4 ก.พ. 2019 เวลา 08:10 • การศึกษา
การปฏิวัติโรมาเนีย: ฉากปฏิวัติลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่
โรมาเนีย เป็นประเทศระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ 
มีอาณาเขตทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดประเทศยูเครนและประเทศมอลโดวา ทิศตะวันตกจดประเทศฮังการีและประเทศเซอร์เบีย 
ทิศใต้จดประเทศบัลแกเรีย โรมาเนียมีชายฝั่งบนทะเลดำด้วย
นับตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1944 
โรมาเนียกลายเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์อย่างเข้มงวด
โดยการนำของ เชาเชสคู (Ceausescu) และหน่วยตำรวจลับซิกูริตาเต้
นิโคไล เชาเชสคู (Nicolae-Ceausescu) เผด็จการฟาสซิสต์ ตัวจริง เสียงจริง
ในช่วงเวลานั้น โรมาเนียเป็นประเทศที่ยากจนข้นแค้นมาก การปกครองโดยเผด็จการ เชาเชสคู
กำลังฉกฉวยความมั่งคั่งจากประเทศบอลข่านและประชาชนของตนไป
เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาและครอบครัวรวมถึงบรรดาสมัครพรรคพวกด้วย
ใช้ระบอบคอมมิวนิสต์บริหารประเทศตามอุดมการณ์อย่างข้นคลั่ก แม้คนส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกร
แต่เขาก็จะเปลี่ยนประเทศเป็นสังคมอุตสาหกรรม จึงย้ายชาวไร่ชาวนาจากบ้านนอกเข้าเมือง
มาทำงานโรงงานอุตสาหกรรม จัดแฟลตให้เป็นที่อยู่อาศัย
โดยเฉพาะชาวบ้านในแคว้นทรานซิลเวเนีย ที่พูดภาษาอังการี
แรงงานที่ เชาเชสคู สั่งให้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง
ผู้คนต่างได้รับการปันส่วนอาหารและสิ่งจำเป็นอื่นๆ คนละเล็กละน้อย 
ในขณะที่ผู้หญิงได้ถูกบีบบังคับให้มีลูกหลายคนเพื่อสร้างประเทศของจอมเผด็จการ
สภาพความเป็นอยู่ เช่นการต่อแถว รอรับการแบ่งปันส่วนอาหารของชาวโรมาเนีย
อันนี้ยังผลให้ประชากรส่วนใหญ่ที่กำพร้านั้นต้องถูกทอดทิ้ง
เพราะครอบครัวจำนวนมากไม่สามารถที่จะหาอาหารมาเลี้ยงดูพวกเขาได้
เหตุนี้ผู้คนชาวโรมาเนียจึงไม่เพียงทุกข์ทรมานกับความขาดแคลน และความขัดสนทางด้านอาหาร 
และสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่างๆ ในชีวิตประจำวันเท่านั้น
แต่รวมไปถึงข่าวสารข้อมูลทั้งหลายด้วย ที่ถูกปิดกั้นแบบ 100% เทียบเท่าเกาหลีเหนือ
ซึ่งเหมือนกับประเทศเผด็จการอื่นๆ ที่มักสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่โตไว้เพื่อวดบารมี
เชาเชสคู ได้ทำลายเมืองหลวงบูคาเลสท์ ไปถึงหนึ่งในสาม เพื่อที่จะสร้างพระราชวังของตนขึ้นมา 
ชื่อว่า “พระราชวังของประชาชน” อ้างชื่อประชาชน แต่ไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับประชาชนเลย ของตัวเองและพรรคพวกล้วนๆ
พระราชวังของประชาชน
ซึ่งพระราชวังของประชาชน เป็นอาคารสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก เป็นรองแค่ Ptagon เท่านั้น
การปฏิวัติได้ปะทุขึ้นใน Transylvanian city of Timisoara ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของโรมาเนีย ในวันที่ 16 ธันวาคม 1989
ประชาชนเป็นจำนวนมากรู้สึกโกรธแค้นเมื่อพวกเขาได้ยินว่าหน่วยรักษาความมั่นคงได้มีการลักพาตัว Laszlo Toekes ไป,
บาดหลวงชาวฮังกาเรียนซึ่งวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล. การประท้วงกลายเป็นการเดินขบวนขนาดใหญ่
และในวันนั้นได้ถูกปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมโดยกองกำลังรักษาความมั่นคงและกองทัพ
การปราบปรามในช่วงแรก และศพผู้เสียชีวิต
การรับรู้ถึงการปิดกั้นที่ไม่ปรกติเกี่ยวกับชายแดนโรมาเนียที่ติดกับฮังการี สำนักข่าวต่างๆ เริ่มรวบรวมข่าวสารและข้อมูลต่างๆ ที่สัมพันธ์กัน
เพื่อรายงานเกี่ยวกับการฆาตกรรมหมู่ใน Timisoara ข่าวดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่โดยสถานีวิทยุโรปเสรี และสื่ออิสระต่างๆ
และโลกเริ่มจะตระหนักว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ปรกติกำลังเกิดขึ้นในรัฐสตาลิน
ช่วงนั้น Ceausescu ได้ไปเยือนประเทศอิหร่านสองสามวัน และหลังจากที่เขากลับมาเขาก็รู้ว่า
สถานการณ์ดังกล่าวกลายเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับเขาเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจขึ้นเวทีปราศรัยกับประชาชนที่มารวมตัวกันในกรุงบูคาเรสท์
เพื่อประกาศกับพลเมืองทั้งหลายให้สามัคคีกันเพื่อประเทศ. Ceausescu มักจะจัดให้มีการรวมตัวกันของฝูงชนเสมอ 
ซึ่งบรรดาคนงานทั้งหลายจากโรงงานและสำนักงานต่างๆ ได้ถูกบังคับให้มาเข้าร่วมฟังเป็นประจำ
โดยปรกติแล้ว ผู้คนราว 3000 คนหรือกว่านั้น จะถูกจัดเอาไว้อยู่หน้าเวทีเพื่อส่งเสียงเชียร์ Ceausescu
และปรบมือแสดงความยินดีต่อสุนทรพจน์ของเขา
ในวันที่ 21 ธันวาคมปีเดียวกัน ผู้คนที่มารวมตัวชุมนุมซึ่งดูเหมือนเป็นปรกติในตอนเริ่มต้น
ขณะที่เขากำลังยกย่องตัวเองถึงความสำเร็จเกี่ยวกับรัฐสังคมนิยม และกำลังสัญญากับบรรดาคนงานทั้งหลายว่าจะมีการขึ้นเงินเดือนและค่าจ้าง
ให้กับบรรดาคนงานทั้งหลายอีก 200 ลิว(Lei)(ประมาณ 8 ยูเอสดอลลาร์) จากมุขระเบียงหน้าอาคารคณะกรรมการกลาง
สุนทรพจน์ของเขาก็ได้ถูกขัดจังหวะขึ้นจากใครบางคนในหมู่ฝูงชน ซึ่งเริ่มตะโกนต่อต้านเขา
การรวมตัวต่อต้านผู้นำในเมืองหลวงและหลายเมืองพร้อมกันทั่วประเทศ
ในไม่ช้าเหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นความสับสนวุ่นวายจนควบคุมไม่ได้ และผู้คนเริ่มเข้าร่วมมากขึ้น เขาและภรรยา Elena 
พยายามที่จะทำให้ฝูงชนทั้งหลายสงบลง แต่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง. เขาและภรรยาต้องถอยจากมุขระเบียงกลับเข้าไปหลบซ่อนอยู่ภายในตัวอาคาร. สุนทรพจน์ของเขาเพิ่งได้รับการออกอากาศสดๆ เพื่อเหตุผลในการโฆษณาชวนเชื่อ
แต่ในช่วงขณะนั้นการถ่ายทอดสัญญาณได้ถูกตัดลงทันที ผู้คนซึ่งกำลังเฝ้าดูทางจอโทรทัศน์เพียงเห็นแต่สีแดงขึ้นอยู่หน้าจอทีวีของพวกเขาเท่านั้น ทำให้คนทั้งหลายรู้ได้ทันทีว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ปรกติกำลังเกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ฝูงชนในวันนั้นได้ถูกยิงและถูกคุกคามโดยรถถัง
เช้าวันต่อมา 22 ธันวาคม, Ceausescu ได้ประกาศกฎอัยการศึก และห้ามการรวมตัวกันมากกว่า 5 คนขึ้นไป และในชั่วโมงต่อๆ มา 
ข่าวโทรทัศน์ได้ประกาศถึงการถึงแก่กรรมของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม Vasile Milea และเขาถูกเรียกว่าเป็น “ผู้ทรยศ”
ช่วงระหว่างวันเวลาของ Ceausescu, หน่วยรักษาความมั่นคง และ USLA
(Unite Speciala pentru Lupta Antiterorista – anti-terrorist special squad) [กองกำลังพิเศษเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย] 
ได้เข้ามาแทนที่กองทัพและค่อนข้างได้รับสิทธิพิเศษ ส่วนกองทัพได้รับการกันออกไปและทำให้เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบเท่านั้น
ความแตกแยกระหว่าง Ceausescu กับกองทัพเป็นที่เรื่องเล่าลือมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว และด้วยเหตุผลนี้ Milea จึงค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน. การตายอย่างลึกลับของ Milea ได้ไปฉกฉวยจินตนาการของผู้คนให้คิดไปทำนองว่า เขาตายเพราะปฏิเสธคำสั่งของ Ceausescu
ที่ให้เข่นฆ่าประชาชน
(อันนี้ได้รับการกล่าวว่า กองทัพได้เปลี่ยนข้างมาอยู่กับฝ่ายประชาชนแล้ว ในช่วงระหว่างที่มีการก่อกบฎขึ้นที่เมือง Timisoara)
ประชาชนที่ไม่ใยดีต่อกฎอัยการศึกได้ลงยังท้องถนน ซึ่งในช่วงเวลานั้นพวกเขาต่างเต็มไปด้วยอารมณ์ที่โกรธแค้น
การลุกฮือของประชาชน
ที่ด้านหน้าของอาคารคณะกรรมการกลาง ผู้คนมากกว่า 100,000 คนได้ร้องตะโกนสาบแช่งจอมเผด็จการ Ceausescu ให้ประสบกับความพินาศ. Ceausescu พยายามที่จะกล่าวปราศรัยกับประชาชนอีกครั้ง โดยตะโกนก้องออกมาว่า “ความสามัคคี ความมีเอกภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้” แต่ก็ตระหนักว่าเขาไม่สามารถควบคุมฝูงชนได้อีกต่อไป. หลังจากนั้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ฝูงชนจากใจกลางจตุรัสได้มองเห็นเฮลิคอปเตอร์ได้พาตัว Ceausescu และ Elena ภรรยาของเขาออกไปจากยอดตึกของอาคารคณะกรรมการกลาง
ฝูงชนต่างพากันหัวเราะเย้ยหยันกับเฮลิคอปเตอร์ลำนั้น และต่างอยู่ในห้วงอารมณ์ของชัยชนะ
ประชาชนพากันร้องเพลงและร้องตะโกน “Oh re oh re oh re, ไม่มี Ceausescu ต่อไปอีกแล้ว!” 
จากนั้นพวกเขาก็ได้โถมกันเข้าไปยังตัวอาคาร และฉีกทึ้งทำลายเอกสารและหนังสือ ทำลายภาพเขียนและจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นภาพ Ceausescu และคู่ครอง รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ที่หรูหรา. ผู้คนต่างถือธงโรมาเนียนและโบกสะบัดท่ามกลางอาคารอันเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นศูนย์กลางของสังคมนิยมที่ได้ถูกทำลายลง ในช่วงเวลานั้นผู้คนต่างรับรู้ว่า กองทัพได้สลับปรับเปลี่ยนมาอยู่กับฝ่ายตนแล้ว 
และการสนับสนุนของกองทัพเป็นสิ่งจำเป็นอันขาดเสียมิได้สำหรับชัยชนะของพวกเขา
คำขวัญของผู้คนทั้งหลายในเวลานั้นก็คือ “กองทัพอยู่ข้างเรา”, “กองทัพอยู่กับเรา” ได้กลายเป็นวลีที่นิยมติดปากมากที่สุดในระหว่างช่วงการปฏิวัติ. เมื่อตอนที่ฝูงชนกลุ่มหนึ่งบ่ายหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาลและอาคารคณะกรรมการกลาง ฝูงชนอีกกลุ่มหนึ่ง รวมถึงนักกวีที่ออกมาต่อต้านอย่างเด่นชัด Mircea Dinescu ซึ่งเพิ่งจะได้รับการปลดปล่อยจากการถูกคุมขังอยู่ภายในบ้านของตนเอง
ได้มุ่งหน้าไปยังสถานีโทรทัศน์ พวกเขาได้เจรจาหารือกับผู้อำนวยการทีวีและเข้ายึดครองสตูดิโอทีวี และเริ่มถ่ายทอดการปฏิวัติสดๆ นี่ทำให้การปฏิวัติดังกล่าวเป็นการปฏิวัติของประชาชนที่มีการถ่ายทอดสัญญาณครั้งแรกในประวัติศาสตร์
กองกำลังที่ยังภัคดีต่อผู้นำ ได้นำกำลังออกมาต่อต้าน
มีการปล่อยข่าวลือ ออกมาเป็นระยะๆ
ประชาชนทุกภาคส่วนของสังคม นับจากบาทหลวงจนถึงชาวนา ได้รีบรุดมายังสตูดิโอที่จะพูดบางสิ่งบางอย่าง ทุกๆ คนต่างต้องการที่จะปรากฏตัวบนจอทีวี ต้องการที่จะมีบทบาท ต้องการจะเข้าไปมีส่วนร่วม และต้องการที่จะปราศรัยกับผู้คน บางคน รวมไปถึงผู้ประกาศข่าวที่เคยทำหน้าที่รับใช้ Ceausescu ได้กล่าวคำขอโทษสำหรับการโกหกต่อผู้คนมาเป็นเวลายาวนาน นายพลของกองทัพได้สั่งให้บรรดาทหารทั้งหลายกลับไปยังกรมกองและหน่วยที่ตั้งของตน และสั่งห้ามยิงประชาชนไม่ว่าในสถานการณ์ใดทั้งสิ้น
ทหารและตำรวจได้เข้ามายังสถานีโทรทัศน์ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้มั่นใจว่าสถานีโทรทัศน์ยังคงปลอดภัยอยู่ เพราะมันยังคงตกอยู่ภายใต้สถานการณ์การโจมตี แนวหน้ากอบกู้แห่งชาติ (The National Salvation Front) ออกประกาศแต่งตั้งรัฐบาลของพวกเขาจากสตูดิโอ การถ่ายทอดสดได้ถูกนำมาใช้ด้วย เพื่อถ่ายทอดคำเตือนต่างๆ และแถลงการณ์: “อย่าดื่มน้ำจากก๊อกน้ำ เนื่องจากมีข่าวลือว่าหน่วยรักษาความมั่นคงได้ละลายยาพิษลงไปในอ่างเก็บน้ำ”, “จอมเผด็จการได้หนีไปพร้อมกับรถยนต์ Decia สีแดง พร้อมกับใบอนุญาตหมายเลข… ขอได้โปรดตรวจตราอย่างระมัดระวังและค้นหารถยนต์คันนั้น”
การสู้กันระหว่างทหารประชาชนและพวกที่จงรักภักดีต่อ Ceausescu
หนึ่งในสิ่งที่เป็นเหตุการณ์สำคัญด้วยก็คือ การจับตัวพวกที่จงรักภักดีต่อ Ceausescu และพวกหน่วยรักษาความปลอดภัยทั้งหลาย คนเหล่านี้ได้ถูกนำตัวมายังสถานีโทรทัศน์เพื่อประจาน และเพื่อประกาศต่อสาธารณะถึงข้อดีและผลประโยชน์ของการมาอยู่ข้างฝ่ายเดียวกับประชาชน หนึ่งในอาชญากรที่โดดเด่นที่ได้รับการนำมาอยู่แถวหน้ากล้องบันทึกภาพคือ Nicu Ceausescu ซึ่งเป็นบุตรชายเพลย์บอยที่ได้รับความเกลียดชังของจอมเผด็จการ Ceausescu
“นี่คือ Nicu, โดยปราศจากข้อสงสัย เขาได้รับสารภาพว่า เขาได้จับเด็กๆ เป็นตัวประกัน…”
Nicu: “นั่นไม่เป็นความจริง”
การสร้างข่าวลวงของฝ่ายต่อต้าน ว่าพวกที่จงรักภักดีต่อ เชาเชสคู ได้สังหารประชาชนจำนวนมาก
คลิป vdo ที่เป็นศพและสื่อให้สารว่าถูกฆ่าตายโดยเชาเชสคู  แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่
เพราะนั่นเป็นศพที่ไม่ได้ตายจากการปฏิวัติ  แต่ผู้ไม่สนับสนุนผู้นำไปขุดศพออกมาจากหลุมเพื่อสร้างแระแสความเกลียดชัง
ในระหว่างเวลานั้น บนท้องถนน เรียกว่า “พวกก่อการร้าย” ซึ่งกล่าวกันว่าประกอบด้วยกองกำลังรักษาความมั่นคง, USLA และคนที่ยังจงรักภักดีต่อ Ceausescu ได้เริ่มต่อสู้อย่างดุเดือดกับกองทัพพลเรือน บรรดาพวกนักซุ่มยิงทั้งหลายได้ซุ่มยิงผู้คนมาจากตัวตึกต่างๆ ในลักษณะสุ่ม
โดยไม่เลือกว่าใครเป็นใคร ประชาชนต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว
ดังข่าวที่มีการเล่าลือกันว่า Ceausescu ได้สร้างเครือข่ายใต้ดินขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยบังเกอร์และเส้นทางใต้ดินต่างๆ เป็นจำนวนมาก 
(อันนี้เป็นข่าวลือเช่นเดียวกันกับเครือข่ายใต้ดินของซัดดัม ที่ถูกทำให้น่าหวาดกลัวมาหลายปี) 
และมีแต่เพียงหน่วยรักษาความมั่นคงและ USLA เท่านั้นที่รู้โครงสร้างเส้นทางลับต่างๆ พวกนี้ และสามารถที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้
การต่อสู้ระหว่างกองกำลัง 2 ฝ่ายและประชาชน
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อมาอีกหลายวัน ในช่วงระหว่างเวลานั้น การสนับสนุนทางศีลธรรมและวัสดุอุปกรณ์ต่างๆจากทั่วโลกได้ทยอยมาถึง
โลกทั้งใบกำลังเฝ้ามองการปฏิวัตินองเลือดครั้งนี้ในยุโรปตะวันออก และมันตรงกับวันหยุดในช่วงคริสต์มาสพอดี
ในขณะที่เชาเชคคูและภารรยา หนีออกจากบูคาเรสต์ พร้อมเงินสด 1,000 เหรียญสหรัฐ
แต่ไปได้แค่ 75 กิโลเมตร ทหารก็จับได้ นำตัวมาขังไว้ที่ค่าย
ทหารออกมาควบคุมความสงบ หลังจากการปฏิวัติสำเร็จ
วันที่ 25 ธันวาคม ได้มีประกาศเกี่ยวกับการสอบสวน Nikolai และ Elena Ceausescu โดยศาลทหาร
ทั้งคู่ได้ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยข้อหา 5 กระทงด้วยกันคือ
1.       การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (เป็นไปได้ว่าได้มีการสังหารผู้คนไปกว่า 6 หมื่นคน)
2.       มีการใช้อาวุธในการโจมตีผู้คนและใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ
3.       มีการทำลายอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ และสถาบันทั้งหลายของชาติ
4.       มีการทำลายเศรษฐกิจของชาติ
5.       มีการยักยอกฉ้อฉลทรัพย์สมบัติของชาติ(ไปกว่า 100 ล้านลิว) และนำเงินจำนวนเหล่านั้นไปฝากยังธนาคารหลายแห่งในต่างประเทศ
การประหารผู้นำเผด็จการและภารรยา
ในวันต่อมา ภาพวิดีโอสั้นๆ เกี่ยวกับการสอบสวนได้รับการออกอากาศ พร้อมกับภาพนิ่งซากศพของจอมเผด็จการและคู่ครอง หลังจากที่พวกเขาถูกประหารชีวิตแล้ว ภาพดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดซ้ำๆ อีกตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่เพื่อทำลายกำลังขวัญกองกำลังที่ยังคงต่อสู้อยู่นั่นเอง ผู้คนต่างกู่ร้องตะโกนคำว่า”bravo!” ไชโย, จอมเผด็จการตายแล้ว! ทั่วทั้งประเทศอยู่ภาวะรื่นเริงและแสดงความดีอกดีใจออกมาอย่างมีความสุข
มาถึงตรงนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยดี มีการล้มเผด็จการลง
ประชาธิปไตยในประเทศนี้กำลังจะเบ่งบานตามที่ทุกคนฝันไว้ แต่.......
นั่นคือหน้าฉากที่มีคนบางคนกำกับเอาไว้ เหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหลาย ต่างถูกเตรียมการไว้เป็นอย่างดี
เรื่องราวเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการแสดงออกไปทั่วโลก มันถูกเล่าขานและถูกเชื่อเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ตาม
ดังที่เหตุการณ์ต่อๆ มาได้เผยออกมาภายหลัง ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด
การบุกยึดอาคารที่ทำการรัฐ
ภายในเพียงแค่ปีเดียว พลเมืองโรมาเนียนต่างเรียนรู้ว่า อะไรที่ถูกทำให้เชื่อในฐานะที่เป็นการปฏิวัติประชาชน
ซึ่งอันที่จริงเป็นการรัฐประหารต่อ Ceausescu เท่านั้น
เรื่องราวที่เปิดเผยให้ชาวโลกรับรู้ภายหลังนับ 10 ปี คือ KGB สายรัสเซีย ที่ให้การหนุนหลังสมาชิกคอมมิวนิสต์
(ช่วงแรกในเดือนพฤศจิกายน, Mikhail Gorbachev ได้ขอร้องให้ Ceausescu ลงจากตำแหน่ง แต่ Ceausescu ปฏิเสธ)
Ion Iliescu
ที่จริงแล้วมันคือแผนการอันหนึ่งและเป็นเหตุการณ์ที่มีการเขียนสคริปท์ขึ้นมา Ion Iliescu ได้ถูกเลือกแล้วในฐานะผู้รับช่วงเป็นทายาทต่อจาก Ceausescu มาก่อนหน้านั้น FSN แม้คำสัญญาของพวกเขาว่าจะเป็นเพียงรัฐบาลชั่วคราว และกลุ่มของตนจะสลายตัวลงไปทันทีหลังจากการปฏิวัติ
แต่อันที่จริงยังคงอยู่ในอำนาจในฐานะพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง – พวกเขาเพียงเปลี่ยนชื่อเป็นสภาเอกภาพแห่งคราว
ซึ่งจะเข้ามาบริหารประเทศจนกว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งแรกขึ้นในปี ค.ศ.1990
ซึ่งต่อมามันได้แบ่งแยกเป็นสองพรรคการเมืองที่ฝ่ายตัวเองคอยให้การสนับสนุนอย่างลับๆ
ในช่วงระหว่างการปกครองของ Iliescu, มันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าในช่วงเวลาของ Ceausescu เสียอีก
สมาชิกพรรคการเมืองที่ขับเคลื่อนทางด้านการเมือง ได้ตายไปในสภาพการณ์ต่างๆอย่างลึกลับ
การปฏิวัติที่ไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ คล้ายกับเป็นเพียงผีหรือวิญญาณ ที่หลอกหลอนประเทศด้วยประชาธิปไตยเล็กๆ น้อยๆ หรือความจริงที่ว่าผู้คนไม่เคยได้ใช้สื่อเลย และดำรงชีวิตอยู่เป็นเวลายาวนานโดยปราศจากการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร พวกเขาต้องพ่ายแพ้แก่คนกลุ่มเล็กๆ
ซึ่งทั้งหมดมีความรู้ว่าจะจัดการสื่ออย่างฉลาดและเหมาะสมอย่างไร ภาวะหงุดหงิดอดรนทนไม่ได้กับการปฏิรูปเศรษฐกิจของ Constantinescu ในช่วงระหว่างเวลา 4 ปีของการดำรงตำแหน่งของเขา และภายใต้อิทธิพลครอบงำเกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพของ Iliescu
ผู้คนจึงลงคะแนนเลือกตั้ง Iliescu ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกระทั่ง ในปี ค.ศ.1996 ผู้คนออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีประชาธิปไตยครั้งแรกในประวัติศาสตร์ คือ Emil Constantinescu 
เหตุการณ์จึงค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ
ทุกวันนี้ไม่มีผู้คนโรมาเนียนคนใดเรียกเหตุการณ์ปี 1989 ว่า “การปฏิวัติ” อีกแล้ว ดังที่กลุ่มดังกล่าวได้แย่งชิงอำนาจจากเผด็จการ และได้ตั้งชื่อลวงของกลุ่มขึ้นมา เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการทึกทักว่าเป็นเหตุการณ์ของประชาชน บางคนเรียกมันว่า “การปฏิวัติที่น่าสงสัย” ส่วนบางคนเรียกมันอย่างเยาะหยันว่า “การรัฐประหารคราวนั้น” เพื่อพ้นไปจากเรื่องราวเยาะหยันถากถางอันนี้
การปฏิวัติที่หลายคนไม่อยากจดจำ ???
กด follow. มีเรื่องใหม่อัพทุกวันนะจ๊ะ
โฆษณา