3 ก.พ. 2019 เวลา 13:28 • ปรัชญา
#เมื่อความตาย..กลายเป็นจุดเริ่มต้น the series
ตอนที่ 2: จิตดวงสุดท้าย (1)
กลอนจิตสุดท้าย
จิตสุดท้ายถือเป็นตัวกำหนด
ซึ่งชาติภพที่กำลังจะมาถึง
จิตดวงนี้ทำให้เราคะนึง
หวนคิดถึงกรรมเคยทำแต่ก่อนมา
ธรรมชาติของจิตมีเกิดดับ
ถี่ระยับจนยากจะมองหา
เป็นตัวรับอารมณ์ในทุกครา
รวมถึงตอนมรณามาตัดรอน
อารมณ์ที่รองรับมี 3 อย่าง
ทุกสิ่งต่างเป็นผลจากกาลก่อน
ภาพปรากฏทุกฉากดังละคร
ฉายถึงตอนที่ยังมีชีวา
หากทำดีหนุนนำสู่สุคติ
หากทำชั่วทุคติจะถามหา
ดังนั้นตอนยังไม่ม้วยมรณา
ให้ระลึกเสมอว่าควรทำดี
cr picture:pixabay.com
ธรรมชาติของการเกิดนั้น...ย่อมมีความตายเป็นของคู่กันเสมอ สองสิ่งนี้แยกขาดจากกันไม่ได้ เสมือนดังเงาตามตัว ตัวจะหลีกหนีเงาของตัวไปได้อย่างไร
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุสู่มรรคผลนิพพาน ก็ยังคงต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอยู่ บุคคลเหล่านี้ย่อมปรารถนาที่จะไปสู่สุคติ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะได้สมดังใจ เพราะไม่มีใครสามารถรับประกันได้เลยว่า...เมื่อเวลานั้นมาถึง ตนจะเป็นไปอย่างไร เรื่องนี้อาจยากเกินกว่าที่ปุถุชนอย่างเราจะรู้ได้
แต่สิ่งที่เราควรรู้นั้นก็คือ...ตัวการสำคัญที่เป็นตัวกำหนดความเป็นไปของชีวิตหลังความตายก็คือ "จิตดวงสุดท้าย" ซึ่งเปรียบเสมือนผู้พิพากษาที่จะตัดสินว่าเราจะไปเกิดที่ภพภูมิใด
ฉะนั้นการเรียนรู้เรื่อง"จิตดวงสุดท้าย"จึงถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่เราทุกคนควรรู้ไว้ เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งให้แก่ตนเอง และผู้อื่นได้เมื่อเวลานั้นมาถึง เพราะ ณ เวลานั้นผู้ที่จะช่วยเราได้ดีที่สุดก็คือตัวของเราเอง
จิต คือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ หรือธรรมชาติที่ทำหน้าที่ในการเห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สึกต่อการสัมผัสที่ถูกต้องทางกาย และรู้สึกนึกคิดทางใจ
ธรรมชาติของจิตนั้นมีการเกิดดับสืบเนื่องต่อกันอย่างรวดเร็ว โดยความเร็วของการเกิดดับใช้เวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว หรือแสนโกฏิขณะ เทียบได้เป็นหนึ่งล้านล้านครั้งใน 1 วินาที ซึ่งความสืบเนื่องต่อกันนี้เองที่เป็นตัวปิดบังความจริง ทำให้คนคิดว่าจิตมีเพียงดวงเดียว
ธรรมชาติอีกอย่างของจิตที่สำคัญคือ จิตจะไม่ปราศจากอารมณ์ ดังนั้นในช่วงก่อนที่จิตจะดับลงก็จะมีอารมณ์ปรากฏให้จิตได้รับรู้อยู่เสมอ
cr picture:pixabay.com
เวลาที่คนเราใกล้จะตายนั้นในพระอภิธรรมได้แบ่งออกเป็น 2 ระยะด้วยกัน คือ มรณาสันนกาล และมรณาสันนวิถี
1. มรณาสันนกาล
จะเป็นเวลาก่อนตายที่มีระยะเวลาที่ยาวนาน
อาจเป็นเดือนสุดท้าย วันสุดท้าย หรือชั่วโมงสุดท้ายของบุคคลนั้น
ผู้ที่อยู่ในช่วงเวลานี้ จะมีอารมณ์ที่สามารถรับรู้ได้อยู่เสมอไม่ทางทวารใดก็ทวารหนึ่ง (ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ดังนั้นสิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมถึงผู้คนที่อยู่รายล้อมผู้ที่ใกล้จะตาย ย่อมส่งผลต่อผู้ที่พร้อมจะจากไปทุกเมื่อไม่มากก็น้อย
ลองพิจารณาดูเถิด...หากเราอยู่ในสภาพที่มีเครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดชีพจร และมีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด และก็มีบรรดาญาติๆมานั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ใกล้ๆ ความเศร้าโศกเสียใจนั้นก็อาจแผ่ขยายมาปกคลุมจิตใจของเราให้เศร้าหมองตามไปด้วยได้ไม่มากก็น้อย
ส่วนกรณีของผู้ใกล้ตายที่อยู่ในภาวะสลบ หรือหมดสติไปจะมีอารมณ์เกิดขึ้นเฉพาะทางใจเพียงอย่างเดียว
ท่านผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้ยินได้ฟังเรื่อง ประสบการณ์หลังความตาย จากผู้ที่เคยผ่านความตายแล้วฟื้นคืนชีพกลับมา เล่าให้ฟังเป็นฉากๆว่าเขาได้พบเจอกับอะไรบ้าง แท้ที่จริงคือพวกเขาเหล่านั้นต่างก็เคยผ่านช่วงเวลาของ
มรณาสันนกาลมาแล้วนั่นเอง เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสที่บุคคลจะฟื้นคืนชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง
2. มรณาสันนวิถี หรือที่เรียกว่าวิถีจิตก่อนตาย
เป็นช่วงเวลาที่สั้นกระชับเข้ามา ซึ่งจะเป็นการทำงานของวิถีจิตภายใน ผู้ใดที่อยู่ในช่วงเวลานี้จะไม่มีโอกาสที่จะกลับคืนมาได้อีก เพราะถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชาตินั้นๆ
ก่อนจะตาย...
คนเราอาจรู้สึกเจ็บปวดทรมาน จิตใจอาจกระสับกระส่าย ทุรนทุราย ด้วยความหวาดกลัวในความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำว่า เมื่อต้องเผชิญกับความตาย ให้เราทุกคนใช้สติเป็นที่พึ่งที่อาศัย
โดยท่านให้ใช้ "สติตามรักษาจิตในทุกขณะ"
อย่าไปหวาดกลัวหรือหวั่นไหวในสิ่งที่กำลังเผชิญ
เมื่อเวลาตายมาถึง...
มันจะตัดความรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กายออกทั้งหมด เหลือแต่ความรับรู้ทางใจเพียงอย่างเดียว ตอนที่มันตัดความรับรู้ทางปัญจทวาร ระบบประสาททั้งหลายจะค่อยๆดับลง กล่าวคือ...
ตาของเราจะเริ่มพร่ามัวจนมองไม่เห็นรูป
หูจะค่อยๆดับลงจนไม่ได้ยินเสียง
จมูกจะไม่รับรู้กลิ่น
ลิ้นจะแข็ง และไม่รับรู้รส
กายจะไม่รับรู้ความรู้สึกทางสัมผัสใดๆ หรือหมดความรู้สึกไปในที่สุด
จะเหลือแต่เพียงความรู้สึกนึกคิดทางใจ หรือมโนทวารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
cr picture:pixabay. com
ดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า ธรรมชาติของจิตนั้นย่อมไม่ปราศจากอารมณ์ ดังนั้นก่อนที่จิตจะดับลงก็จะมีอารมณ์มาปรากฎให้จิตได้รับรู้
โดยเฉพาะอารมณ์ที่ปรากฏในจิตสุดท้ายก่อนตายนั้นถือว่าสำคัญที่สุด
อารมณ์ก่อนตายที่จิตจะระลึกถึงได้มี 3 ชนิด คือ...
1. กรรม
ตอนใกล้ตาย...บางคนอาจเห็นภาพกรรมต่างๆที่ตนเคยกระทำไว้ในอดีตสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่เป็นกุศล หรือ อกุศล จะมาปรากฏให้ได้หวนระลึกถึง โดยที่เราไม่สามารถบังคับ
กะเกณฑ์ได้
กรรมที่เป็นกุศล เช่น การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา หรือการทำความดีต่างๆ
หากตอนใกล้ตายจิตได้หวนระลึกถึงกรรมนั้น
ก็จะเป็นเหตุหรือปัจจัยให้ไปสู่สุคติ
ส่วนกรรมที่เป็นอกุศล เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การลักทรัพย์ หรือการทุจริตคดโกง
หากตอนใกล้ตายจิตหวนระลึกถึงกรรมนั้น
ก็จะเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติอย่างแน่นอน
2. กรรมนิมิต
บางคนตอนใกล้ตาย...อาจเห็นภาพอุปกรณ์หรือสัญลักษณ์ที่ใช้ในการกระทำกรรมเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่เป็นกุศล และอกุศล
กรรมนิมิตที่เป็นกุศล เช่น เห็นขันใส่ข้าว หรือทัพพีที่ตนเคยใช้ตักบาตรพระ เห็นภาพพระพุทธรูป โบสถ์วิหารที่ตนเคยสร้างเมื่อตอนยังมีชีวิต
เมื่อนิมิตเหล่านี้ปรากฏก็จะเป็นปัจจัยหนุนนำให้จิตผ่องแผ้ว สดใส เบิกบาน และนำไปสู่สุคติในที่สุด
กรรมนิมิตที่เป็นอกุศล เช่น เห็นนิมิตเป็นมีดที่เคยใช้ฆ่าคนฆ่าสัตว์ เห็นปืนที่ใช้ยิงคนยิงสัตว์
หากนิมิตเหล่านี้ปรากฏก็จะทำให้จิตเศร้าหมองและนำไปสู่ทุคติในที่สุด
3. คตินิมิต
คนบางคนก็อาจไม่ได้ระลึกถึงกรรมในอดีต แต่จะมีนิมิตปรากฏเป็นที่ที่จะไปเกิดในชาติต่อไป หรือภพภูมิต่อไป เช่น
คตินิมิตที่จะนำไปสู่สุคติ ได้แก่ นิมิตเห็นเป็นสวนดอกไม้อันน่ารื่นรมย์ เห็นวิมาน เห็นภาพยอดเจดีย์ปราสาทราชวังต่างๆ ก็จะนำพาไปเกิดบนสวรรค์ หรือ นิมิตเห็นเป็นบ้านเรือน เห็นเป็นผู้คน ก็จะไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นต้น
คตินิมิตที่จะนำไปสู่ทุคติ เช่น เห็นเปลวไฟเผาผลาญเร่าร้อน เห็นสัตว์นรกรูปร่างหน้าตาน่ากลัวก็จะไปเกิดในนรก เป็นต้น
รวมความแล้ว...อารมณ์ของคนที่ใกล้ตายนั้น เมื่อเข้าสู่มรณาสันนวิถี ย่อมมีนิมิตเป็น กรรม กรรมนิมิต และคตินิมิต อย่างใดอย่างหนี่งมาปรากฏ อาจเรียกได้ว่าเป็นการฝันครั้งสุดท้ายในชีวิตก็ว่าได้
ถ้าฝันไม่ดี คือเห็นอารมณ์นิมิตที่ไม่ดี...ก็จะไปเกิดในทุคติภูมิ
แต่ถ้าฝันดี คือเห็นอารมณ์นิมิตที่ดี...ก็จะนำไปเกิดในสุคติภูมิ
เมื่อความตายมาถึง เราอาจไม่สามารถที่จะบังคับจิตได้ว่าจะให้ปรากฏแต่นิมิตที่เป็นกุศล และไม่ให้ปรากฏนิมิตที่เป็นอกุศล เพราะจิตเป็นอนัตตา คือไม่สามารถบังคับบัญชาให้สมดังใจได้
แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อหนุนนำส่งเสริมให้จิตดวงสุดท้ายเป็นจิตที่ดี คือ เราควรหมั่นทำความดี สะสมสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นบุญกุศลต่างๆเข้าไว้ เพื่อให้จิตได้จดจำ บันทึกความเคยชินเหล่านั้นไว้ในจิต ครั้นเมื่อความตายมาถึง มันจะได้คายข้อมูลความดีทั้งหลายที่เราเคยทำอยู่เป็นนิจออกมาอย่างง่ายดาย และจิตดวงสุดท้ายก็จะได้ไปยังที่หมายคือสุคติภูมิ
แต่งกลอนและเขียนโดยเพจ "ชอบธรรม..คำสอน"
บางส่วนอ้างอิงจาก พระอภิธรรมมัตถสังคหะ และคำสอนครูบาอาจารย์
หมายเหตุ เนื่องจากเรื่องจิตดวงสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาค่อนข้างเยอะ และมีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่าง
ผู้เขียนจึงจะขอแบ่งหัวข้อนี้ออกเป็นตอนย่อยๆ เพื่อไม่ให้แต่ละบทความนั้นยาวจนเกินไป
อนุโมทนากับท่านผู้อ่านทุกท่าน
cr picture:pixabay.com
โฆษณา