Digital Twin เป็น Concept ที่มีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2002 แต่เพิ่งจะเริ่มแพร่หลายเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยี และ Hardware ในสมัยนั้น โดย Concept ของ Digital Twin นั้นคือการทำแบบจำลองทางดิจิตอลโดยสมบูรณ์ เพื่อมาจำลองสถานการณ์ต่างๆเพื่อให้เราเข้าใจ หรือพยากรณ์อนาคตที่น่าจะเกิดขึ้น และเตรียมรับมือได้ถูกต้อง
ดังนั้นเพื่อจะสร้างและจำลองสำเนาดิจิตอลโดยละเอียดต้องใช้เทคโนโลยี IoT, Big Data, 3D Modeling และ AI
โดยเริ่มจากการร่างแบบจำลอง 3D และติด Sensor โดยละเอียดให้กับวัตถุจริง เพื่อเวลาข้อมูลส่งกลับมาที่ Big Data จะได้เข้าใจได้ว่าเหตุการณ์นั้นๆมีผลต่อจุดใด หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจะมีผลต่อจุดใดเช่นกัน
เหตุที่ต้องใช้ Big Data และ AI
ต้องใช้ Big Data เพราะข้อมูลที่ติด Sensor มีปริมาณมหาศาลมาก ทั้งจำนวนจุดติดตั้งและการส่งข้อมูลในระดับ Real Time คือเยอะตั้งแต่จำนวนจุดและยังต้องคูณด้วยเวลาอีก
ส่วน AI เข้ามาช่วยในการพยากรณ์หรือทำ Monitoring ในระดับข้อมูลปริมาณมากที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้
เริ่มจากของจริงเลยที่ NASA เหตุที่ NASA จำเป็นที่จะต้องใช้ Digital Twin เนื่องมาจากจรวดหรืออุปกรณ์ที่ NASA ปล่อยไปแล้วท่ามกลางอวกาศอันไกลโพ้น เท่ากับตัวจรวดของ Nasa ไม่สามารถจับต้องได้อีก ถ้าไม่มีสำเนาดิจิตอลไว้จะไม่สามารถเข้าใจถึงความเสียหาย การซ่อมบำรุงได้เลย หรือแม้กระทั่งก่อนการปล่อยอุปกรณ์แต่ละครั้งก็คงทดลองจริงไม่ได้มาก เพราะสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล ดังนั้นแบบจำลองดิจิตอลพวกนี้จะสามารถไปทำการทดลองในโลกดิจิตอลได้ ซึ่งเป็นการประหยัดงบประมาณและไม่สูญเสียทรัพยากรจริง
เช่นเดียวกับอุตสากรรมการบิน แต่คราวนี้เราขอลดระดับเพดานจากอวกาศมาเป็นการบินในโลกบ้าง ถ้าเรามี Digital Twin ของเครื่องบินและสภาพอากาศ เราก็จะสามารถทำแบบจำลองการพยากรณ์การบินที่แม่นยำ และสามารถแจ้งเตือนให้นักบินสามารถหลีกเลี่ยง หรือมีคำแนะนำที่ดีในกรณีเจอกับสภาพอากาศที่เลวร้าย ซึ่งสุดท้ายจะสามารถปกป้องชีวิตของผู้โดยสารจากโศกนาฏกรรมได้