28 มิ.ย. 2019 เวลา 12:42
พุทธมนต์โอสถ...กรมหลวงชุมพร!
ในบรรดายาที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ
ทรงนำมาใช้รักษาผู้ไข้ "ยาชโลมใจ" ขนานดี
ที่ไม่เคยขาดย่ามยาได้เลยนั่นก็คือ "น้ำมนต์"!!!
ww.arjanram.com
ในการเขียนที่ผ่านมา
ผู้เขียนได้กล่าวถึงตำรา "จิตสรีระศาสตร์".
อันเป็นผลงานอันปราดเปรื่องจากภิกษุในสมัยพุทธกาล
อันได้แก่
1 วิปัสนากรรมฐาน /การเพ่งมองดูศพ
(อสุภกรรมฐาน) ความเข้าใจในเรื่อง
"การประสาน / ย่อยสลาย"
1
2 สมถกัมมัฎฎาน / การเพ่งมองวัตถุธาตุ
(กสิณายตนะ) ความสามารถการแบ่งอวัยวะ
"ทวัตติงสาการ" ในร่างกาย
สำหรับท่านที่มีความสนใจพื้นฐานความรู้ดังกล่าว
สามารถย้อนกลับไปทำความเข้าใจได้ใน
"ตำราแพทย์...กรมหลวงชุมพร"
โพสต์เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมา
และ "ตำรายา...กรมหลวงชุมพร"
โพสต์เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2562 ที่ผ่านมา
www.dokkaew.worldpress.com
หรือถ้าหากว่ายังไม่มีพื้นฐาน
ก็สามารถอ่าน "พุทธมนต์โอสถ" ฉบับนี้ก่อน
แล้วค่อยย้อนกลับไปดูตำราแพทย์ทั้ง 2 ฉบับที่ผ่านมา
ก็สามารถเข้าใจได้เช่นกัน
คำถามที่มีขึ้นในใจผู้อ่านหลายๆ ท่านอาจมีว่า
ก็ถ้าในเมื่อเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ
ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์
การแพทย์ จิตสรีระศาสตร์ สมุนไพรไทย กายภาพบำบัด ฯลฯ อยู่แล้วนั้น
แล้วทำไมจึงยังต้องมีการใช้"น้ำมนต์"???
ก็ด้วยเหตุผลว่าในสมัยโบร่ำโบราณนั้น
ผู้คนยังนับถือศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเปนที่ยึดเหนี่ยว
จิตใจอยู่มาก!
หากใช้เฉพาะวิธีการแพทย์แผนใหม่ ก็เกรงจะไม่
"ต้องจริต" ชาวสยามในเวลานั้นเท่าใดนัก
เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
จึงมักทรงนำ "หม้อน้ำมนต์" ตำรับหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า
www.web-pra.com
เอาไปทุเลา "ไข้ใจ" ให้ผู้ไข้มีกำลังใจควบคู่กันไปกับ
การทานยา และยังนำพาเป็นอุบายให้ผู้ไข้ "มีวินัย"
ใส่ใจ "รักษาศีล" คือกินถูก ปฏิบัติตัวถูก รักษาตัวถูก
และเชื่อฟังในสิ่งที่ถูกจากผู้รักษาจนกลับมาลุกนั่ง
ได้ดังปรกตินั่นเอง
การจะเลือกวิธีรักษาคนไข้แต่ละรายของ
เสด็จในกรมหลวงชุมพรนั้น
ก็จะต้องมีการเลือกสรรตามลักษณะสำคัญอันเป็นนิสัยของคนไข้แต่ละรายๆ ไปด้วย
เช่นว่าถ้ามาจากชาติตระกูลดีมีการศึกษา
เสด็จในกรมก็อาจแต่งกายละม้ายคล้ายดอกเตอร์
ใช้ภาพลักษณ์ที่เลิศเลอ สร้างความเชื่อมั่น
ให้กับผู้ไข้นั้นจนหาย
แต่ก็มีผู้ป่วยมากรายที่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ
คนกลุ่มนี้เสด็จในกรมจะไม่ทรงคิดค่ารักษา
แถมยังมีการประยุกต์พุทธมนต์คาถา
มาประกอบเพราะชอบด้วยจริตของชาวบ้าน
ทำให้สื่อสารและสร้างศรัทธาได้ง่ายขึ้น
โดยเมื่อได้ทำการรักษาด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ ประกอบการแพทย์แผนไทยเสร็จแล้ว
พระองค์จะทรงนำบาตรที่มีน้ำอยู่เต็มมาตั้งไว้ตรงหน้า
www.horoscope.thaiza. com
แล้วบรรยายสรรพคุณของธาตุน้ำ
อันเป็นอาโปธาตุ หนึ่งในองค์ประกอบที่มีความสำคัญ
ถึงขนาดตามคำประกาศของหลัก "กสิณายตนะ" ว่า
"น้ำธรรมดานั้นเป็นของเย็น"
"ถ้าจะเป็นให้ร้อนก็ด้วยถูกต้ม"
"ประดุจเหมือนดั่งร่างกาย"
"จะมีผลร้ายก็ต่อเมื่อเตโชธาตุ (ธาตุไฟ) เผาไหม้อยู่"
"แต่หากปล่อยทิ้งไว้ชั่วครู่ หรือได้ยาขนานดี"
"ก็จะกลับมามีสภาพเย็นอันเป็นปกติธรรมชาติ
ของธาตุน้ำ"
"อนึ่ง...น้ำนั้นยังเป็นเครื่องหมายของ
ความสมานสามัคคี"
"คือเป็นสิ่งที่ไม่แยกจากกัน!"
"แม้จะเอาสิ่งใดๆ มากั้นไว้"
"เมื่อยกสิ่งนั้นๆ ขึ้นก็จะมาต่อกันดังเดิม"
"เสมือนผู้ไข้ที่ต้องเสริมเติมธาตุต่างๆ
ในร่างจับวางให้ถูกที่"
"ก็จะมีการประสานกลับมาเป็นปกตินั่นเอง"
"และถึงแม้จะโดนฟันด้วยดาบ!"
"เมื่อผ่านไปเพียงชั่วพริบตา"
"น้ำก็จะกลับมาประสานกันสนิท ไม่มีแม้แต่รอยร้าว"
www.springnews.co.th
ชาวบ้านที่มีความศรัทธา ต่างก็พากันมีกำลังใจ
ปฏิบัติตนอยู่ในวินัยตามที่เสด็จในกรม
ทรงสั่งสอนทุกประการ
มีเหตุการณ์อยู่คราวหนึ่งซึ่งมีคนถึงกับ
เอาไปลือกันว่าเป็นอภินิหาร
คือการที่มีลูกสาวผู้ไข้รายหนึ่งในย่านเยาวราช
วิ่งอาดๆ เข้าไปกราบพระบาทของเสด็จในกรมฯ ถึงในวังเปรมประชากร
แจ้งข้อเดือดร้อนว่าพ่อของตนต้องทนทรมาน
ด้วยเป็นฝีในท้องร้องโอดครวญ
ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า
ฝีในท้องสมัยนั้นรักษายากยิ่งกว่ายาก!
หากว่าเป็นแล้วก็ต้องถึงหามขึ้นศาลาภายในสาม
วันเจ็ดวันเป็นเช่นนั้นแทบทุกราย
แม้จะเป็นความท้าทายต่อชื่อเสียงที่สุ่มเสี่ยง
ของเสด็จในกรมฯ
ด้วยก็ทรงเพิ่งถูกพระเชษฐา "ปลด" ออกจากตำแหน่งอาจารย์โรงเรียนนายเรือเมื่อไม่นานก่อนหน้านั้น!
อันเป็นพิษการเมืองที่พระองค์มิอาจรักษาตนเอง
ให้หายได้!
แต่ก็ยังมิวายมีขัตติยมานะ เห็นคนลำบากไม่ช่วยไม่ได้!
ตัดสินพระทัยเสด็จไปยังบ้านของผู้ไข้รายนั้น พร้อมกับขันน้ำมนต์ และตำรับยาตามแบบฝรั่ง
www.keeppithai.com
เมื่อทรงนั่งลงข้างผู้ป่วย
ทรงวินิจฉัยโรคด้วยความรู้ตำรับหมอฝรั่งที่ครั้งเคยทรงศึกษาเมื่อทรงเป็นนักเรียนนายเรืออยู่ที่อังกฤษ
ทรงพินิจเห็นว่าทางรักษาโรคพอมีอยู่
แต่ที่ดูน่าเป็นห่วง
คือกำลังใจที่ร่วงโรยโหยหดของผู้ไข้ ที่เอาแต่ประชดชะตาฟ้าว่าเหตุใดจึงต้องมาเอาชีวิตตนไปเช่นนี้!
เสด็จในกรมจึงทรงงัดเอาวิธี "พุทธมนต์โอสถ"
ตำรับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
นั่งลงเอาขันน้ำมนเตรียมรด และแบ่งส่วนหนึ่งเอาไว้ให้รับประทานคู่กับยา
นอกจากบรรยายถึงสรรพคุณของ "น้ำ" ดังกล่าวข้างต้น
ให้ผู้ไข้ฟังแล้ว
ยังว่าพระคาถาอันมีคุณ 9 ชนิดซ้ำไปซ้ำมา
ประหนึ่งว่าบรรจุลงในน้ำ เพื่อให้ผู้ไข้นำไปพิชิตโรคร้าย
ซึ่งความจริงเป็นการคลายกังวลให้ผู็ไข้มีกำลังใจเข้มแข็งเสียมากกว่า
พระคาถานั้นคือ
www.palungjit.com
"อิติปิโส นวหรคุณ"
นว - แปลว่าเก้า
หรคุณ - หมายถึงคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
คาถาบทนี้จึงเสมือนนำเอาพระคุณของ
พระพุทธเจ้าทั้ง 9 ประการ
มาพิชิตผลาญโรคที่ราญรอญจนผู้ไข้นั้นเอง
ประกอบด้วยคาถาง่ายๆ แต่ทรงความหมายอันยิ่งใหญ่ไพศาลเพียง 9 พยางค์ดังนี้
"อะ" คือ อะระหัง
หมายถึง พระผู้มีพระภาคเจ้า
"สัง" คือ สัมมาสัมพุทธโธ
หมายถึง ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
"วิ" คือ วิชชาจรณสัมปันโน
หมายถึง ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ
"สุ" คือ สุคะโต
หมายถึง ผู้เสด็จไปแล้วด้วยดี
"โล" คือ โลกะวิทู
หมายถึง ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลก
"ปุ" คือ อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
หมายถึง ทรงเป็นสารถีที่ฝึกบุรุษอย่างที่ไม่มีผู้ใดยิ่งกว่า
"สะ" คือ สัตถา เทวะมะนุสสานัง
หมายถึง ทรงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
"พุ" คือ พุทโธ
หมายถึง ผู้รู ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
"ภะ" คือ ภะคะวาติ
หมายถึง ผู็มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์
รวมกันเป็น "หัวใจพระอิติปิโส" ว่า "อะสังวิสุโลปุสะพุภะ"
www.pramuangnue.com
เป็นกลบทกลกลอนเพื่อสอนให้คนในสมัยโบราณมีศรัทธาถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างรวบรัด
ก่อนที่จะจัดการอบรมสั่งสอนหลักสูตรที่มีความหลากหลายลึกซึ้งต่างๆต่อไป
ดังปรากฎในคำกลอนโบราณท่านว่า
พระอิติปิโส...นะวะหอระคุณมี
อุปเท่ห์และพิธี...ทั้งเก้าบทท่านกล่าวมา
เสกใช้ได้มากมาย...เหลือหลายจะพรรณนา
ลงตะกรุดลงผ้า...ทั้งเสกแป้งและทำผง
ใช้ได้มากอนันต์...ทั้งเลขยันต์ทางอยู่คง
ตามเจตนาจง...ระลึกตั้งภาวนา
นับถือมั่นกันได้...สมดังใจปรารถนา
ขอกล่าวพรรณนา...แต่ย่อๆพอสมควร
เสกน้ำทำน้ำมนต์...ประเสริฐล้นมหาศาล
ขับไล่โรคภัยพาล...ลมพัดลมเพเป็นสัจจัง
ท่องบ่นมนต์อย่าย่อ...น้อยๆ พอเสกขลัง
เริ่มต้นแต่อะสัง...วิสุโลปุสะพุภะเอยฯ
เสด็จในกรมหลวงชุมพรมิได้เพียงแต่สอน "อุปเท่ห์" เป็นกำลังใจแต่ผู้ไข้เพียงเท่านี้
แม้แต่มนต์พิธีก็ยังมีการประยุกต์นำเอาหลักคำสอน
ตามหลัก "กสิณายตนะ" ฝ่าย "สมถกัมมัฎฎาน"
ของภิกษุในสมัยโบราณ
ว่าด้วยการประสานธาตุต่างๆ ของร่างกายอันได้แก่
ดิน น้ำ ลม ไฟ
www.ounamilit.com
โดยใช้อุบายเสริมพลังใจแก่ผู้ไข้
ให้ระลึกในใจนอนประนมมือระลึกถึงพระคุณ
ของพระพุทธเจ้าทั้ง 9 ประการ
และเสด็จในกรมฯ จะทรงเป็นผู้ประสาน "ธาตุ"
และ "คุณพระพุทธเจ้าทั้ง 9" ลงในน้ำ
โดยจุดเทียนภาวนาจิตเหนือน้ำ
โดยให้มีความหมายว่า
ลมจากคาถา - แทนวาโยธาตุ (ธาตุลมในร่างกาย)
น้ำในขัน - แทนอาโปธาตุ (ธาตุน้ำในร่างกาย)
เทียน - แทนปฐวีธาตุุ (ธาตุดินในร่างกาย)
ไฟ - แทนเตโชธาตุ (ธาตุไฟในร่างกาย)
เป็นอุบายคล้ายการนำเอาพระคุณของพระพุทธเจ้า
ทั้ง 9 เข้ารวมไว้ใน "ขัน"
อันเสมือนเป็น "ขันธ์" หรือ "อินทรีย์" หรือ "สังขาร"
ของผู้ไข้ ที่ได้รับการช่วยเหลือจาก "การรวมธาตุ"
ในพุทธมนต์โอสถ
เมื่อผู้ไข้ได้รับการบำบัดทั้งจากยาขนานฝรั่ง
การแพทย์แผนไทย ประกอบกับการใช้
"พุทธมนต์โอสถ"
ก็บังเกิดความสดชื่นทั้งทางกายและทางจิต
ประดุจมีชีวิตใหม่
ก็ด้วยการบูรณาการ "ศาสตร์ส่วนพระองค์"
ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
ผู้เป็นที่รักยิ่งของชาวสยามผู้นี้เอง!
www.keeppithai.com
เนื้อหาจาก
กฤติยาคม กรมหลวงชุมพรฯ : วันชนะ
พุทธมนต์โอสถ : เทพย์ สาริกบุตร
คู่มือพระคณาจารย์ : รวมพระคาถาและบทสวด
ตำราพรหมชาติ : ศักดิ์สิทธิ์ สิทธินันท์
เรียบเรียงใหม่โดย
//The Chariot
โฆษณา