26 ก.พ. 2019 เวลา 08:11
ใครใครก็ต้องมีเรื่องทำผิดพลาด
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ต่อกับมีนาคมของทุกปี. เป็นช่วงที่ละแวกบ้านผม(ลำพูน)เต็มไปด้วยหมอกควัน. ปีนี้ก็เช่นกันชาวบ้านก็นิยมเผาป่า(เข้าใจผิดไปว่า)เพื่อให้เห็ดเผาะออกดอกดี. และชาวบ้านในสวนในนาพื้นราบก็เผาฟางเผาหญ้าแทนที่จะนำเอาไปหมักปุ๋ยหมักเพื่อลดต้นทุนและปรับปรุงดิน. สิ่งเหล่านี้เกิดซ้ำซากกันมาเป็นศตวรรษแล้วจนชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั้งๆที่มันมีผลต่อสุขภาพของตัวเองและส่วนรวม. ตกลงว่ามันเป็นความเข้าใจผิด เป็นความไม่รู้จริง. หรืออื่นๆอีกมากมาย...
ครั้งหนึ่งในที่ทำงานของผมนานมาแล้ว. เช้าวันนั้นผมมีนัดกะลูกน้องที่เป็นเออีช่วงเช้าตรู่. เราจะออกไปขายดราฟท์ครั้งแรกของการออกแบบโลโกคอมพิวเตอร์พีซียี่ห้อหนึ่ง. วันนี้จะต้องพรีเซนต์ให้กับเจ้าของบริษัทและผู้จัดการฝ่ายการตลาด. ผมกับหล่อน(เป็นเออีผู้หญิงครับ) มาตามนัดกันแต่เช้า. หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ขับรถออกมาจากบริษัทพร้อมกับเธอนั่งมาข้างๆ. เมื่อขับรถมาได้สักสิบห้านาที. เออีก็เอ่ยขึ้นมาว่าเธอไม่อยากไปขายงานนี้เลยขอไม่ไปได้มั้ย. เอาแล้วสิครับ. ผมนิ่งไปสักครู่. แล้วก็ตอบไปอย่างหัวเสียว่า. ถ้าไม่ไปก็ลงจากรถแล้วกลับไปที่บริษัทเลย. ผมจะไปขายงานเอง
ยอมรับว่าตอนนั้นโมโหมาก. แล้วผมก็หยุดรถจอดให้เออีผมลงจากรถไป. ส่วนผมก็ขับรถต่อไปยังออฟฟิศของลูกค้า. การขายงานวันนั้นก็ผ่านไปด้วยดี. ผมกลับมาเขียนรายงานเพื่อพัฒนาดีไซน์ในระดับต่อไป. อารมณ์เสียกับเออีคนนี้ไปทั้งวัน หลังจากกลับมาถึงบริษัทฯในออฟฟิศก็เงียบกริบเหมือนกับภาวะก่อนพายุจะมา
คืนวันนั้นผมกลับบ้านไปนอนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น. แล้วผมก็สรุปกับตัวเองว่าผมไม่น่าใช้อารมณ์และไล่ลูกน้องให้ลงจากรถ. รวมทั้งมันยังทำให้ตัวเองอารมณ์ขั่นมัวไปทั้งวัน. ผมควรจะคุยดีดีกับเธอด้วยเหตุผลและบอกถึงหน้าที่ที่ควรจะต้องทำ. และหนีบเธอไปด้วยแม้ผมจะต้องเป็นคนขายงานเองทั้งหมด. เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมจำแม่นและบอกกับตัวเองว่าจะไม่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นกับผมอีก. ผมว่าการจัดการกับปัญหาในขณะที่มีอารมณ์โกรธฉุนเฉียวเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังมากกว่าปกติ
ในความเห็นของผมทุกคนมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้. แต่ไม่ควรบ่อยมีครั้งเป็นครั้งที่สองที่สามที่สี่. แต่ถ้าผิดพลาดแบบเดิมๆเป็นครั้งที่ร้อยที่พันก็ยอมรับเสียเถิดว่าตัวเรา สังคมเราคงไม่ไปถึงใหนไม่สรุปบทเรียน. และขาดการพัฒนาการ.
ช่วงนี้(กุมภาพันธ์ 2562). นอกจากมีข่าวหมอกควันคละคลุ้งไปทั่วประเทศ. ก็ยังมีข่าว โจ๋วัยรุ่นมางานบวชนาคของเพื่อนและโดนขอร้องให้ลดการเปิดเสียงดนตรีแห่นาค. ยกพวกเข้าทำร้ายนักเรียน ครู นักการของโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ในกทม. ที่กำลังทำการสอบ patในระดับประเทศ. รวมทั้งยังบุกขึ้นไปทำร้าย ลวนลามนักเรียนหญิงที่สอบกันอยู่. จนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก. เรื่องนี้มันสะท้อนปัญหาเปลือกนอกอันซับซ้อนที่ซ้ำซากและเห็นแก่ตัวมากกว่าส่วนรวมของสังคมเรา. การขาดความรู้และปัญญาที่จะวิเคราะห์แก้ไขปัญหา. เอาแต่ความเชื่อ อารมณ์. มากกว่าความรู้และแก่นแท้ทางปัญญาว่าอะไรคือแก่นแท้ของการร่วมงานบวชพระสู่ร่มกาสาวพัสต์. เพื่อเรียนรู้พระธรรมและนำไปสู่นิพพานเป็นปลายทาง. ผู้คนที่มางานบวชก็อาจจะดื่มสุรายาเมาเต้นระบำรำฟ้อนมากกว่าที่จะสำรวมและเคารพต่อวัดในร่มเงาแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า. อีกทั้งยังกระทำการบุกรุกทำร้ายผู้อื่นอันเป็นการทำสิ่งตรงข้ามกัน. ผมสงสัยจริงว่าถ้ามาร่วมงานบวชอย่างสงบๆพระจะบวชจริงๆไม่ได้หรือไร. อะไรคือแก่น อะไรคือเปลือกกันแน่
คนเราทำผิดกันได้แต่ต้องนำมาไตร่ตรองพัฒนาตัวเองและแก้ไขมันในที่สุด. หวังว่าเหตุการณ์นี้คงให้อะไรสังคมไทยกันบ้าง. รวมทั้งเป็นบทเรียนของคนต้นเรื่องกันทุกๆคนให้มีสติปัญญาตามมา. และพัฒนาแก้ไขไปสู่สิ่งที่ดี. อันที่จริงสังคมเรามันก็มีเรื่องเดียวกันซ้ำๆซากๆอย่างนี้หลายเรื่องเยอะแยะไปหมด. แต่เมื่อเราอยู่ที่นี่เกิดที่นี่และคงอาจต้องตายที่นี่. ก็อยากจะมีความหวังให้เราพัฒนาเรื่องต่างๆเหล่านี้จนเป็นเมื่องน่ารักน่าอยู่เหมือนรอยยิ้มของพวกเราครับ
 
อ่านเสร็จแล้วก็ทานเอสเพรสโซ่ขมๆสักแก้วนะครับ
แล้วตามด้วยน้ำจืดๆสักแก้วสองแก้ว. จะได้สดชื่นแจ่มใสขึ้นบ้างครับ...
โฆษณา