11 ก.พ. 2019 เวลา 05:01 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
INTERSTELLAR กับ ทฤษฏีวิทยาศาสตร์ ที่คุณยังไม่เข้าใจ
หลายคนก็ยังสงสัยและค้างคากับหลายๆ เหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ จนต้องมาค้นคว้าหาข้อมูลกันยกใหญ่ ทั้งเรื่องของ วิทยาศาสตร์ ทฤษฏี ฟิสิกส์ ดวงดาว ความเป็นไปได้ต่างๆ
หนังเรื่องนี้มีความคลุมเครือในหลายๆเรื่อง ให้คนที่ได้ดูนั้น ไปคิดและตีความกันเอาเอง ระหว่างข้อเท็จจริง-ความเชื่อ, เหตุผล-อารมณ์(ความรัก) ศัพท์เฉพาะยุ่งเหยิงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ทฤษฏีสัมพัทธภาพ, กาลอวกาศ, วาร์ป, รูหนอน เป็นต้น ทฤษฏีที่ปรากฏตามหนังไซ-ไฟ ที่เราเห็นมาหลายทศวรรษ และบางทฤษฏีถูกพัฒนามากว่าร้อยปี โดยทฤษฏีและแนวคิดเหล่านี้อาจจะจริงหรือไม่ก็ได้ (แต่ในโลกแห่งฟิสิกส์ บางทฤษฏีเว่อร์ๆ กลับเป็นจริงได้ในบางพื้นที่หรือเวลา) เพราะเป็นเพียงการหาคำอธิบายให้แก่ธรรมชาติที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจ ถึงอย่างไรหลายๆ ทฤษฏีก็ถูกพัฒนาต่อมาเป็นเทคโนโลยีล้ำๆ ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่า มันอาจจะเป็นจริงก็ได้ .. ในอนาคต!
– คอรบครัวคูเปอร์ : คูเปอร์ (พระเอกของเรื่อง) เมื่อโลกเข้าสู่ช่วงกำลังขาดแคลนอาหาร จากอดีตนักวิศวกรและนักบินอวกาศของนาซ่า ในปัจจุบันเขาเป็นชาวไร่ ปลูกข้าวโพด
“เมิร์ฟ” ลูกสาว คูเปอร์
ครอบครัวของเขามี “ทอม” ลูกชาย , “เมิร์ฟ” ลูกสาว (เป็นคนเดียวบนโลกที่ล่วงรู้คำโกหกของดร.แบรนด์ สามารถสัมผัสได้ถึงการสื่อสารผ่านแรงโน้มถ่วงต่างช่วงเวลา และเป็นผู้แก้ปัญหาการเดินทางข้ามกาแลคซี่ได้ในท้ายที่สุด) และ “โดนัลด์” พ่อตาของคูเปอร์ คุณตาเมิร์ฟและทอม .. (ภายหลังทอม มีภรรยา มีลูกสาว 1 คน (เสียชีวิต คาดว่าเกิดจากการแพ้ฝุ่น) และลูกชาย 1 คน)
“ทอม” ลูกชาย คูเปอร์
– ทีมงานนาซ่า : เอมิเลีย แบรนด์ (นักบินอวกาศหญิง เป็นแฟนของเอ็ดมันส์ ลูกสาวของ ดร.แบรนด์) , ดอยล์ หนึ่งในทีมเดินทาง (ตายเพราะถูกคลื่นซัด จากการสำรวจดาวดวงแรก), โรมิลลี่ หนึ่งในทีมเดินทาง (ตายเพราะถูกระเบิดที่ ดร.แมนน์ ติดกับดักเอาไว้)
เอมิเลีย แบรนด์ (นักบินอวกาศหญิง เป็นแฟนของเอ็ดมันส์ ลูกสาวของ ดร.แบรนด์)
– ดร.แบรนด์ พ่อของเอมิเลีย ผู้หมกมุ่นคิดค้นคำตอบในการพามนุษย์โลกอพยพข้ามกาแลคซี่ (แผน A) สามารถแก้สมการแผน A ได้แล้ว แต่ไม่สามารถเป็นจริงได้ในทางปฏิบัติเนื่องจากไม่สามารถแก้ปัญหาตัวแปรแรงโน้มถ่วงได้ จึงโกหกทุกคนว่า “ปฏิบัติการลาซารัส” มี 2 ทางออกคือแผน A (ให้คนไปสำรวจดวงดาวว่าดวงใดอยู่ได้ แล้วเดินทางกลับมาพาคนบนโลกไปอยู่) และแผน B (ใช้ไข่ตัวอ่อนมนุษย์ที่ได้รับการผสมแล้ว ตั้งอาณานิคมเผ่าพันธุ์มนุษย์บนดาวดวงใหม่) เพื่อให้นักบินยังมีความหวังและยอมออกเดินทาง
ดร. แมนน์ ผู้สำรวจดาวดวงที่สอง
– ดร. แมนน์ ผู้สำรวจดาวดวงที่สอง (ก่อนหน้าทีมคูเปอร์จะไป) ที่มีพื้นผิวและท้องฟ้าเป็นหุบเขาน้ำแข็ง เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดของทีม ผู้ทราบเรื่องคำโกหกของดร.แบรนด์มาตั้งแต่ต้น และเมื่อพบว่าดาวดวงนี้อยู่ไม่ได้ก็เขียนรายงานปลอม และส่งสัญญาณกลับทางโลกอยู่ตลอด เพื่อให้ส่งคนมาตามและช่วงชิงยานหนีออกจากดาวดวงนี้
– ทีมผู้ช่วย : ทาร์ส AI ที่มากับทีมคูเปอร์ตั้งแต่ต้น, เคส AI ที่รออยู่บนเอ็นดูแรนซ์ เมื่อทีมคูเปอร์ขึ้นไป, คิปป์ AI ของดร.แมนน์ หมดสภาพเพราะดร.แมนน์ ปิดระบบเพื่อนำเอาพลังงานมาใช้ และถูกเซตให้ตั้งเป็นระเบิด ปลดล็อคโดยใช้คนยืนยัน
– มิลเลอร์ : ผู้สำรวจดาวดวงแรกที่เต็มไปด้วยผืนน้ำ สถานะ : หาตัวไม่พบ สันนิษฐานว่าเสียชีวิตเพราะคลื่นยักษ์ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่พวกคูเปอร์จะเดินทางไปถึง
– เอ็ดมันส์ : แฟนของแบรนด์ ผู้สำรวจดาวดวงที่สาม สันนิษฐานว่ามีสภาพเหมาะสมให้มนุษย์อยู่ได้ สถานะ : เสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุ แบรนด์เป็นผู้ทำหลุมศพจากกองหินให้ในตอนท้ายเรื่อง
– องค์ประกอบของยาน
เอ็นดูแรนซ์ : ตัวยานหลักที่มีลักษณะเป็นรูปวงแหวน หมุนวนเพื่อสร้างพลังงานในการขับเคลื่อน และสร้างแรงโน้มถ่วงจำลองภายในยาน
เรนเจอร์ : ยานสำรวจลำเล็กที่ไว้เดินทางเข้าไปสำรวจในดาว ในเอ็นดูแรนซ์จะประกอบไปด้วย เรนเจอร์ 2 ลำ คือเรนเจอร์ 1 และเรนเจอร์ 2
แลนเดอร์ : ยานสำรวจอีกแบบที่อยู่บนเอ็นดูแรนซ์ มีลักษณะใหญ่กว่าเรนเจอร์ สันนิษฐานว่าเพื่อไว้บรรทุกอุปกรณ์ในการตั้งอาณานิคมบนดวงดาว
ดาวต่างๆที่เกี่ยวข้องในเรื่อง
โลก : ไนโตรเจนในชั้นบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ออกซีเจนลดลง เกิดสภาพแห้งแล้งและพายุฝุ่น
ดาวเสาร์ : ที่ที่มีรูหนอนถูกสร้างอยู่บริเวณใกล้ๆ ตอนท้าย ในอนาคต มนุษย์ได้สร้างสถานีอาณานิคมโคจรรอบๆดาว
ดาวมิลเลอร์ : ดาวดวงแรกที่ทีมคูเปอร์ไปสำรวจ ถูกสำรวจครั้งแรกด้วยทีมดร.มิลเลอร์ มีสภาพเป็นทะเลตื้น และมีคลื่นสูงคอยถาโถมอยู่เรื่อยๆ อยู่ใกล้หลุมดำ : มนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้
ดาวแมนน์ : ดาวดวงที่สองที่ทีมคูเปอร์สำรวจ ถูกสำรวจครั้งแรกด้วยทีมดร.แมนน์ มีสภาพเป็นภูผานำแข็ง ทั้งผืนดินและท้องฟ้า อยู่ใกล้หลุมดำ : มนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้
ดาวเอ็ดมันส์ : ดาวดวงที่สามที่ แบรนด์ได้ไปสำรวจแค่เพียงคนเดียว ถูกสำรวจครั้งแรกด้วยทีมดร.เอ็ดมันส์ มีสภาพเป็นพื้นผิวดินแดง อยู่ห่างจากหลุมดำ : มนุษย์สามารถอยู่ได้
คูเปอร์ เมิร์ฟ ทอม
1. คูเปอร์ พบ แรงโน้มถ่วง (Gravity) ครั้งแรก
เกิดพายุฝุ่น ห้องนอนของเมิร์ฟไม่ได้ปิดหน้าต่าง ทำให้ละอองฝุ่นเข้ามาภายในห้องและเมื่อปิดหน้าต่าง คูเปอร์และเมอร์ฟจึงเห็นละอองฝุ่นที่ตกลงมาเป็นแนวสลับกับช่องว่าง คูเปอร์สังเกต นั่นคือ แรงโน้มถ่วง พบว่าลักษณะของแรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นเป็น รหัสไบนารี่ ซึ่งเมื่อแปลรหัสแล้วพบว่ามันคือตำแหน่งของสถานที่อะไรบางอย่างและสิ่งนั้นนำทางเขาไปพบกับที่ตั้งลับของนาซ่า เขาได้พบกับ ดร.แบรนด์, เอมิเลีย และทีมสำรวจ *ครั้งแรกที่พบ แรงโน้มถ่วง นั้นเป็น รหัสไบนารี่ ส่วนรหัสที่เข็มหน้าปัดนาฬิกาของเมิร์ฟคือ รหัสมอส*
– รหัสมอร์ส (Morse code) : คือวิธีการส่งข้อมูลด้วยการใช้รูปแบบสัญลักษณ์สั้นและยาวที่กำหนดขึ้นเป็นมาตรฐานไว้แล้ว ซึ่งมักจะแทนด้วยเครื่องหมายจุด (.) และ เครื่องหมายขีด (-) ผสมกันเป็นความหมายของตัวหนังสือ ตัวเลข และเครื่องหมายพิเศษต่างๆ บางครั้งอาจเรียกว่า CW ซึ่งมาจากคำว่า Continous Wave จุดและขีดสามารถแปลออกมาเป็นตัวอักษรได้เลย นักวิทยุสมัครเล่นยังมีฝึกกันอยู่
– ไบนารี่ (Binary) : ระบบเลขฐานสอง เมื่อแปลงเป็นสัญลักษณ์ ประกอบด้วยเลขเพียงสองตัวคือ 0 และ 1 เมื่อผสมกันเป็นรหัสจะสามารถแปลความเป็นข้อมูลได้ (** จึงเทียบเคียงว่า “จุด” เป็น “0” ขีดเป็น “1” ได้เช่นกัน **)
2. รูหนอน (wormhole)
ดร.แบรนด์พาคูเปอร์ไปให้เห็นและอธิบายว่าพืชต่างๆเริ่มล้มตาย เหลือแต่ข้าวโพดในปัจจุบัน ซึ่งเดี๋ยวก็จะล้มตายตาม เพราะชั้นบรรยากาศโลกประกอบไปด้วยไนโตรเจน และโรคพืชใช้ไนโตรเจนในการแพร่พันธุ์ เมื่อมันแพร่พันธุ์มากขึ้น ปริมาณออกซิเจนจะลดลงทำให้มนุษย์อยู่ไม่ได้ ดร.แบรนด์เปิดเผยว่า นาซ่ามีแผนจะอพยพคนออกนอกโลกโดยการหาดาวดวงใหม่ เรียกว่า ภารกิจ ลาซารัส
ในห้องประชุม โรมิลลี่เริ่มอธิบายว่า พบความแปรปรวนบางอย่างมาตั้งแต่ 48 ปีที่แล้ว จุดที่ความแปรปรวนเข้มข้นที่สุดคือบริเวณวงแหวนของดาวเสาร์ ซึ่งนั่นก็คือ รูหนอน (wormhole) ที่จะนำไปสู่อีกกาแลคซี่หนึ่ง ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนสร้างขึ้นมา ทำให้พบดวงดาวที่มีศักยภาพทั้งสิ้น 12 ดวง จึงส่งนักสำรวจทั้ง 12 คนไปสำรวจตั้งแต่ 10 ปีก่อน แต่จากสัญญาณไบแนรี่แบบง่ายๆ ที่ส่งกลับมา ได้พบระบบดวงดาวที่น่าสนใจระบบหนึ่งที่มีดาวที่มีศักยภาพอยู่ 3 ดวง ถ้าค้นพบว่าดาวมีศักยภาพที่มนุษย์จะสามารถอยู่ได้จริง นักสำรวจจะเข้าสู่ไฮเปอร์สลีปและส่งสัญญาณไบแนรี่กลับมา
หลังจากนั้นจะมีอยู่ 2 แผน คือแผนเอ พามนุษย์โลกไปอยู่ดาวดวงนั้น จากการค้นพบความแปรปรวนแรงโน้มถ่วงในครั้งนั้น ทำให้พบว่าเราสามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงได้จึงนำมาใช้สร้างสถานีอวกาศที่เตรียมอพยพผู้คนขึ้นไป แต่วิธีการยังไม่สมบูรณ์ ถ้าทำไม่สำเร็จจะมีแผนบี คือใช้ไข่ของมนุษย์ที่ได้รับการผสมแล้วไปสร้างอาณานิคมใหม่บนดาวดวงนั้นเลย
– รูหนอน (wormhole)
เป็นที่รู้จักกันว่า ทางเชื่อมต่อ หรือ สะพานไอน์สไตน์-โรเซน (Einstein-Rosen bridge) เป็นคุณลักษณะที่มีสมมุติฐานของทอพอโลยีของปริภูมิ-เวลาที่จะเป็นพื้นฐานในการเป็น “ทางลัด” ตัดผ่านไปมาระหว่างปริภูมิ-เวลา
ในปี 1935 ไอน์สไตน์และศิษย์ชื่อ นาธาน โรเซน เสนอแนวคิดว่า หลุมดำมีลักษณะคล้านแจกันขนาดใหญ่และลึก จะเชื่อมต่อไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้และจะปราศจากภาวะเอกฐานทำมห้สามารถผ่านช่องทางนี้ได้ ภายหลังจึงได้ถูกเรียกว่า สะพานไอน์สไตน์-โรเซน หรือ รูหนอน ที่เรารู้จักในปัจจุบัน
นักฟิสิกส์ เชื่อว่ามันคือทางลัดเชื่อมระหว่างหลุมดำข้ามไปยังหลุมขาวที่อยู่อีกฟาก แต่จะมีอะไรอยู่อีกฟากนั้น ยังคงเป็นข้อถกเถียงและมีแนวคิดยิบย่อยอีกเพียบ!
3. ในที่สุดเขาก็เดินทางเข้าสู่สู่อวกาศโดยยานเรนเจอร์ ร่วมกับ แบรนด์(เอมิเลีย), โรมิลลี่, ดอยล์ และทาร์ส โดยพวกเขาไปสำรวจดาวทั้ง 3 คือดาวมิลเลอร์, ดาวเอ็ดมันส์ และดาวแมนน์ ข้ามผ่านรูหนอนมายังอีกกาแลคซี่หนึ่ง
– การ์แกนทัวร์ : ในเรื่องหมายถึงหลุมดำ พื้นที่ที่มีความเข้มข้นของแรงโน้มถ่วงสูง ทำให้บริเวณโดยรอบมีการไหลของเวลาช้ากว่าเวลาบนโลกโดยเปรียบเทียบ
– ซิงกูลาริตี้ : จุดสุดท้ายที่อยู่ลึกที่สุดของหลุมดำ เป็นจุดที่มีความเข้มข้นของแรงโน้มถ่วงสูงที่สุด ในเรื่องเป็นจุดที่มี 5 มิติ สามารถส่งผ่านแรงโน้มถ่วงไปยังแต่ละช่วงเวลาต่างๆได้อย่างอิสระ
– โพรบ : เครื่องมือ/ยานลำเล็ก ที่ถูกส่งออกไปเพื่อสำรวจดวงดาว และส่งข้อมูลของสภาพดาวกลับมายังโลก หรือดางดวงอื่น
เมื่อไปสำรวจดวงดาวมา 2 ดวงแล้ว คือ ดาวมิลเลอร์ และดาวแมนน์ พบความล้มเหลวว่า มนุษย์ไม่สามารถไปอยู่ได้จริง และก็เหลือดาวอีกหนึ่งดวงที่ยังไม่ได้ไป คือ ดาวเอ็ดมันส์ ในส่วนของคูเปอร์ก็พบว่าไม่เหลือเชื้อเพลิงพอจะกลับโลก จึงมีแผนจะเดินทางไปดาวเอ็ดมันส์โดยการใช้เชื้อเพลิงขับเคลื่อนของยานเรนเจอร์อีกลำ กับยานแลนเดอร์ บวกกับการใช้ สลิงช็อต จากแรงโน้มถ่วงของหลุมดำ ณ บริเวณ อีเวนท์ ฮอไรซัน ส่งแรงให้ไปจนถึงดาวเอ็ดมันส์ โดยที่ให้ทาร์สบังคับยานแลนเดอร์ ตัวเขาบังคับยานเรนเจอร์ และแบรนด์บังคับเอ็นดูแรนซ์พร้อมกับเคส
– สลิงช็อต : ในเรื่องคือการใช้แรงเหวี่ยงของแรงดึงดูดของหลุมดำเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนยานแทนการใช้พลังจากยานเอง
เมื่อถึงเวลา ทั้งหมดเดินทางเข้าสู่ปากหลุมดำ เมื่อเชื้อเพลิงยานแลนเดอร์หมด ทาร์สก็ปลดยานแลนเดอร์ลงสู่หลุมดำ และคูเปอร์ก็เสียสละให้แบรนด์เดินทางไปดาวเอ็ดมันส์ต่อ โดยปลดตัวเขากับยานเรนเจอร์ลงสู่หลุมดำตามไป ตามกฎข้อที่ 3 ของนิวตันว่า จะก้าวไปข้างหน้า ต้องทิ้งบางอย่างไว้เบื้องหลัง
4
4. สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคูเปอร์ผ่านเข้า หลุมดำ (ฺBlack Hole) ลงสู่ซิงกูลาริตี้ และได้รู้ว่าที่นั่นประกอบไปด้วย 5 มิติ
หลังผ่านเข้าสู่หลุมดำ คูเปอร์ดีดตัวออกจากยาน ลงสู่ซิงกูลาริตี้ ที่นั่นประกอบไปด้วย 5 มิติ ที่ทำให้เขาสามารถเห็นการไหลของเวลา ณ ช่วงเวลาต่างๆภายในห้องนอนของเมิร์ฟหลังชั้นหนังสือ เขาพยายามติดต่อกับเมิร์ฟโดยการส่งแรงโน้มถ่วงไปทำให้หนังสือในห้องตก เป็นรหัสไบแนรี่ว่า STAY
จนกระทั่งทาร์สติดต่อเข้ามา ว่ามันวิเคราะห์ข้อมูลควอนตัมของซิงกูลาริตี้ได้หมดแล้ว แต่ไม่สามารถส่งข้อมูลกลับไปได้ คูเปอร์จึงให้ทาร์สช่วยแปลงข้อมูลเป็นรหัสมอส และถ่ายทอดรหัสนี้ผ่านแรงโน้มถ่วงไปให้แก่นาฬิกาข้อมือที่เมิร์ฟวางเอาไว้บนชั้นหนังสือ เธอสังเกตเห็นการเคลื่อนที่ของเข็มนาฬิกาที่พ่อของเธอให้ไว้ มีจังหวะการเดินขึ้นลงเป็นรหัส เมิร์ฟรับรู้ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่พ่อ(คูเปอร์)กำลังบอก เมิร์ฟจดรหัสจากนาฬิกา เธอสามารถไขปริศนาสมการและช่วยชีวิตคนบนโลกไว้ได้
– หลุมดำ (ฺBlack Hole)
หมายถึงเทหวัตถุในเอกภพที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสง เราจึงมองไม่เห็นใจกลางของหลุมดำ หลุมดำจะมีพื้นที่หนึ่งที่เป็นขอบเขตของตัวเองเรียกว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์ (Event Horizon) ถ้าหากวัตถุหลุดเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่าความเร็วแสงจึงจะหลุดออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง วัตถุนั้นจึงไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไป
– ขอบฟ้าเหตุการณ์ (Event Horizon)
คือขอบเขตของกาล-อวกาศ ซึ่งโดยมากมักเป็นพื้นที่โดยรอบหลุมดำ ที่ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ไม่อาจส่งออกมาถึงผู้สังเกตการณ์ภายนอกได้
– ซิงกูลาริตี้ (singularity)
1
จุดสุดท้ายที่อยู่ลึกที่สุดของหลุมดำ เป็นจุดที่มีความเข้มข้นของแรงโน้มถ่วงสูงที่สุด ในเรื่องเป็นจุดที่มี 5 มิติ สามารถส่งผ่านแรงโน้มถ่วงไปยังแต่ละช่วงเวลาต่างๆได้อย่างอิสระ
5. ครั้งสุดท้ายที่คูเปอร์ได้เจอกับเมิร์ฟ คือตอนอยู่ที่สถานีคูเปอร์ เธอแก่ชรา อายุเกือบ 100 ปีแล้ว (สถานีอวกาศ ที่กำลังโคจรอยู่รอบดาวเสาร์และ กำลังรอเวลาที่จะอพยพประชากรโลกที่เหลืออยู่ไปยังอาณานิคมใหม่) คูเปอร์เดินทางไปที่ห้องพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเมิร์ฟ เตรียมรอพบเขาด้วยการนอนหลับผ่านไครโอสลีป มา 2 ปีแล้ว
– ไครโอสลีฟ (cryosleep) เป็นการนอนหลับโดยลดอูณหภูมิลง แล้วให้กิจกรรมในร่างกายทำงานใกล้เคียงกับสภาวะหยุด(หรือตาย) ในเรื่องอาจจะใช้กับคนที่ใกล้ตาย แต่ในปัจจุบันจะใช้กับคนตายครับ
– ไฮเปอร์สลิฟ (hypersleep) เป็นการนอนหลับตามปกติ แต่ทำในขณะที่ยานเคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสง ผลคือ เมื่อตื่นมาอีกที เวลาบนโลกกับเวลาบนยานจะต่างกันมากตามทฤษฎีสัมพันธภาพ
ดาวแรกที่ลงสำรวจ เต็มไปด้วยผืนน้ำทะเล
6. หลายคนยังสงสัยว่า “เขา” ในเรื่องคือใคร?
ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญา หรือเป็นมนุษย์ในอนาคตเอง ที่เป็นคนถ่ายทอดองค์ความรู้ในการควบคุมแรงโน้มถ่วงมาให้ แต่จากบทพูดในช่วงท้ายตอนที่คูเปอร์หลุดเข้าไปที่ซิงกูลาร์ เหมือนพยายามจะสื่อว่า แท้จริงแล้วเป็นเราเองที่ชักนำให้เรามาที่นี่
7. หลังจากคูเปอร์ส่งรหัสให้เมิร์ฟเสร็จแล้ว พระเอกกลับมายังโลก (สถานนีคูเปอร์) ได้ยังไง?
ในหนังไม่ได้แสดงให้เห็นตรงๆ แต่ผ่านทางคำพูดอย่างเป็นนัยๆ ว่ามนุษย์ในอนาคตสามารถใช้ความรู้จากข้อมูลทางควอนตัมที่คูเปอร์ส่งไปให้เมิร์ฟ สร้างประตูมิติเวลาเชื่อมคูเปอร์กับกาแลคซี่ของเรากลับมาได้ มีฉากหนึ่งหลังจากที่คูเปอร์ผ่านมิติเวลาไปสัมผัสมือของแบรนด์ แล้วกลับสู่ความมืด ล่องลอยอยู่บริเวณดาวดวงหนึ่งที่มีวงแหวน จึงสันนิษฐานว่าถูกเปิดประตูมิติกลับมาใกล้ดาวเสาร์ที่มีสถานีอวกาศโคจรอยู่โดยรอบ
เมิร์ฟ
8. สมการที่ เมิร์ฟ แก้นั้นคือสมการอะไร?
สมการที่ดร.แบนด์ คนพ่อต้องการแก้ คือสมการที่จะอธิบายว่าแรงโน้มถ่วงคืออะไร จะควบคุมมันได้ยังไง ซึ่งในฟิสิกส์จริงๆ มันก็คือ Theory of Relativity (ทฤษฏีสัมพัทธภาพ) ที่ไอส์ไตน์และนักฟิสิกส์ในปัจจุบันพยายามที่จะหามันอยู่นั้นเอง
ในหนังต้องการบอกว่า ที่ดร.แบนด์แก้ได้ มันแก้ได้แค่ครึ่งเดียวอีกครึ่งต้องการข้อมูลที่อยู่ใน ซิงกูลาริตี้ (Singularity) จึงจะสามารถแก้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งในตอนจบด้วยข้อมูลจากคูปเปอร์ ทำให้เมิร์ฟสามารถแก้สมการเกี่ยวกับการควบคุมแรงโน้มถ่วงได้สำเร็จ สามารถเอาสถานีอวกาศไปโคจรอยู่ที่ดาวเสาร์ได้
เนื่องจากว่าสถานีอวกาศคูปเปอร์นั้นมีขนาดใหญ่และมีมวลมากทำให้มันไม่สามารถออกมาจากโลกได้ เพราะต้องใช้พลังงานมหาศาล และเมิร์ฟแก้สมการได้จึงสามารถเอาสถานีอวกาศไปโคจรอยู่ที่ดาวเสาร์, คุมสภาวะแรงโน้มถ่วงให้ไปลอยอยู่แถวดาวเสาร์ได้ แต่สมการถึงขนาดเปิดประตูมิตินั้นยังคิดไม่ได้ รวมทั้งช่วยคูปเปอร์ออกมาจากมิติที่5 ด้วย
ดาวดวงที่ 2 เต็มไปด้วยผืนน้ำแข็ง
9. เมื่อคูเปอร์ เข้าไปยังหลุมดำ ในมิติที่ 5 คูเปอร์เลือกที่จะย้อนเวลาไปอยู่ ในห้องของเมิร์ฟ ในช่วงเวลาตรงนั้นได้อย่างไร? มีหลายคนสันนิษฐานไว้ดังนี้
หนังก็ไม่ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจน ทำให้สันนิษฐานได้ว่า อาจจะเกิดจากการ “จัดให้” ของสิ่งทรงภูมิที่สามารถรับรู้ 5 มิติได้ (อาจจะเป็นมนุษย์รุ่นหลัง หรือสิ่งทรงภูมิอื่นก็ได้) หรืออาจจะเกิดจาก “จิต” ของตัวคูเปอร์เอง ที่ผูกกับเมิร์ฟด้วยความแน่นแฟ้นของความรัก ทำให้ “จูน” จิตไปอยู่ในที่ของเมิร์ฟ ไม่มีคำตอบใดที่แน่นอน เพราะไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าอะไรคือจริงอะไรคือถูก มีแต่จินตนาการของผกก.เท่านั้น
ส่วนเรื่อง เวลา คูเปอร์ไม่ได้เลือก และไม่ต้องเลือก เพราะ ณ สถานที่หลังชั้นหนังสือในห้องเมิร์ฟนั้น “เวลา” เป็นอีก 1 มิติที่เราสามารถเคลื่อนที่ไปตามได้เหมือนระยะทาง ทำให้คูเปอร์สามารถเลือกที่จะไปอยู่ ณ จุดไหนของเวลาก็ได้ในบริเวณตรงนั้น เลยไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า เป็นการย้อนเวลาซะทีเดียว เพราะจริงๆ ตัวของคูเปอร์ไม่ได้ย้อนเวลากลับไป แค่สามารถ “เลือก” เวลาที่จะดูได้ และสามารถสื่อสารได้แค่การส่งผ่านแรงโน้มถ่วงเท่านั้น
รหัสมอร์ส
10. คูเปอร์ เป็นตัวกลาง สื่อสารไปยัง เมิร์ฟ ให้ช่วยโลก!
คูเปอร์ที่หลุมดำ รู้สึกเสียใจที่ตนโดนดอกเตอร์หลอกจึงตั้งใจไปบอกลูกสาวว่า “STAY” ซึ่งหมายถึงอย่าไป โดยดูผ่านตู้หนังสือ พร้อมทั้งร้องไห้ค่ำครวญที่ตัวเองที่โลก ไม่เชื่อลูกสาวเลย แต่ต่อมาเขาสามารถติดต่อกับหุ่นยนต์ได้ และรู้ว่าหุ่นยนต์สามารถส่งข้อมูลหลังหลุมดำไปได้ เลยกระจ่างแจ้งทั้งหมดว่า เขาคนนั้น (สิ่งมีชีวิตทรงภูมิ) ไม่ได้เลือกให้ตนมา แต่เลือกให้ลูกสาวอยู่แทน เพื่อจะได้รับข้อมูลจากตนที่หลุมดำไปช่วยโลก ทีนี้จะทำไงดี ดันไปบอกลูกสาวแล้วว่า STAY (ให้อยู่อย่าไป)
เขาคนนั้น(สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา) เลือกถูกแล้ว ว่าลูกสาวต้องอยู่ช่วยโลก เพราะพอตอนโตกลับมาบ้านอีกครั้ง แทนที่ลูกสาวจะคิดว่า STAY แปลว่า พ่ออยู่ที่นี่นะ อย่าไปไหน แต่เธอกลับคิดต่อยอดไปได้ว่า มันหมายถึง พ่อยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก หากไม่มีชีวิตอยู่ จะส่งสัญญาณมาได้อย่างไร นี่เองทำให้ลูกสาวไปค้นพบสัญญาณจากนาฬิกาจนได้
เรียบเรียง teen.mthai.com
ขอบคุณข้อมูล pantip.com/topic/32829853, นิตยสาร Bioscope
โฆษณา