15 ก.พ. 2019 เวลา 22:59
ในการเลือกตั้ง 2562 นี้ คนไทย 50 ล้านคน คือ "ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง" ที่จะออกไปลงคะแนนเสียงเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จำนวน 500 คน ส.ส. ทั้ง 500 คนนี้จะเป็นตัวแทนของคนไทยทั่วประเทศไปโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อีก 250 คน ซึ่งประกอบด้วย ส.ว. ที่เป็นโดยตำแหน่ง 6 คน และได้รับคัดเลือกจาก คสช. อีก 244 คน โดยคนที่จะได้เป็นนายกฯ ต้องได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. และ ส.ว. ทั้ง 750 คน รวมกันอย่างน้อย 376 เสียง
.
อีกไม่ถึง 40 วัน การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในรอบ 8 ปี จะเกิดขึ้น โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ทั่วประเทศไทยมี "ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง" ประมาณ 50 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะได้เลือกตั้งครั้งแรกประมาณ 7 ล้านคน วัยทำงาน 34 ล้านคน และผู้สูงอายุอีก 9 ล้านคน ทั้งหมดคือคนที่จะออกไปลงคะแนนเสียงเลือก ส.ส. 500 คน
.
จากข้อมูลการเลือกตั้งย้อนหลังสองครั้งล่าสุดในปี 2550 และ 2554 พบว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกไปใช้สิทธิ์ประมาณ 75% เมื่อนำตัวเลขดังกล่าวมาคำนวณตามระบบ "จัดสรรปันส่วนผสม" ซึ่งใช้คิดจำนวน ส.ส. ที่แต่ละพรรคการเมืองจะได้รับในการเลือกตั้ง 2562 นี้ พบว่าโดยเฉลี่ยในทางทฤษฎีแล้ว ส.ส. 1 คน ต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนประมาณ 75,000 คน จึงจะได้เข้าไปเป็น "ตัวแทน" ในสภา และโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
.
แต่นอกจาก ส.ส. 500 คน ที่ประชาชนลงคะแนนเสียงเลือกมาแล้ว ยังมี ส.ว. อีก 250 คน ที่มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ ด้วย
.
โดย ส.ว. เหล่านี้มีที่มาจาก (1) เป็นโดยตำแหน่ง 6 คน ได้แก่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (2) คณะกรรมการสรรหา คัดเลือกผู้มีความเหมาะสมจำนวน 400 คน เสนอให้ คสช. เลือกในขั้นตอนสุดท้ายเหลือ 194 คน และ (3) กกต. เปิดรับสมัครตัวแทนจากกลุ่มวิชาชีพต่างๆ ทั่วประเทศ ให้โหวตเลือกกันเองจนเหลือ 200 คน แล้วส่งให้ คสช. เลือกในขั้นตอนสุดท้ายเหลือ 50 คน รวมทั้ง 3 กลุ่ม เป็น ส.ว. ทั้งสิ้น 250 คน
.
ส.ว. 250 คนนี้ จะร่วมโหวตเลือกนายกฯ กับ ส.ส. 500 คน จึงอาจกล่าวได้ว่าเสียงของ ส.ว. 250 คน มีน้ำหนักเท่าๆ กับเสียงของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง "ครึ่งประเทศ" อย่างไรก็ตาม คนที่จะได้เป็นนายกฯ ต้องได้เสียงสนับสนุนจากจาก ส.ส. และ ส.ว. รวมกัน อย่างน้อย 376 เสียง จากทั้งหมด 750 เสียง
โฆษณา