26 ก.พ. 2019 เวลา 11:26 • ประวัติศาสตร์
ตำนานเจ้าพ่อในประวัติศาสตร์
ปิดฉาก “จุงไช้” มังกรเยาวราชมือพิฆาต “ซิตี๋” คู่บารมี “เฮียเหลา”
2
บ่ายวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา มีพิธีฌาปนกิจ “มนต์เทพ หรือจุงไช้ แซ่โง้ว” ที่วัดมหาพฤฒาราม สี่พระยา บางรัก อาจจะมีคำถามถึงการตายของเขา เพราะเมื่อถึงตรงนี้มือปืน เจ้าพ่อ มาเฟียคงไม่พ้นคมดาบคมกระสุน แต่ไม่ใช่ทั้งสิ้น เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งลำคอ จนถึงวาระสุดท้ายเมื่ออายุ 64 ปีพอดี
วงการมาเฟียที่นักข่าวอาชญากรรมรุ่นเก๋ามักนำมาเล่าสู่กันฟังเสมอก็คือ เรื่องราวของแก๊งมาเฟียเยาวราช ที่หลายครั้งถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ หรือมินิซีรีส์ เป็นที่ติดอกติดใจของชาวบ้าน
ย้อนกลับไปสู่ปี 2532 สภาพสังคมไทยในขณะนั้นยังโลกอีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่คนละด้านกับสุจริตชนทั่วไป นั่นคือโลกแห่งอิทธิพลของเจ้าพ่อมาเฟีย มีทั้งระดับภูธร กับนครบาล โดยทุกสำนักต่างมีเส้นสายโยงใยไปถึงนักการเมือง ตำรวจ ทหารบางคนที่ให้การหนุนหลัง
“เหลา สวนมะลิ” หรือแคล้ว ธนิกุล ถูกชูให้เป็นเจ้าพ่อเมืองหลวงเบอร์ 1 เส้นทางนักเลงผ่านความเป็นความตายมาอย่างโชกโชน ว่ากันว่าอิทธิพลของ “เหลา สวนมะลิ” นั้นบรรดาธุรกิจสีเทาต่างๆ โดยเฉพาะบ่อนทุกแห่งไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ในเมืองหลวงต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้เขา นอกนั้นยังมีสถานบริการแหล่งเริงรมย์ไปจนถึงธุรกิจมืด
หน้าฉากของ “เฮียเหลา” นอกจากเป็นเจ้าของค่ายมวย ส.ธนิกุล แล้วยังมีตำแหน่งนายกสมาคมนักมวยอาชีพแห่งประเทศไทย การเข้าสู่วงการหมัดมวยนี้เองจึงสร้างความขัดแย้ง สร้างศัตรูเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย ย้อนหลังกลับไปค่ำวันที่ 4 มีนาคม 2531 ณ เวทีมวยราชดำเนิน วันนั้นมีการแข่งขันชกมวยเงินล้านโดยทรงชัย รัตนสุบรรณ เป็นโปรโมเตอร์ ที่นั่งเต็มทุกชั้นและเพียบพร้อมไปด้วยแขกเหรื่อระดับวีไอพีของวงการ อาทิ “เหลา สวนมะลิ” กับสมัครพรรคพวกนั่งอยู่มุมหนึ่ง ถัดไปใก้ลกับมุมน้ำเงินปรากฏร่าง “ชัยวัฒน์ พลังวัฒนกิจ” หรือโหงว 5 พลัง นักเลงรุ่นน้องที่กำลังขึ้นชั้นพรวดๆ
5
เสียงเชียร์มวยเฮๆ กับความตื่นเต้นเร้าใจของมวยคู่สำคัญที่กำลังแลกเตะต่อยกันอย่างสนุกสนานจนเสียงระฆังบอกหมดยก ระหว่างนั้นนายชัยวัฒน์ลุกจากที่นั่งเดินมายังมุมน้ำเงินเพื่อต่อรองพนันมวย จังหวะนั้นมือปืนที่รอโอกาสอยู่ก็เดินเข้าหาชักอาวุธปืนจ่อยิงสวนทะลุแว่นตาจนเสี่ยโหงว 5 พลังหงายท้องเสียชีวิตในทันที
1
ช่วงนั้นคงไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้น แฟนมวยหลักพันที่เต็มสนามต่างพากันแตกฮือด้วยความตกใจ ส่วนมือปืนซึ่งทราบต่อมาว่าเป็นญาติทางน้องเมียของนายสีห์ อัศวทรงศักดิ์ หรือ “ซิตี๋” ผู้จัดการค่ายมวย ส.ธนิกุล โอกาสเกิดความโกลาหลหลบหนีไปได้พร้อมๆ กับกลุ่มของ “เหลา สวนมะลิ” เจ้าพ่อเลือดเย็นที่มานั่งดูผลงานด้วยตัวเอง
2
คดีลอบยิงโหวง 5 พลังโด่งดังมากและข่าวต่างพุ่งไปยัง “เหลา สวนมะลิ” ซึ่งออกมาแก้ต่างเป็นระยะว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย ส่วน “ซิตี๋” ก็เป็นเพียงเด็กเก็บขี้หมาในบ้านไม่มีฤทธิ์เดชอะไร ทั้งที่มีข้อเท็จจริงปรากฏก่อนหน้าว่าคนตายกับ “เหลา สวนมะลิ” ขัดแย้งกันเรื่องชิงเก้าอี้นายกสมาคมมวยฯ ต่อมาซิตี๋ถูกตำรวจจับข้อหาใช้จ้างวาน แต่สู้คดีหลุดเนื่องจากขาดประจักษ์พยาน-หลักฐาน
จากผลงานดับคู่แข่งบารมีให้กับนายใหญ่นั่นเอง “ซิตี๋” จึงได้รับความไว้วางใจจาก “เหลา สวนมะลิ” มากขึ้น และกลายเป็นผู้ติดตามราวเงาติดตัวโดยทั้งสองพูดคุยกันด้วยภาษาที่สองคือภาษาจีน และมีรสนิยมเสพสารระเหยเหมือนกันนั่นเอง
3
อย่างไรก็ตาม เมื่อลองค้นประวัติคร่าวๆ ของนายสีห์ อัศวทรงศักดิ์ พบว่ามีความเป็นมาไม่ธรรมดาเช่นกัน โดยเริ่มเข้าวงการมาเป็นคนรับใช้ของ “เฮียล้อ วงเวียน 22” นักเลงรุ่นใหญ่ของเมืองหลวงอีกคนหนึ่ง คอยทำหน้าที่ติดตามและชงกาแฟให้เฮียกิน ต่อมา “เฮียล้อ” เกิดบาดหมางกับ “เหลา สวนมะลิ” ความตายจึงมาเยือน “เฮียล้อ” เร็วกว่าปกติ และมือปืนที่จ่อยิงท้ายทอยเขาระหว่างนั่งจิบกาแฟ คิดบัญชีอยู่ในบ้านพักก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มือปืนคนนั้นก็คือ “ซิตี๋” เด็กหนุ่มรูปร่างล่ำอ้วนชอบสวมชุดเอี๊ยมที่ “เฮียล้อ” ไว้เนื้อเชื่อใจให้มาอยู่ใกล้ตัวนั่นเอง
1
ว่ากันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดถูกกำหนดแผนโดย “เหลา สวนมะลิ” และชีวิตของ “ซิตี๋” ก็เปลี่ยนไปเมื่อมาอยู่กับเจ้านายคนใหม่ จากคนชงกาแฟก็ขึ้นชั้นมาเป็น นักเลงมีชื่อชั้น และขยับเป็น ผจก.ค่ายมวย และด้วยผลพวงของการทรยศหักหลังคราวนั้นส่งผลให้ “เหลา สวนมะลิ” มักจะขอคำปรึกษากับ “ซิตี๋” เป็นประจำหากมีปัญหาใดๆ รวมทั้งการวางงานสังหาร “โหงว 5 พลัง” ด้วยความเจนจัด และไม่เคยไว้ใจใคร เพราะหากข่าวรั่วนอกจากงานไม่สำเร็จ ศัตรูอาจย้อนเกร็ดกลับมาคิดบัญชีได้ “ซิตี๋” เลือกใช้คนใกล้ชิดที่เป็นญาติทางเมีย และเป็นมือปืนใหม่ถอดด้ามแต่ศึกษาดูจนเชื่อว่า “ใจถึง” จึงกำหนดวันตาย “โหงว 5 พลัง” ได้สำเร็จ
2
เมื่อ “ซิตี๋” พ้นความผิด เขาจึงกลับมาเดินสายในฐานะสมุนใกล้ชิดอันดับ 1 ของ “เหลา สวนมะลิ” บ่อนพนันทุกแห่งในกรุงเทพฯ กลายเป็นแหล่งหาเงินของ “ซิตี๋” แม้บ่อนจะเต็มใจจ่ายค่ามาเยือน หรือค่าคุ้มครองให้กับ “ซิตี๋” เที่ยวละ 2 หมื่นบาทแต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับรายได้นี้นัก จึงสร้างความอึดอัดเบื่อหน่ายให้กับบ่อนเล็กบ่อนใหญ่นั่นเพราะ “ซิตี๋” จะลงไปเล่นพนันเอง และเป็นนักพนันนิสัยเสียกล่าวคือ “ได้เอา เสียไม่จ่าย” จนที่สุดวันตายก็มาถึงเมื่อกล้าไปล้ำเส้นถิ่นมังกรเยาวราช
ตีสอง วันที่ 15 ตุลาคม 2532 นายสีห์ อัศวทรงศักดื หรือซิตี๋ พร้อมด้วยนายปราโมทย์ ศรีสุขใจสำราญ ลูกน้องคนสนิทเดินทางไปเล่นพนันกำถั่วที่บ่อนเฮียสี่ ตั้งอยู่ชั้น 2 ตึกแถวเลขที่ 66 ตรอกไทร หลังสุกี้บะหมี่เท็กซัส ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กทม. การเล่นพนันเที่ยวนี้ “ซิตี๋” มาในมุกเก่าๆ คือขอเบิกชิปไปเล่นพนันโดยเที่ยวแรกเบิกไป 3 แสนบาท แต่เล่นจนหมด และมาขอเบิกอีก 1 แสนหมดเป็นรอบสอง แทนที่จะกลับบ้าน “ซิตี๋” ขอเบิกเป็นรอบที่ 3 คราวนี้สมุห์บัญชีปฏิเสธจึงกลายเป็นเรื่อง มีการโวยวายทุบข้าวของจนนักพนันกำถั่วแตกกระเจิง
1
เสียงตึงตังดังไปถึงชั้นล่าง ว่ากันว่าเป็นห้องทำงานของ “ก่งก๊ก” เจ้าพ่อหมายเลข 1 ของเยาวราชที่ครั้งหนึ่งเคยตกลงกับ “เหลา สวนมะลิ” ในเรื่องแบ่งพื้นที่กันทำมาหากินและอย่างล่วงล้ำกล้ำเกินกัน “ก่งก๊ก” ซึ่งรับทราบเหตุการณ์มาโดยตลอด และมองเห็นว่าไม่ใช่แค่การมาสั่วบ่อนกันธรรมดา แต่เป็นการหยามหน้ายอมกันไม่ได้ เพราะหากไม่จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งในฐานะเบอร์ 1 ถิ่นมังกรจีนเขาก็คงตกชั้น เสื่อมเครดิต
1
จังหวะหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น นายมนต์เทพ หรือ จุงไช้ แซ่โง้ว กับนายชาตรี หรือเล็ก แซ่โค้ว สองกุมารจีนลูกน้องคู่กายซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วจึงผลุนผลันวิ่งขึ้นไปเจอ “ซิตี๋” ยืนหันหลังจึงตะโกนเรียกชื่อแล้วยิงใส่ในระยะประชิด 3 นัดซ้อน กระสุนถูกจัดตายทั้งสิ้นคือที่หน้าอก และขมับขวา ส่วนนายปราโมทย์ ลูกน้องซิตี๋ ทำท่าจะเข้าช่วยจึงถูกนายชาตรียิงใส่อีก 3 นัด กระสุนถูกศีรษะ กับต้นแขนตายคาที่ทั้งลูกพี่ลูกน้อง
หลังปฏิบัติการล้มเด็กเจ้าพ่อนครบาล กรมตำรวจในยุคนั้นมี พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ จึงเรียก พล.ต.ต.ธนู หอมหวล รอง ผบช.น.ขณะนั้นให้มารับผิดชอบคดีและใช้มาตรการเข้มข้นปราบปรามผู้มีอิทธิพลซึ่งเหิมเกริมหนักข้อขึ้นทุกวันๆ โดยต่อมาเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมนายชาตรี หรือเล็ก แซ่โค้ว ได้ที่โรงแรมอพอลโล ถนนวิภาวดีฯ ส่วนนายมนต์เทพ หริอจุงไช้ แซ่โง้ว จับได้ที่โรงแรมเกียวอัน สระบุรี
3
เส้นทางสายมาเฟียเมืองหลวง “เหลา สวนมะลิ” มาถึงปัจฉิมบทเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2534 ซึ่งอยู่ในช่วงยึดอำนาจของคณะทหาร “เหลา สวนมะลิ” หรือแคล้ว ธนิกุล ถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธสงครามเอ็ม 79 ยิงใส่รถเบนซ์ประจำตัว และกราดเอ็ม 16 กล่มพรุนทั้งคันขณะไปร่วมงานที่ จ.สมุทรสงคราม นับเป็นการปิดฉากเจ้าพ่อครั้งสะเทือนเลื่อนลั่นที่สุดในประวัติมาเฟียไทย
2
25 ปีผ่านไป จากบ่อนเล็กๆ หลังบะหมี่เท็กซัส เยาวราช ปรับเปลี่ยนเป็นบ่อนขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อ “ซา หลัก เก้า” ดำเนินการโดยเจ้าพ่อเยาวราช “คนเดิม” นับเป็นเรื่องราวด้านมืดอีกด้านที่คล้ายบทภาพยนตร์ดีๆ ที่เราเคยชมกัน บนเส้นทางนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นจุดจบของเจ้าพ่อมาเฟียที่ไม่เคยแก่ หรือเจ็บไข้ตาย แต่ความจริงเรื่องหนึ่งที่ควรศึกษาก็คือ “เจ้าพ่อ” ในยุคดิจิตอลไม่มีใครลากอาวุธสงคราม หรือวางแผนยอกย้อนฆ่ากันไปมาอีกแล้ว จากวันนี้บ่อนซา หลัก เก้า ปิดตัวลงพร้อมๆ กับชีวิตของนายมนต์เทพ “จุงไช้” แซ่โง้ว มือปืนใจเด็ดผู้ไม่ยอมก้มหัวให้กับศัตรูหน้าไหนที่คิดหมิ่นศักดิ์ศรี การดับรัศมีสมุนคู่ใจ “เหลา สวนมะลิ” ส่งผลให้ “ก่งก๊ก จุงไช้” กลายเป็นตำนานนักเลงเยาวราชที่เล่ากันไม่รู้เบื่อ และกลายเป็นทำเลทองไม่มีมาเฟียรุ่นไหนกล้าตอแยอีกต่อไป...
ขอบคุณบทความจากคุณ Angkan Soontornkamolwat
1
โฆษณา