16 มี.ค. 2019 เวลา 00:10
เลือดข้น คนไม่จางกับครอบครัววอลตัน
เจ้าของ Wal-Mart
ปัจจุบันครอบครัว วอลตัน (Waltons)
เป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดของอเมริกา
จากธุรกิจ Walmart ที่ก่อตั้งในปี 1962
โดย Sam Walton
ซึ่งปัจจุบันทำเงินถึงปีละ 5 แสนล้านเหรียญ หรือ 16.5 ล้านล้านบาทจาก 12,000 สาขาทั่วโลก
1
Bloomberg ประมาณทรัพย์สินตระกูลอยู่ที่ 5.3 ล้านล้านบาท มากกว่าทรัพย์สินที่บิลเกตมี
หรือมากกว่างบบริหารประเทศไทยปี 61 เกือบ 2 เท่า
1
นั่นหมายความว่า
สมบัติของตระกูลนี้สามารถบริหารอาณาจักรของตัวเองได้สบายๆ
ถ้าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของตระกูลวอลตัน
เราคงต้องเรื่มที่ แซม วอลตันผู้ก่อตั้งห้าง Walmart แซมเป็นอดีตลูกชาวนาที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเท่าไรนักในวัยเด็กเค้าจึงต้องรีดนมวัว และทำทุกอย่างในฟาร์มของพ่อ แต่ถึงแบบนั้นรายได้จากการทำฟาร์มก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้จุนเจือครอบครัวทั้งหมดเขาจึงต้องหารายได้เสริมด้วยการรับส่งนิตยสารตามบ้านต่างๆ จนกระทั่งในปี 1945 อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว
2
หลังจากที่แซมปลดประจำการแล้ว
แซมได้เริ่มต้นเปิดร้านโชว์ห่วยเล็กๆขึ้นใกล้ๆฐานทัพด้วยการกู้เงินจากพ่อเลี้ยงตัวเอง และเงินเก็บบางส่วน ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็น Wal-Mart สาขาแรก
1
แซม วอลตัน เปิดวอลมาร์ท สาขาแรกที่ อาคานซัส (Arkansas) ในปี 1962 หลังจากที่แต่งงานกับ เฮเลน เขาก็มีทายาททั้งหมด 4 คน คือ ร็อบ จอนห์ จิม และอลิสโดยตระกูลวอลตันถือหุ้น ของธุรกิจวอลมาร์ทอยู่ถึง 50% และ ในช่วงไตรมาสที่ดีธุรกิจ Walmart ก็จ่ายเงินปันผลให้กับคนในตระกูลนี้ ครั้งละหลายล้านเหรียญ ซึ่งเพียงพอที่คนนึงจะใช้ไปทั้งชีวิตและก็น่าจะทำให้คนในตระกูลนี้ใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้สบายๆ แต่พวกเค้ากลับเก็บเนื้อเก็บตัวและไม่ค่อยออกมาเปิดเผย อะไรสู่สาธารณะมากนัก และวันนี้ Business insider ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา
3
เริ่มต้นที่ทายาทคนแรก
ร็อบ วอลตัน พี่ใหญ่ของตระกูลปัจจุบัน
ดำรงตำแหน่งประธานบริหารของ วอลมาร์ท
กระทั่งปี 2015 เขาก็ลดบทบาทในการบริหารของตัวเองมาเป็นกรมการบริหารของบริษัท ร็อบมีทายาทกับภรรยาคนแรกด้วยกัน 3 คน ก่อนจะไปแต่งงานครั้งที่ 2 กับนิภา เอ้ย!! แคโรไลน์ และหย่าอีกครั้งในปี 2000 ก่อนจะแต่งงานครั้งที่ 3 กับภรรยาคนปัจจุบัน เมลานี่ในปี 2005
ร็อบ ถูกจัดอัดดับจากนิตยสาร ฟ็อร์บ
ว่าเป็นบุคคลที่รวยสุดในโลกอันดับที่ 17 ในปี 2013 และเป็นอันดับที่ 9 ของอเมริกา
นอกจากนี้ร็อบยังเป็นนักสะสมรถโบราณ
ในปี 2013 เขาทำรถ เดโทน่า คูเป้ มูลค่า 495 ล้านบาท หล่นลงจากรถบรรทุกและพังแบบไม่มีชิ้นดี ซึ่งรถคันนี้เป็น 1 ใน 5 คันที่มีอยู่ทั่วโลก
2
ทายาทคนที่ 2 จอนห์ วอลตัน เสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกในปี 2005 ขณะอายุได้ 58 ปี จอนห์ แต่งงานกับคริสตี้ และมีลูกชาย 1 คนชื่อลูคัส จอนห์มอบมรดกจำนวน 17% ให้กับภรรยา โดยส่วนที่เหลือมอบให้กับการกุศลและลูกชาย
1
ทายาทคนที่ 3 จิม วอลตัน ลูกชายคนเล็กของตระกูลวอลตัน ทรัพย์สินโดยประมาณการทั้งหมดจะมีมูลค่าราวๆ 1.4 ล้านล้านบาท มากกว่าทรัพย์ของพี่ชายอย่างร็อบ โดยจากกการจัดอันดับของฟอร์บ ในปีเดียวกันเค้าอยู่ในอันดับที่ 7 ของบุคคลที่รวยที่สุดในอเมริกานำหน้าพี่ชายอยู่ 2 อันดับ
ในด้านชีวิตคู่จิม เป็นคนเดียวในตระกูลที่แต่งงานเพียงครั้งเดียวกับ เรเน่ แม็คแนบ และมีทายาทด้วยกันอีก 4 คน ปัจจุบันจิม ดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริหาร อาเวส แบงค์ ซึ่งเป็นธุรกิจของตระกูล นอกจากนี้เค้ายังเป็นอดีตคณะกรรมการบริหารของวอลมาร์ท จนกระทั่งเปลี่ยนมือให้ลูกชายมาทำหน้าที่นี้แทนในปี 2016
น้องสาวคนสุดท้อง อลิสซ์ วอลตัน
ผู้ครอบครองทรัพย์สินมูลค่า 1.3 ล้านล้านบาท ส่งผลให้เธอเป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดในโลก และเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกอันดับที่ 18 นอกจากตำแหน่งกรรมการบริหารของ Wal-Mart แล้วเธอเคยยังดำรงตำแหน่งในฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน และผู้จัดการเงินสด รวมถึงเป็น ผ.อ. ฝ่ายกิจกรรมการลงทุนของ อาเวส แบงค์ จนกระทั่งในปี 1998 อลิสซ์หอบประสบการณ์ในการทำงานด้านการเงินอย่างโชคโชน มาก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า ลามา ซึ่งเป็นบริษัททำงานด้านการเงินและการลงทุนโดยเฉพาะ และดำรงตำแหน่ง ประธานบริหารและ CEO ในเวลาเดียวกัน
9
แม้จะมีฝีมือด้านการบริหารอย่างโชกโชนแต่เหมือนเธอจะไม่มีโชคด้านความรักเท่าไรนัก โดยเธอแต่งงานและหย่าถึง 2 ครั้ง และยังไม่เคยมีทายาทแต่อย่างใด อลิสซ์เป็นผู้หลงไหลในศิลปะเป็นอย่างมาก เธอเปิดเผยกับ นิวยอร์คเกอร์ ว่าเมื่อตอนเธออายุได้ 10 ขวบเธอได้ซื้อภาพศิลปะชิ้นแรกในชีวิต มันเป็นงานที่วาดขึ้นตามภาพของปิกาสโซ่ ในราคา 66 บาท จนในที่สุดปี 2011 อลิสซ์ได้เปิดพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว ชื่อ คริสตัล บริจส์ มูลค่า 16,500 ล้านบาท และในปี 2014 เธอก็ได้ช็อปภาพของ กอร์เรีย โอคาฟี่ ในราคา 1,465 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาขายภาพวาดจากจิตรกรหญิงที่สูงสุดตลอดกาล
1
หลังการจากไปของอากงแซมในปี 1992 ธุรกิจของ Wal-Mart ก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มแข็งและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และลูกหลานก็ยังช่วยกันบริหารและแตก Line ธุรกิจอื่นๆออกมาพร้อมกับเติบโตต่อไปอีกจนดูไม่มีทีท่าว่าจะมีอะไรมาหยุดความมั่งคั่งของตระกูลวอลตันได้ในปัจจุบัน
แม้จะดูไม่มีดราม่าอะไรให้ติดตามเหมือนละครยอดฮิตในปัจจุบันเพราะพี่รองอย่างเจมส์ ก็เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก แต่เรื่องราวของตระกูล วอลตัน ก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกครอบครัว เพราะทำให้เราได้เห็นว่าการมีสมบัติมากหรือน้อยไม่ได้เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ในครอบครัวเสมอไป
หากมีระบบการจัดการทรัพย์สินที่ดี เช่น สมาชิกในตระกูลวอลตันแต่ละคนมีสัดส่วนความเป็นเจ้าของกิจการผ่านระบบตลาดหุ้น โดยสามารถถือครองและมอบให้ผู้อื่นได้อย่างอิสระ เช่นอลิส ที่บริจาคหุ้นของตัวเองให้กับ “มูลนิธิวอลตัน”ซึ่งทำงานเพื่อสังคมโดยไม่หวังผลกำไรจำนวน 3.7 ล้านหุ้นเป็นมูลค่า 7,425 ล้านบาท โดยไม่ต้องขออนุมัติจากพี่ๆแต่อย่างใด
เมื่อมีการจัดสรรชัดเจน สมาชิกตระกูล วอลตัน ก็สามารถทำงานร่วมกันเพื่อสืบทอดกิจการและความสำเร็จของตระกูลได้อย่างมีความสุขต่อไป
ด้วยรัก
#พูนศักดิ์
โฆษณา