ช่วงนี้มีสาระ
สรุปเลือกตั้ง62 แบบสั้นๆกระชับ (นี่คือสั้นสุดๆแล้วนะเนี่ย) เนื่องจากกติกาเลือกตั้งในครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเหลือเกินพี่จ๋า ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคนที่มีความเพียรอ่านจนจบเพื่อสิทธิของตัวท่านเอง ใครอ่านจบแล้วช่วยไปอธิบายให้คนที่คุณรักและรักประชาธิปไตยฟังด้วยนะครับ
1. การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่24มี.ค.62 นี้เรียกว่าระบบจัดสรรปันส่วนผสม(Mixed Member Apportionment System) ระบบนี้เคยใช้ในการเลือกตั้งระดับประเทศมาแล้ว 5 ประเทศทั่วโลก อาทิ อัลบาเนีย (1992) เกาหลีใต้ (1996-2000) และเยอรมนี (1949) ปัจจุบันมีเพียงแคว้นบาเดน วุดเดนเบิร์ก ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งในเยอรมนีเท่านั้นที่ใช้ระบบนี้
2. บัตรเลือกตั้งใบเดียว(รักเดียวใจเดียว) บางคนเรียกว่า 3in1 เพราะมีสิทธิ์กาหนึ่งครั้ง แต่คะแนนเสียงที่ได้เป็นการเลือก ส.ส.แบ่งเขตโดยตรง หลังจากนั้นคะแนนจะถูกนำไปคำนวณหา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และยังมีผลต่อการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีอีกด้วย (ก่อนหน้านี้เป็นการเลือกตั้งแบบสองใจ ใบแรกเลือกคนที่รัก อีกใบเลือกพรรคที่ใช่)
3. หมายเลขผู้สมัครในครั้งนี้ ไม่ใช่พรรคเดียวเบอร์เดียวเหมือนสมัยก่อนแล้ว แต่ผู้สมัครแต่ละคนแต่ละเขตจะต้องจับสลากหมายเอง ส่งผลให้ผู้สมัครส.ส.ที่อยู่พรรคเดียวกันแต่คนละเขตจะได้รับหมายเลขที่แตกต่างกันไป และไม่อาจใช้แผนการหาเสียงแบบเบอร์ดียวได้อีก ดังนั้นเพื่อป้องกันการสับสนแนะนำให้จำชื่อพรรคหรือโลโก้พรรค เล็งไว้เลยว่าอยากได้ใครเป็นนายกก็กาพรรคนั้นนะจ๊ะ
4. จำนวน ส.ส. ในสภา 500คนเท่าเดิม แต่สัดส่วนเปลี่ยนไป กล่าวคือ ส.ส.แบ่งเขตจำนวน 350คน และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 150คน (ก่อนหน้านี้เป็น 375:125)
5. คะแนน Vote No ไม่ตกน้ำเหมือนคราวก่อนๆ กล่าวคือผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเลือกตั้งสูงสุดในเขต จะได้เป็นส.ส.ก็ต่อเมื่อคะแนนที่ได้นั้นมากกว่าคะแนนVote No ของเขตเลือกตั้งนั้นๆ
6. การคำนวณจำนวนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ
6.1 การหาคะแนนเฉลี่ยต่อส.ส.1คน
- นำคะแนนที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ ส.ส. ทุกพรรคมารวมกัน แล้วหารด้วยจำนวน ส.ส. ทั้งหมดคือ 500 คน (ไม่รวมบัตรเสียและVote No)
- ยกตัวอย่างง่ายๆ หากมีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 70 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 50 ล้านคน) เมื่อหาร 500 จะได้ผลลัพธ์ 70,000 (Ratio 7หมื่นคะแนนเสียง ต่อ ส.ส.1คน)
6.2 การหาจำนวนส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงจะมี
นำคะแนน ส.ส. เขตรวมทั้งประเทศของแต่ละพรรคที่ได้ หารด้วย 70,000 จะได้จำนวนที่เรียกว่า “ส.ส. พึงจะมี”
6.3 การหาจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ ใช้สูตร จำนวนส.ส.พึงจะมี -จำนวนส.ส.เขต =จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อที่แท้จริง
ตรงนี้แหละที่น่าสนใจ ขอยกตัวอย่าง หากพรรค A ได้รับเลือกส.ส.เขต จำนวน 200คน และเมื่อนำคะแนนเสียงทั้งประเทศมาคำนวณหาส.ส.พึงจะมีแล้วได้ 150 คน สมัยก่อนนี้พรรคนี้จะมีจำนวนส.ส.มากถึง350คน
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ตามสูตร จะเป็น 150-200=(-50) นั่นหมายความว่า พรรคนี้จะไม่ได้รับส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว!!!! นี่คือยุทธวิธีในการสะกัดพรรคใหญ่ๆไม่ให้ได้รับคะแนนเสียงข้างมาก ในขณะเดียวกันพรรคเล็กพรรคน้อยที่ถึงแม้จะมีจำนวนส.ส.แบ่งเขตน้อย แต่จะได้เปรียบโดยมีโอกาสได้ส.ส.บัญชีรายชื่อมากขึ้น เปิดช่องให้ไปจับมือพรรคใดพรรคหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลได้
และนี่เองจึงเป็นที่มาของการรับมือเกมเลือกตั้งด้วยยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย” พรรคใหญ่ๆแยกสาขาออกเป็นหลายพรรค เพื่อให้ได้รับสัดส่วนส.ส.บัญชีรายชื่อ แล้วค่อยมารวมกันจัดตั้งรัฐบาลนั่นเอง
7. การเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ละพรรคต้องเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯให้เสร็จพร้อมขั้นตอนการสมัครรับเลือกตั้ง (สูงสุดพรรคละ3ชื่อ) และเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นได้รับการรับรองจากกกต.อย่างเป็นทางการ พรรคหรือฝ่ายที่มีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งจึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาล หรือได้รับเสียงสนับสนุน 376เสียงนั่นเอง เอ๊ะๆๆๆ แล้วทำไมต้องเป็น 376 ไม่ใช่ 251เหรอ เพราะจำนวนส.ส.มีแค่ 500คนเองนิ คืออย่างนี้ครับ ตามรัฐธรรมนูญปี60 กำหนดไว้ว่า นายกฯไม่จำเป็นต้องเป็นส.ส. และผู้ที่สามารถโหวตนายกฯได้นั้นคือส.ส.500คน ส.ว.250คน (รวมเป็น 750คน มากกว่ากึ่งหนึ่งคือ 376คนนั่นเอง)
หมายเหตุ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งคือผู้ที่มีอายุ18ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง คนที่เกิดก่อนวันที่ 24มีค2544 สามารถออกไปใช้สิทธิ์ได้แล้วนะครับ
- 231
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
