28 ก.พ. 2019 เวลา 09:30 • ประวัติศาสตร์
เปิดประวัติ "ตี๋ ใหญ่" ตอนที่ 2
๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ บุกเข้าปล้น กทม. เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือ นางโฉม หมัดปัญญา กวาดทรัพย์สินเงินสด และทองรูปพรรณไปกว่า ๓๐๐,๐๐๐ บาท
ย่างเข้าต้นปี ๑๔ มกราคม ๒๕๒๐ ตี๋ใหญ่ปล้นรถทัวร์ ของพื้นที่ สภ.อ.คลองหลวง และใช้ด้ามปืนตีศีรษะเจ้าทุกข์รายหนึ่งจนเลือดอาบหน้า และจัดการปลดทรัพย์สินผู้โดยสารทั้งหมดอย่างอุกอาจกว่าครึ่งร้อยและหนีไปอย่างลอยนวล
แต่เงินที่ได้จากการปล้นแต่ละครั้งตี๋ใหญ่มักใช้หมดเพียงไม่กี่วัน นอกจากการนำเงินไปช่วยเหลือครอบครัวแล้ว ตี๋ใหญ่มักใช้เงินหมดไปกับสองสิ่งคือ “ผู้หญิง” และ “การพนัน” โดยเฉพาะ ไฮโล ตี๋ใหญ่ชอบมันเป็นพิเศษ เข้าบ่อนแต่ละครั้งหมดเงินเป็นหมื่น (ในขณะนั้นราคาทองคำมีราคาแค่พันบาทเท่านั้น) ทำให้ตี๋ใหญ่ใช้เงินหมดไปอย่างรวดเร็วปานหว่านหรือพิมพ์เองได้ ทำให้ตี๋ใหญ่ต้องออกไปปล้นแล้วปล้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๐ ตี๋ใหญ่และลูกน้อง ๖ คน บุกไปปล้นร้านทองวิชชุภัณฑ์ กทม.กวาดทองรูปพรรณไปเป็นมูลค่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๐ ตี๋ใหญ่ร่วมกับพรรคพวก บุกปล้นธนาคารกรุงเทพ สาขาสมุทรสาคร ใช้อาวุธปืนจี้ผู้จัดการกับพนักงานขึ้นไปรวมที่ชั้นสอง จากนั้นกลุ่มโจรก็กวาดเงินจากเซฟนับล้านใส่ถุง และยิงปืนใส่นายทินกร พงษ์พานิช ยามธนาคารที่ตัดสินใจกระโดนชั้นสองแจ้งความตำรวจหนึ่งนัด กลุ่มดาวโจรรีบผงะจากเซฟหอบเงินออกจากธนาคารไปขึ้นสามล้อเครื่องบิดหนีไปทางวัดศรีเมือง แล้วสละรถไปลงเรือหนีไปทางแม่น้ำท่าจีนมุ่งสู่ อ.กระทุ่มแบน ท่ามกลางตำรวจนับร้อยที่มากับเรือหางยาวกวดตามติดๆ และดวลปืนสนั่นที่ท่าน้ำท่าจีนราวกับหนังไทยไม่มีผิด การปะทะกันครั้งนี้ส่งผลให้ จ.ส.ต.อนันต์ เกตุนุ่ม และ พล.บุญลือ ประจักษุ ถูกยิงตายคาที ส่วนสมุนตี๋ใหญ่สมุนตี๋ใหญ่ก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ทราบชื่อภายหลังคือ ดนัย หรือ เหล็ง แซ่เอี๊ยะ และอีกคน นายสำอาง สารภีสามล้อ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับและสารภาพหมดเปลือก
นอกจากนั้นยังรวมทั้งอีกหลายคดีปล้นฆ่า ที่เกิดขึ้นหลายจังหวัด บางครั้งเจ้าทุกข์ก็ถูกทำลายสาหัสปานตาย เนื่องจากต่อสู้ขัดขวาง สื่อมวลชนต่างลงข่าวการปล้นของตี๋ใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนตี๋ใหญ่กลายเป็นจอมโจรดังทั่วฟ้าเมืองไทย
แน่นอนมีเหรอว่ากรมตำรวจจะอยู่เฉย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมี พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ นายกฯถึงกับประกาศก้องว่า จะให้ค่าหัว ตี๋ใหญ่เป็นมากถึง ๕๐,๐๐๐ บาท กับใครก็ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย ซึ่งนั้นทำให้ตี๋ใหญ่กลายเป็นโจรที่มีค่าหัวสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา(จำนวนเงินถือว่ามากในขณะนั้น)
ตี๋ใหญ่ก็ยังเป็นตี๋ใหญ่ เขาฉลาด ขี้ระแวง เวลานัดใครเขามักมาก่อน มาช้า หรือไม่มาเลย และไม่เคยไว้วางใจลูกน้องคนสนิทคนไหน ตี๋ใหญ่มีเมียอยู่อย่างน้อย ๔-๕ คนในช่วงเวลานั้น แต่ไม่มีใครเลยที่รู้ที่อยู่ของเขาอย่างแน่นอน เขาไม่เคยบอกใคร และไม่เคยนอนซ้ำกันแม้แต่คืนเดียว ด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่ทำให้จอมโจรหน้าหยกคนนี้ ยังลอยนวลอยู่ได้เหิมเกริม และทุกครั้งเขาก็รอบคอบมากๆ ถึงขนาดว่า ถ้ากินเหล้าหรือเบียร์ ต้องเปิดฝาต่อหน้า เท่านั้นถึงจะยอมกิน รวมทั้งข้าวปลาอาหารต้องตรวจตราละเอียดและมักให้คนอื่นกินก่อนเสมอๆ เพราะเขากลัวถูกวางยา อาวุธคู่กายปืนขนาด ๑๑ มม. ก็ต้องอยู่ติดตัวตลอดเวลาไม่เคยห่างจากตัว แม้แต่เวลาอาบน้ำ จากปล้น กลายเป็นนักฆ่าหน้าหยก เมื่อเสร็จสิ้นการปล้นแต่ละครั้ง หลังจากแบ่งทรัพย์สินที่ได้มาให้ลูกน้องแล้ว ทุกคนจะแยกย้ายกันไปกบดาน เมื่อเงินหมดตี๋ใหญ่ก็ไปตามหาลูกน้องด้วยตนเอง เพื่อร่วมการปล้นหาเงินครั้งใหม่ต่อไป
แน่นอน เงินของเขาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับ ผู้หญิง ไฮโล อย่างไม่อั้น ต่อมา ตี๋ใหญ่ ได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากการปล้น มาเป็นนักฆ่า ความจริง งานรับจ้างฆ่า หรือมือปืน เป็นงานที่ตี๋ใหญ่ไม่อยากทำนัก แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป เพราะตอนนี้ตำรวจตามล่าเขาแทบพลิกแผ่นดิน อีกทั้งเงินหมด และไม่มีงานไหนอีกแล้วที่ง่ายกว่านี้ เสี่ยงน้อยกว่าแต่ได้เงินเยอะ ซึ่งว่ากันว่าช่วงเวลานี้มีผู้เสียชีวิตหลายราย ถูกมือปืนนิรนามยิงตาย
ซึ่งการสืบสวนตำรวจทำให้ทราบว่าตี๋ใหญ่เริ่มพัฒนาตนเองจากโจรไปเป็นมือปืนซะแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดไล่ล่าตี๋ใหญ่ในตอนนั้น ประกอบไปด้วยตำรวจชั้นอ๋อง หัวกะทิ เช่น พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ (ยศในปัจจุบัน – อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล) ,พ.ต.อ.ถวิล เปล่งพานิช, ร.ต.อ.บรรดล ตัณฑไพบูลย์(ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ต่างไล่ล่าตี๋ใหญ่อย่างเมามัน เจ้าหน้าที่ใช้วิธีการหลายวิธีในการหาทางจับกุมตี๋ใหญ่หลายแบบ โดยวางแผนจับกุมทำลายลูกสมุนในแก๊งค์ของตี๋ใหญ่ ทีละคนสองคน และทำตำรวจปลอมตัวไปเข้าแก๊งตี๋ใหญ่ใกล้ชิด โดยลูกน้องตี๋ใหญ่จับได้เด่นๆ ก็มี
๑๑ กันยายน ๒๕๒๐ เจ้าหน้าที่ตำรวจทำ การจับตายเสือจุ่ม(ประจวบ คล้ายมณี) ที่ห้องแถวไม้ ๒ ชั้น เลขที่ ๖๓ เขตดุสิต
ต่อมา นายหมู แซ่เตียว น้องชายตี๋ใหญ่ผู้เดินตามรอยพี่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงหลายนัดและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา
๒๔ กันยายน นายประชา ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมจับในขณะครองผ้าเป็นภิกษุฉันภัตตาหารอยู่ นั้นทำให้สมุนของตี๋ใหญ่เริ่มลดน้อยลง ทำให้ตอนนี้บัญชีสมุนตี๋ใหญ่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการตัวเหลือเพียง นายอนันต์(ลูกกรอก ทองเลิศ), นายจรูญ(แป๊ะ ตระกูลดี), นายอเนก(ตุ้ย ศิริวงศ์) และหัวหน้าใหญ่ตี๋ใหญ่เท่านั้นที่ยังคงรอดจากเงื่อมมือกฎหมายอยู่ในขณะนี้
แต่แม้สมุนตี๋ใหญ่จะลดน้อยถอยลง แต่ทุกอย่างที่ทุ่มเทไป ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ในการเข้าใกล้ชิดกับมหาโจรผู้นี้มากนัก เพราะส่วนมากวิธีการทั้งหมดล้วนคว้ำน้ำเหลว แทบทั้งสิ้น สวนทางกับคดีที่เขาก่อยิ่งมากขึ้น มากขึ้น ตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒ เกือบเป็นวันอวสานของตี๋ใหญ่ เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าเขากบดานอยู่ที่บ้านพักภารโรง ของโรงเรียนวัดเขมาฯ ในอำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นเพื่อนของเขา กำลังของเจ้าหน้าที่กว่า ๕๐ นายเข้าล้อมไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำจนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยในเวลาใกล้สว่าง ที่ถึงเวลาลงมือเข้าจับกุม ในสมัยนั้น รอบๆ โรงเรียน ยังเป็นสวนผลไม้รายล้อม เมื่อตี๋ใหญ่และลูกสมุนสองคนรู้ตัวว่าตำรวจกำลังล้อมเขา แต่ก็ไม่มอบตัว และยังคงเตรียมตัวอยู่ในบ้านเตรียมหลบหนี
ขั้นแรกตำรวจส่งเสียงประกาศให้ตี๋ใหญ่มอบตัวแต่โดยตีไม่งั้นเราจะจับตาย แต่จนถึงฟ้าสว่างจอมโจรและสมุนก็ยังเงียบ ทำให้ตำรวจต้องเปลี่ยนแผนหันมาใช้นายยุทธนา แซ่ตั้ง สมุนโจรที่ตำรวจจับได้ก่อนหน้าไปเกลี้ยมกล่อมตี๋ใหญ่แทน นายยุทธนาที่ถูกตำรวจใช้สายยางผูกตัวไปเจรจาตี๋ใหญ่ เดินเข้าไปเจรจากับลูกพี่นานแสนนานแต่ไม่ได้ผล ตี๋ใหญ่ยอมสู้มากกว่าโดนจับ เขาตะเพิดยุทธนา ขืนกล่อมอีกจะโดนยิงทิ้งซะ ทูตโจรจำยอมถอยเพื่อรักษาชีวิตยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
ขณะเดียวกันตำรวจเริ่มรอเปิดศึก เพราะการล้อมจับกุมนั้น ชาวบ้านแถวนี้ไม่รู้เรื่อง ทำให้เด็กๆ นักเรียนหลายคนเริ่มทยอยกันมาในโรงเรียน ตำรวจเกรงว่าท่าไม่จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ มีหวังมีผู้เคราะห์ร้ายโดนลูกหลงหลายราย
จากนั้นตี๋ใหญ่เริ่มเห็นโอกาส พวกโจรใช้จังหวะนั้นเสี่ยงตายผ่าวงล้อมของตำรวจหนีไปได้ อย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่ตำรวจหลายนายเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายคน ตี๋ใหญ่เลือกวิ่งหนีไปทางถนนใหญ่ ซึ่งตอนนั้นชาวบ้านกำลังคับคั้งเต็มสองฝั่งถนน ซึ่งทำให้ตำรวจไม่ยิงต่อสู้เพราะอาจถูกชาวบ้านได้ จากนั้น จอมโจรก็วิ่งซิกแซกหลบกระสุนปืนที่ซัลโวใส่ราวห่าฝนหนีไปป่าละเมาะเบื้องหน้า ระหว่างชุลมุน ในขณะที่เจ้าหน้าที่สนใจตี๋ใหญ่ สองสมุนแว่บไปซ่อนหลังบ้าน แต่ก็ไม่พ้นสายตาตำรวจ สองโจรถูกตำรวจรวบตัวไว้ได้แต่อนิจจา ตี๋ใหญ่หายตัวไปแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้ยิ่งทำให้ชื่อของตี๋ใหญ่โด่งดังไปอีก จนมีเสียงเล่าลื่อกันว่าตี๋ใหญ่มีอาคม เป็นโจรจอมขมังเวทย์ มีคาถากำบังหายตัวได้ จึงทำให้หลุดรอดจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ไปอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งความจริงแล้วเหตุการณ์ครั้งนี้ตี๋ใหญ่แทบเอาชีวิตไม่รอดเพราะเขาต้องซ่อนตัวในใต้น้ำหลายชั่วโมง โดยอาศัยความรู้สมัยเด็กดำเนินสะดวกใช้ก้านมะละกอเป็นท่อหายใจ นอนซ่อนอยู่ใต้น้ำ
ย้อนกลับมาที่ภายหลังคดีปล้นรถทัวร์ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๐ ต่อมาตำรวจสามารถจับตัวคนร้ายได้ ๓ คน ได้แก่ สมพร ศิริวรรณวงษ์ จรูญ ตระกูลดี อนันต์ ทองเลิศ ยิ่งกว่านั้น ฝ่ายสืบสวนยังสอบปากคำขยายผลถึงขั้นจับกุมอีก ๓ คน จากคดีร้านปล้นแอนนี่จิวเวลรี่ ได้แก่ ณรงค์ คล้ายมณี สมนึก พึงรำพรรณ นางสาวบุญปัน แก้วจันทร์ดี ทั้ง ๖ คนไม่ให้การซัดทอดถึงตี๋ใหญ่ และถูกย้ายไปหลาย สน. เนื่องจากมีประวัติฆ่าคนตายหลายท้องที่
จนกระทั้งวันจันทร์ที่ ๒๑ ก.พ. เวลา ตี ๓ ผู้ต้องหาทั้ง ๖ คนก็แหกห้องขังที่ สน.บางซื่อด้วยวิธีคลาสสิก โดยการใช้ใบเลื่อย (คาดว่ามีพรรคพวกแอบส่งมาให้) ตัดลูกกรงเหล็กช่องทางลมจนขาดและใช้ผ้าขาวม้าผูกต่อกันโหนตัวปีนออกจากช่องทางลมแล้วแหกรั้วสังกะสีทะลุออกไปข้างนอก ทั้งหมดหนีไปอย่างลอยนวลกลับมาที่ทางด้านตี๋ใหญ่ เหยื่อรายต่อๆ มาของตี๋ใหญ่ล้วนแต่เป็นคนรวยทั้งสิ้น เริ่มจากพาพรรคพวกก่อคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่ นายแพทย์ชัยศรี คชสุด ถึงที่ทำงานคลินิกโพธาราม ที่ อ.โพธาราม โดยให้ญาตินำเงินสดถึง ๖ ล้านบาทมาไถ่ตัว แต่ภายหลังตำรวจตำรวจสามารถบุกเข้าไปใช้ตัวประกันไว้ได้ จากนั้นก็ปล้นผู้มีอันกินหลายราย ไล่จาก นายพิชิต โซติวงศ์,นายมนู ธงชัย
นอกจากนี้ยังมีเจ้าทุกข์อีกหลายรายแต่ก็ไม่กล้าแจ้งความ เพราะหวาดกลัวตี๋ใหญ่ เมื่อปล้นดำเนินฯ เสร็จ ตี๋ใหญ่มักหนีเข้ามากบดานกรุงเทพฯ เพราะที่นี้มีแต่คนรู้จัก มักคุ้น และมีญาติห่างๆ ช่วยเหลืออยู่หลายคน ช่วงนั้นชื่อของตี๋ใหญ่ดังกระฉ่อน ในฐานะนักปล้น และการกระทำอย่างอุกอาจเย้นกฎหมายบ้านเมือง หนังสือพิมพ์ ประโครมข่าวอย่างเมามัน ถึงพฤติกรรมปล้นของเขา แน่นอนบางคดีตี๋ใหญ่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ใครละจะสนใจ ขอให้มีข่าวปล้นไม่ว่าใหญ่หรือเล็กเถอะต้องมีชื่อตี๋ใหญ่ใส่เข้าไปด้วยทุกครั้ง และเริ่ม ลงข่าวแล้วว่า ตี๋ใหญ่ฆ่าคนในขณะปล้นไปด้วย แม้ไม่มีหลักฐานว่าตี๋ใหญ่ทำ แต่มันก็ช่วยสิ่งเสริมให้ชื่อของเขาเป็นที่หวาดผวาให้กับประชาชนหวาดผวาไปทั่วประเทศ’ สันนิษฐานกันว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ตี๋ใหญ่มักเลือกปล้นฆ่าไปทั่วแถบบริเวณ จ.ราชบุรีและหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง และบางส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร และไม่เคยคิดปล้นออกนอกพื้นที่แต่อย่างใด
โดยเอกลักษณ์ที่สำคัญและน่าจดจำของตี๋ใหญ่ คือ เขาจะสวมเสื้อลายสก็อต กางเกงยีนต์ลีวายส์ รองเท้าผ้าใบสีขาว สวมแว่นตาเรย์แบนด์ ผูกนาฬิกาโรเล็กซ์ และสูบบุหรี่กรองทิพย์ ในขณะปล้น แว่นตาดำเรย์แบนด์ เขาใส่เพื่ออำพรางใบหน้า และปกปิดไฝเม็ดใหญ่ระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ส่วนนาฬิกานั้นเขาใส่เพื่อปิดรอยแผลที่ครั้งหนึ่งเคยโดนกระสุนปืนยิงถากไปเมื่อตอนปล้นเชียงใหม่ ๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๗ และชอบส่งเสียงขู่เวลาปล้นด้วยน้ำเสียงที่น่าหวาดกลัวทำให้เจ้าทุกข์ไม่กล้าคิดต่อสู้ป้องกันตัว
แต่ก็เสียงเล่าลือกันอีกว่า ในบางครั้งตี๋ใหญ่ก็ปล้นแต่เฉพาะคนรวย และใครเคยช่วยเหลือก็ไม่เคยลืมบุญคุณและจะนำทรัพย์สินที่ปล้นได้มาแบ่งให้ โดยวางทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน นอกจากนี้แล้ว ตี๋ใหญ่ ยังเป็นโจรเจ้าชู้ กล่าวกันว่ามีภรรยาหลายคน เพราะเป็นชายหนุ่มหน้าตาพอใช้ได้และปากหวานคนหนึ่ง โดยตี๋ใหญ่มักโกหกชื่อตนว่าชื่อ แจ็ค บ้าง ไพโรจน์ บ้าง เป็นต้น โดยที่ภรรยาเหล่านี้ซึ่งส่วนมากมักเป็นโสเภณี บางคนแทบไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่า สามีของตนนั้นเป็นโจร!
ติดตามตอนที่ 3 หน้าแฟนเพจนะครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก - rb-story.blogspot.com , www.soccersuck.com , atcloud.com,หนังเรื่อง ตี๋ใหญ่ เรียบเรียงโดย โรจนา นาเจริญ
22
โฆษณา