ญี่ปุ่นยกทัพขึ้นบกยึดประเทศไทยในครั้งนั้น พอดี) นักแสวงโชคได้ขุดพบทองคำแท่งเป็นมูลค่าทหาศาลที่ภูเขาลูกหนึ่ง และจากการสอบถามจากคนรุ่นปู่รุ่นย่า หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ทหารญี่ปุ่นเกณฑ์เชลยศึกมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ ได้ความว่า ทหารญี่ปุ่นได้นำทองคำแท่งและสมบัติต่างๆ มาฝัง และซุกซ่อนตามถ้ำต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่เขต อ.ท่าม่วง อ.เมือง อ.ไทรโยค อ.ทองผาภูมิ และ อ.สังขละบุรี โดยเลือกซุกซ่อนตามอุโมงค์ ตามแนวรางรถไฟสายมรณะ
26 ก.ย.2538 นายสงวน อ่องสมบัติ อายุ 82 ปี(ในสมัยนั้น) เป็นผู้ทำหนังสือถึงกรมศิลปากร ขออนุญาตเปิดถ้ำต่างๆ ในเขต จ.กาญจนบุรี เพื่อที่จะนำขุมทรัพย์ของทหารญี่ปุ่นออกมามอบให้แก่รัฐบาลไทย โดยเนื้อหาในหนังสือ เปิดเผยว่า เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตนเป็นพ่อค้าที่ค้าขายกับพวกทหารญี่ปุ่น ทำให้การเข้านอกออกในค่ายทหารเป็นไปอย่างสะดวกสบาย จึงสังเกตเห็นทหารญี่ปุ่นยึดมาได้จากการรบในเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ เกาะชวา มาเลเซีย สิงคโปร์ และ พม่า เป็นต้น
โดยจุดที่ นายสงวน เห็นทหารญี่ปุ่นฝังสมบัติ คือ บ้านลิเจีย ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี, เขตยอดเขา อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี, ถ้ำใกล้ๆ กับน้ำตกไทรโยคน้อย และเขตน้ำตกไทรโยคใหญ่ ซึ่งทั้งหมดอยู่ไม่ไกลจากทางรถไฟสายมรณะที่ทหารญี่ปุ่นได้สร้างขึ้น.....
และอีกข่าวว่า.....
20 ธันวาคม 2538 พล.ต.ท.จํารัศ มังคลารัตน์ อดีต ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรี 3 สมัย ออกมาเปิดเผยว่า มีพระภิกษุชื่อหลวงพ่ออภิสิทธิ์ อายุ 60 ปี อยู่ที่วัดร้างโบราณ จ.ชัยนาท ติดต่อมา และเล่าเรื่องทรัพย์สมบัติของทหารญี่ปุ่นที่ถูกฝังในที่ต่างๆ ในเขต จ.กาญจนบุรี ว่าในถ้ำดังกล่าวมีทองคําแท่ง ดาบซามูไร และเสื้อผ้าเครื่องแบบทหารทัพบกญี่ปุ่น รวมถึงกองกระดูกของมนุษย์...
เงินทึ่ว่าได้จากในถ้ำ..เป็นเพียงภาพถ่ายเท่านั้นเอง
21 ธันวาคม 2538 ชาวบ้านในละแวกที่มีการขุดหาสมบัติ เล่ากับสื่อว่า ในยามกลางคืนทุกวันพระ ชาวบ้านที่เดินผ่านในจุดที่ขุดพบรางรถไฟ มักจะได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนของผู้หญิง เหมือนกับถูกทรมาน บางครั้งจะได้ยินเสียงพูดภาษาญี่ปุ่นคล้ายกับกําลังลงโทษผู้หญิง จนไม่มีผู้ใดกล้าเดินผ่านในละแวกดังกล่าว........
.......ข่าวกับขุมทองนี่ มีมานานมาก หลังจากสงครามเลิกแล้ว ก็ขุดกันมาตลอด จนครั้งนี้ที่มีข่าวกันทุกวัน หนังสือพิมพ์ขายข่าวกันทุกวัน พาดหัวข่าวล้วนแต่ไม่มีตัวตนทั้งนั้น คือพาดหัวไปแล้ว แต่ไม่มีตัวตน ..ไม่มีสิ่งของอะไรมาแสดงเลย ต่างคนต่างมุสากันทั้งนั้น.....
...กว่าจะได้ขุดก็มีเรื่องหลายเรื่องกับกรมป่าไม้ กรมทรัพยากร การขออนุญาตกว่าจะได้ ตอนนั้นผู้คนติดตามเฝ้าดูหนังสือพิมพ์จั่วหัวข่าวกับทองและสมบัติ เขียนข่าวกันน่าติดตามมาก เช่น ในสมบัตินี้มีทองขนาดใหญ่เท่าบาตรพระ 500 ก้อน และเพชรที่เชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกอีกหลายก้อน เรียกความสนใจในแต่ละวันในครั้งนั้นให้ซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านกัน อีกทั้งยังมีเครื่องบินรบ ..โบกี้รถไฟ และ รถจี๊ป เข้าไปอยู่ในถ้ำ เข้าไปอีก.... ..ผู้คนก็เชื่อ เล่าตามๆกันไป ที่ตอนนั้นไม่มีข่าวช่องทางอื่นอื่นให้รับรู้ได้ อินเตอร์เนท ยังไม่มี มีแต่อ่านหนังสือพิมพ์อย่างเดียว จะใส่ไข่อย่างไร ก็อ่านตามข่าว แล้วมโนแบบฟังละครวิทยุประมาณนั้นเลย เสพแต่ข่าวอ่านอย่างเดียว และ ทีวีเป็นส่วนประกอบ.ที่ประสมรายวัน.........
....จับใจความข่าว จะเป็นแบบนี้..ที่เสนอข่าวน่าตื่นเต้นทุกวัน.....
การขุดในปี2538-39..ตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่พาดหัวทุกวัน..ผู้คนติดตามและคุยกันทั่วประเทศ
๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๘ (เช้า) เคลื่อนทหารตรึง นาฑีระทึกเปิด ๓ โบกี้สมบัติพบยังอยู่ใต้ดิน ๖ เมตร กลางไร่มันสำปะหลัง ตั้ง ๒๓ ก.ก.(กรรมการ) พิสูจน์จะจะ
(บ่าย) ยังไม่เจอโบกี้มหาสมบัติ คนงานทำท่ากลัวอาถรรพ์ รัฐมนตรีเองก็ชักท้อแท้
๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๘ ยังมั่นใจกรุสมบัติค้นที่ใหม่ในปล่องเขาลิเจีย ย้ายไปขุดตาม ลายแทง มีคนฝันเคยไต่ลงไปเจอโบกี้รถไฟ รถจี๊ปในถ้ำ
๒๒ ธันวาคม ๒๕๓๘ ลุยขุมทรัพย์ใต้ดิน มุมานะต่อ ลิเจียลายแทงใหม่ ไฟเขียว บ.เอกชน ขุดไปจนกว่าเจอมหาสมบัติ
๒๓ ธันวาคม ๒๕๓๘ (เช้า) ยังอุบไต๋เอาไว้อุโมงค์ลับขุมทรัพย์ซามูไร เป็นสมบัติอาถรรพ์ นักล่าแย่งกันขุดถึงฆ่ากัน
(บ่าย) ลุยค้นอุโมงค์ลับพบอีก ๒ แห่งยังไม่มีใคร แต่ ไทยรัฐ บุกพิสูจน์ถ้ำ สุดคดเคี้ยวมนุษย์ทำขึ้นแน่
๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๘ เชิญหมอผีลาวไล่ผีทหารญี่ปุ่น ไทยรัฐ กล้าตายบุกสำรวจอุโมงค์ลับ
๒๖ ธันวาคม ๒๕๓๘ ขุมทองไม่ใช่เรื่องโจ๊กตะลุยขุดต่อ ทีมค้นพาชี้ดูจุด
๓๐ ธันวาคม ๒๕๓๘ ทองยังเหงาไม่เจอแม้เท่าขี้เล็บ ยังไม่ย่อท้องัดลายแทงขุดต่อ
๑ มกราคม ๒๕๓๙ ทีมนักขุดเผยไต๋ออกมาแล้วพบสมบัติ เตรียมเปิดอย่างรอบคอบ เกรงเกิดรบราฆ่าฟัน เพราะมีมากมหาศาล
เปิดแน่ขุมทรัพย์บูชิโด ประเดิมศักราชใหม่ รับรองต้องตลึงงัน หลากล้วนของมีค่าที่ขุดได้ แต่ยังอุบไว้ก่อน เพราะก่อนจะนำออกโชว์ ต้องวางแผนให้รอบคอบรัดกุม หวั่นนองเลือดหรือเกิดศึกแย่งชิง เฉพาะที่ขุนเขาลิเจีย มูลค่านับแสนล้าน
เจ้าของบริษัทมหาไพศาล จำกัด ได้รับอนุญาตการขุดถูกต้องตามกฎหมาย
๓ มกราคม ๒๕๓๙ เตรียมใช้ ฮ.ยักษ์ ขนสมบัติบูชิโด เลื่อนเปิดขุมทรัพย์เป็น ๙ ม.ค. ๓๙ (เดิม ๖ ม.ค.๓๙)
เตรียมใช้ ฮ.ซีนุคขนมหาสมบัติของนักรบซามูไร จากถ้ำบนเทือกเขาลิเจีย แฉเป็นทองคำก้อนใหญ่ขนาดเท่าบาตรพระ จำนวน ๕๐๐ ก้อน กับเพชรเม็ดมหึมา ที่เชื่อกันว่าเป็นเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก
ยืนยันว่า สมบัตินั้นมีอย่างแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์
๔ มกราคม ๒๕๓๙ แตกตื่นทั้งเมืองพบสมบัติ แพร่ข่าวทางวิทยุ ทัพนักแสวงโชคเฮโล หวังฟลุคเจอขุมทรัพย์
๕ มกราคม ๒๕๓๙ เส้นทางขุมทรัพย์อันตราย ยังยืนยันไม่มีแห้ว (เหลว) แต่ฝ่ายที่ไม่เชื่อก็มีเหมือนกัน
๙ มกราคม ๒๕๓๙ แห้วสนิทแล้วสมบัติบูชิโด เปิดกรุทำไม่ได้อย่างคุย จุดที่บริษัทพบสมบัตินั้น อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ที่รับผิดชอบดูแลเขาลิเจีย การที่จะเข้าไปดำเนินการใด ๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติต้องทำเรื่องขออนุญาตไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่จนบัดนี้เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ ยังไม่ได้รับคำสั่งจากหน่วยเหนือแต่อย่างใด
ทรัพย์สมบัติที่พบนั้น ต้องตกเป็นทรัพย์แผ่นดิน โดยทางบริษัทจะได้รับส่วนแบ่ง ๑ ใน ๓ ตาม พ.ร.บ.วัตถุโบราณ มาตรา ๒๔
๑๐ มกราคม ๒๕๓๙ โกหกรายวัน แก๊งขุดสมบัติลวงโลก หลอกทัพนักข่าวหัวปั่น วงการพนันก็วุ่นวายหนัก
๑๑ มกราคม ๒๕๓๙ เผ่นแล้วทีมล่าทอง เข้ายึด รร. (โรงแรม) ตั้งหลักนั่งฝันต่อ แก๊งล่าสมบัติญี่ปุ่นจนแต้ม หอบข้าวของเผ่นจากที่พักเดิม ไปเช่าโรงแรมแห่งใหม่พำนัก อ้างต้องการหลบสื่อมวลชนที่คอยติดตามข่าวการเปิดกรุสมบัติ….
ทั้งหมดคือข่าวที่ปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศไทย ในครั้งนั้น หนังสือพิมพ์ขายดี ขายหมด ไม่พอขายทุกวัน....
...และในช่วงนี้ บ้านเมืองส่อเค้าว่าจะเข้ายุคฟองสบู่แตก ในรัฐบาล พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เป็นรัฐบาลต่อจากนายกบรรหาร และพอปี 2540 ก็เศรฐกิจไทยล่มสลาย คณะหาสมบัติก็ราๆไป แต่พักเพื่อหาข้อมูลและ ติดตามสมบัติกันต่อ ในปี 2541 และ 2544 ยังมีอีก 2 ครั้งนะครับ…...
…..ข่าวเรื่องสมบัติ เริ่มซา แต่ข่าวอื่นคราวนี้ มีเรื่องบ้านเมืองล่มจมในปี.2540 หนังสือพิมพ์ก็มีข่าวเสนออีกมากมาย ในยามเศรฐกิจล่ม ..เจ้าสัวฆ่าตัวตาย...บริษัทนั้นเจ้งโดนยึดทรัพย์ เจ้าของโครงการ บินไปนอก อีกมากมาย ข่าวสมบัตินี่เลยจางไปก่อน ......
และ ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ..ติดตามนะครับ แบ่งเรื่องเล่า ไว้ก่อน จะได้อ่านไม่ต้องยาวมากนัก.. ..อ่านต่อนะครับ กับตอนต่อไปของพวกนักล่าสมบัติ ที่เป็นโจ๊กระดับชาติในเวลาต่อมา .....
...ขอพอกับตอนนี้ก่อน เพราะมีอยู่ตอนก่อนหน้านี้ผมเขียนยาวมาก ที่ผู้รู้ บอกเลยว่า..เขียนยาวมาก....ซึ่งผมก็รู้ครับ แต่เขียนไปแล้วก็เลยตามเลย เพราะการเขียน ไม่ได้มีเรื่องของผมคนเดียว มีท่านอื่นที่น่าอ่านทั้งนั้น ...ในบล็อกดิตนี้...ติดตามเรื่องเล่ากับขุมทองนี้นะครับ...แล้วจะกลับไปเขียนเรื่องที่อยากเล่าในวัยเด็กกับบ้านเมืองไทยละครับ.............
โฆษณา