23 มี.ค. 2019 เวลา 14:18 • บันเทิง
ตำนานป่าหิมพานต์ (Legendary of Himmaphan)
ในสมัยก่อน เมื่อครั้งนั้นโลกยังมีลักษณะแบนคล้ายหลังเต่า มีเสาค้ำจุนโลกในยุคนั้นตั้งชี้สูงขึ้นไปยังดวงอาทิตย์ พื้นโลกเต็มไปด้วยสรรพสัตว์นานาชนิด มีการเข่นฆ่ากันอย่างปกติ ไร้เมตตา ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง และพื้นที่ส่วนใหญ่ยังปกครองด้วยป่า ซึ่งเราเรียกโลกนั้นว่า “โลกาหิมพานต์”
2
ป่าหิมพานต์เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่มากมาย โดยมีการจัดหมวดหมู่ประเภทออกเป็นกลุ่มๆ สัตว์ปีก สัตว์น้ำ และพวกที่อยู่บนบก ใจกลางของป่าหิมพานต์ซึ่งเข้าไปในป่าลึกนั้น มีเสาค้ำจุนโลกอยู่ พื้นของเสานั้นมีซากปลาขนาดใหญ่ล้อมพันไว้ มีชื่อว่าปลาอานนท์ซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่ในอดีตเคยรองรับโลกไว้ ห่างไกลออกไปไม่เท่าไหร่
มีระมาดตัวหนึ่งผู้มีพละกำลังมหาศาลที่สุดในโลกาหิมพานต์ ซึ่งไม่มีผู้ใดต่อกรเรื่องกำลังกับระมาดตัวนี้ได้ แม้แต่ พญานาคผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ หรือพญาครุฑผู้มีอำนาจ
ระมาดเหลียวมองไปพบกับเทพกินรีผู้เลอโฉม จึงนึกอยากจะเชยชม กินรีจึงรีบบินหนี ระมาดเกิดโทสะ ไล่จับ แต่กินรีมีความคล่องตัวสูงจึงหลบหลีกได้เรื่อยไป ระมาดหยิบก้อนหิน ต้นไม้ไล่ขว้าง ไล่ล่า จากแรงกำลังของระมาดทำให้สั่นสะเทือนไปทั่ว เดือดร้อน พญาครุฑทราบเรื่อง จึงเข้าขวาง
ระมาดยิ่งจับไม่ได้ก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้น ซ้ำยังมีคนมาขัดขวาง ระมาดจึงรวบรวมพละกำลังทั้งหมดพุ่งเข้าต่อกร การต่อสู้ทำให้พื้นน้ำสั่นสะเทือน ปลาน้อยใหญ่ล้วนเดือดร้อนพญานาคจึงขึ้นไปหมายหยุด พญาครุฑเมื่อเห็นพญานาคศัตรู ก็ตกใจนึกว่าพญานาคหมายสู้รบกับตน จึงเสียท่า ถูกระมาดพุ่งชนประทะกับพญานาค จนสิ้นชีพ แรงประทะทั้ง 3 และแรงมหาศาลของระมาดชนกับเสาค้ำจุนโลก จนเสาค้ำจุนโลกเอียงและไปกระทบกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงอาทิตย์แตกแยกเป็น 2 โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดความร้อนขึ้น
เนื่องจากพระอาทิตย์แยกเป็น 2 ไม่มีกลางคืน มีแต่ท้องฟ้าลำสีส้ม น้ำระเหยแทบเหือด เหล่าสัตว์หิมพานต์จึงได้พยายามหาทางขจัดเภทภัยครั้งนี้ กบิลปักษา ผู้มีลักษณะเซ่อซ่า จัดเป็นชนชั้นต่ำ ได้แต่เหลียวมองการประชุม เนื่องจากแอบหลงชอบกินรี นั่งแกะสลักหินรูปนางกินรีทุกเพลา พร่ำเพ้อถึงนางให้ วเนกำพู เพื่อนพี่รู้จักกันมานานและสัตว์เนรมิตที่กบิลปักษาเลี้ยง นาม มนุษาสิงห์ การประชุมไม่มีทีท่าในทางที่ดี ทุกเผ่าพันธุ์ ต่างอยากจะแสดงความสามารถ ทั้งลนลาน ทั้งตื่นตระหนก พญานาคผู้ปราดเปรื่องคิดได้ว่า ต้องทำลายเสาเพื่อที่เสา จะได้ชนพระอาทิตย์อีกดวงดีดไปไกล จึงถอดดวงอิทธิฤทธิ์แล้วซัดเข้าไปที่เสา เพื่อที่จะพังเสา แต่กลับไม่เป็นผลสำเร็จ นางกินรีพยายามที่จะให้ทุกคนผ่อนคลาย จึงเล่นดนตรีและร่ายรำ เป็นที่งดงามและสะกดทุกสายตา รวมทั้งกบิลปักษาผู้ต้อยต่ำ ยิ่งทำให้กบิลปักษาหลงใหล
เหล่าคชสีห์ แลสิงห์ ต่างใช้พละกำลังหมายทำลายเสา แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ สิ่งมีชีวิตเริ่มสิ้นใจจากความร้อนไปเรื่อยๆ แม้แต่ มนุษาสิงห์ สัตว์เลี้ยงของกบิลปักษาก็ใกล้จะสิ้นใจ พญานาคจึงนึกถึงคำกล่าว ว่าสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งได้นั่นย่อมเกิดจากหัวใจ แต่ไม่มีผู้ใดกล้า พิสูจน์ กล้าที่จะลอง แม้แต่พญานาคผู้ทรงเดช กินรีจึงเสนอตัวเข้าแลก หากมีใครผู้ใดสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ได้จากความงดงามของนาง ซึ่งเป็นที่หมายปองของทุกผู้ในป่าหิมพานต์ กลับทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้น เมื่อบรรดาสัตว์ต่างเริ่มสู้รบ กับเพื่อแย่งชิงนาง กลายเป็นสงคราม กบิลปักษา ก้มหน้า มือกุมหัวใจ และมองที่มือ พร้อมกับกล่าวว่า “ข้ามีเพียงแค่มือเปล่า แต่จะยอมเข้าไปเผชิญความยิ่งใหญ่ เพื่อจะคอยประคองตัวนางนั้นไว้ ข้ายอมไม่ได้ให้ผู้ใดแย่งชิง ไม่ว่าจะเป็นสรรพชีวิต แม้นแสงอาทิตย์แผดเผา แม้นต้องสู้กับเหล่าพญาผู้สูงศักดิ์” กบิลปักษากล่าวพร้อมบินขึ้นไปบนนภา เขาใช้มือควักหัวใจที่อกออกมาพร้อมกับตะโกนว่า”แม้นข้าจะมีเพียงมือเปล่า แต่สิ่งที่คืออาวุธของข้า ก็คือ หัวใจ ขอทำเพื่อทุกสิ่งบนโลกา ข้าขอเรียกมันว่า ความเสียสละ” เมื่อกล่าวจบหัวใจในมือกบิลปักษากลายสภาพเป็นดาบและพุ่งเข้าไปหาเสาค้ำจุนโลก พร้อมๆกับที่ร่างของกบิลปักษาร่วงหล่นสู่พสุธา ดาบแห่งความเสียสละพุ่งเข้าเสียบที่ร่างของปลาอานนท์ เกิดแสงเปล่งประกาย สั่นสะเทือนทั่วโลกาหิมพานต์ เสาค้ำจุนล้มลงและกระแทกกับพระอาทิตย์จนถูกดีดลอยไกลออกไป ส่วนดวงอาทิตย์อีกดวงที่แยกออกมากลับเริ่มดึงดูดผืนพสุธาเข้าหา แปรเปลี่ยนโลกาจากหลังเต่า กลับกลายเป็นรูปลักษณ์ที่เป็นวงกลมรี
2
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง ร่างของกบิลปักษาที่ไร้หัวใจและวิญญาณแล้วในเพลานั้น ถูกโอบอุ้มด้วยนางเทพกินรี ตั้งแต่วินาทีนั้น กบิลปักษาทำให้โลกได้รู้จักคำว่า ความเสียสละ ซึ่งเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นโลกใบใหม่ และกลับกลายเป็นปกติสุข และส่วนระมาดเกิดความสำนึกผิดในการกระทำของตัวเอง จึงกลับใจผันตัวเองจากกินเนื้อเป็นกินพืชแทน และบำเพ็ญจิต และรักสงบนับแต่นั้นมา แลเปลี่ยนชื่อเป็นแรด ในปัจจุบัน
ตำนานป่าหิมพานต์ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขา หิมพานต์ หรือหิมาลายา (หิมาลัย) คำว่า “หิมาลายา” นั้นเป็นคำที่ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่าสถานที่ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภูเขาหิมพานต์ประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีปมีเนื้อที่ ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๐ ไมล์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ ๙,๐๐๐ โยชน์ ประดับด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด มีสระใหญ่ ๗ สระคือ ๑ สระอโนดาต ๒ สระกัณณมุณฑะ ๓ สระรถการะ ๔ สระฉัททันตะ ๕ สระกุณาละ ๖ สระมัณฑากิณี ๗ สระสีหัปปาตะ บรรดาสระใหญ่ทั้ง ๗ นั้น สระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง ๕ ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอด มีส่วนสูงและสัณฐาน ๒๐๐ โยชน์ กว้างและยาวได้ ๕๐ โยชน์
กบิลปักษาเป็นสัตว์ประหลาดกึ่งนกกึ่งลิง โดยมีปีกนกติดอยู่ที่หัวไหล่ และ มีหางเหมือนนก โดยปกติระบายสีกายเป็นสีดำ ลักษณะครึ่งลิงครึ่งนกศีรษะถึงเอวเป็นลิงจากเอวลงไปเป็นนกมีปีก เป็นลิงประหลาดในเรื่องรามเกียรติ์ไม่มี เป็นสัตว์ผสมใหม่
กินรี และ กินร เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ ร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก มีปีกบินได้ ตามตำนานเล่าว่าอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เชิงเขาไกรลาศ นับเป็นสัตว์ที่มีปรากฏในงานศิลปะของไทยมาก ส่วนในวรรณคดีไทยก็มีการอ้างถึงกินรีด้วยเช่นกเป็นสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายของทางชมพูทวีปครับ พวกสิ่งมีชีวิตแปลก มักถูกกำหนดให้อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ซึ่งตำแหน่งปัจจุบันตรงกับ ป่าบริเวณเชิงเทือกเขาหิมาลัย
1
พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
ครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งนกอินทรี ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “สุบรรณ” ซึ่งหมายถึง “ขนวิเศษ” ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ
คำว่า “ระมาด” ในภาษาเขมรแปลว่าแรด ระมาดเป็นสัตว์หิมพานต์ที่ มาจากสัตว์ที่มีตัวตนอยู่จริง แต่อาจจะเพี้ยนไปบ้าง เพราะระมาด หรือแรดเป็นสัตว์ ป่าหายาก ศิลปินไทยในสมัยโบราณไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ระมาดหน้าตาเป็นอย่างไร จึงได้แต่วาดตามคำอธิบาย ระมาดที่ปรากฎในศิลปะไทยจึงดูคล้ายกับตัวสมเสร็จ ซึ่งมีจมูกเป็นงวงสั้นๆ ดูน่าจะเป็นพันธุ์ Malayan Tapir ที่มีอยู่ในเขตตะวันตกของประเทศไทย
1
วเนกำพู เป็นสัตว์ผสมระหว่างลิงกับหอยครึ่งบนเป็นลิง ครึ่งล่างเป็นหอย อาศัยอยู่ในน้ำ กินผลไม้เป็นอาหาร
1
สิงฆ์นับได้ว่าสัตว์ในป่าหิมพานต์ส่วนใหญ่จัดอยู่ในหมวดสิงห์ คงเป็นเพราะสิงห์เป็นสัตว์ที่ดูสง่า และน่าเกรงขาม สิงห์ในตำนานหิมพานต์สามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ ชนิดหลักๆ คือ ราชสีห์ และ สิงห์ผสม ราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีพละกำลังสูง ราชสีห์มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชนิดคือ บัณฑุราชสีห์ กาฬสีหะ ไกรสรราชสีห์ และ ติณสีหะ ส่วนสิงห์ผสมนั้นมีอยู่มากมาย โดยปกติสิงห์ผสมคือสัตว์ประสมที่มีลักษณะของ ราชสีห์กับสัตว์ประเภทอื่นนอกเหนือจากที่มีอธิบายไว้ว่ามีกายสีม่วงอ่อน สิงฆ์มีลักษณะเหมือนราชสีห์ทั่วไป
1
คชสีห์ เป็นสิงห์ผสมที่มีกายเป็นสิงห์ และมีช่วงหัวเป็นช้าง ตามตำรากล่าวว่าคชสีห์มีพลังเทียบเท่าช้างและสิงห์รวมกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขาม คชสีห์มีลักษณะคล้ายสัตว์หิมพานต ์อีกชนิดหนึ่งชื่อทักทอ
สุกรนที สัตว์ผสมระหว่าง หมูกับปลา ท่อนบนจนถึงเอวเป็นหมูจาเอวลงมาเป็นปลา อาศัยอยู่ในน้ำ
หงส์ เป็นนกในวรรณคดีไทย มีขนสีเหลืองอร่าม เป็นนกที่สง่างามและมีความสวยงาม มีการนำความงามของหงสฺไปเปรียบกับผู้หญิง
มัจฉามังกร เป็นสัตว์ผสมระหว่างมังกรกับปลา ครึ่งบนจาถึงเอวเป็นมังกรจากเอวลงมามีร่างเป็นปลา จะอาศัยอยู่ในน้ำ
ปลาอานนท์ ในสมัยก่อน คนมีความเชื่อกันว่า ใต้พื้นโลกลงไป มีปลาตัวขนาดใหญ่มหึมาหนุนรองรับโลกไว้ เรียกชื่อปลานั้นว่า ปลาอานนท์ เวลาที่ปลาอานนท์พลิกตัวแต่ละครั้งก็จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ปัจจุบันเราทราบแล้วว่าแผ่นดินไหวเกิดขึ้นมิใช่เพราะปลาอานนท์ แต่เป็นเพราะเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่ จึงเกิดการสั่นสะเทือน
บทสนทนา
 
หลังจากเหล่าสรรพสัตว์ต่างรู้ว่าจะเกิดหายนะแก่โลกที่ตนอาศัยอยู่ จึงเกิดการประชุมโดยไม่แยกแยะมิตรศัตรูขึ้น การประชุมเพื่อแก้ปัญหาในครั้งนี้ ไม่มีทีท่าในทางที่ดี ทุกเผ่าต่างต้องการที่จะแสดงความสามารถของตนให้ประจักษ์แก่สายตาของทุกตน พญานาคผู้ปราดเปรื่องจึงออกตัวหมายจะทำลายเสาค้ำจุนโลกานั้น
พญานาค : “ข้าขอใช้ อิทธิฤทธิ์ของข้า ดวงจิตพญาสมุทร!!!”
 
พลังจากดวงอิทธิฤทธิ์ของพญานาคพุ่งไปยังเสาค้ำจุนโลกาที่เอนเอียง แต่ไม่เกิดผลใดๆ เหล่าคชสีห์ แลสิงห์ ต่างใช้พละกำลังหมายจะทำลายเสาแต่ไม่เกิดผลสำเร็จแต่อย่างใดเช่นกัน ทำให้เหล่าสรรพสัตว์ต่างรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง นางกินรีซึ่งไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆจึงพยายามที่จะให้ทุกคนผ่อนคลาย จึงเล่นดนตรีและร่ายรำ เป็นที่งดงามและสะกดทุกสายตา รวมทั้งกบิลปักษาผู้ต้อยต่ำ ยิ่งทำให้กบิลปักษาหลงใหล
1
กินรี : “พวกท่านจงไตร่ตรองให้ดี อย่าได้ผลีผลาม ข้าจะเล่นดนตรีให้พวกท่านผ่อนคลายเอง นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้”
พญานาคผู้ปราดเปรื่องจึงนึกถึงคำกล่าวว่าพญานาค : “สิ่งที่จะแปรเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งได้นั้น ย่อมเกิดจากหัวใจ หากแม้นผู้ใดยอมสละได้ หายนะในคราวนี้ก็คงแคล้วคลาดในที่สุด หาเช่นนั้นไม่ตัวพวกเจ้าเหล่าสรรพสัตว์คงต้องถึงกาลอวสานเป็นแน่แท้
คชสีห์ :“หากต้องเสียหัวใจ ก็เท่ากับต้องสิ้นชีพไม่ใช่รึท่านพญานาค หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอเป็นเป็นตนที่ไม่ใช่ก็เพียงพอแล้ว เพราะข้ายังไม่อยากวายชีวา”
1
พญานาค : “ข้าคิดว่าคงต้องมีใครซักตน ยอมสละจึงจะสามารถแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ได้”
สิงห์ : “หากเช่นนั้นแล้ว ทำไมท่านไม่สละชีพของท่านเองล่ะ ท่านพญานาค ?”
หงส์ : “สามหาวไปแล้วนะเจ้าสิงห์! พูดอย่างนี้เท่ากับดูหมิ่นท่านพญานาคมิใช่รึ!”
คชสีห์ : “นางหงส์ เจ้าพูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้า จะเป็นผู้ยอมสละชีพของเจ้าหรือไร”
หงส์ : “ข้ามิได้แปลความเยี่ยงนั้น เพียงแต่…”
สิงห์ : “ถ้าเช่นนั้นในขณะนี้ผู้ที่ควรแก่การเสียสละ คงต้องเป็นผู้นำของเหล่าสรรพสัตว์สัตว์ในตอนนี้มิใช่รึ”
พญานาค : “หากชีวิตของข้า ต้องหาไม่เหล่าสรรพสัตว์ในท้องน้ำท้องมหาสมุทรคงอยู่กันไม่ได้เป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้นข้าคงไม่อาจสละได้…”
กินรี : “ข้านั่งฟังพวกท่านอยู่นาน พวกท่านทั้งหลายไม่ต้องมีผู้ใดยอมสละหรอก หากต้องมีผู้ใดยอมสละ ข้าขอยอมสละเอง ตัวข้าเป็นกินรีผู้อ่อนแอ หากหัวใจของผู้อ่อนเเออย่างข้าสามารถช่วยโลกานี้ไว้ได้ข้ายินดียอมสละให้”
 
ด้วยความงามของเทพกินรี ที่อยากจะหยุดหายนะในครั้งนี้ ทำให้สถานการณ์แย่ลง
คชสีห์ : “อะไรกัน! เทพกินรี เจ้างดงามเช่นนี้ข้าคงยอมไม่ได้หรอกให้เจ้าต้องพลีชีพด้วยกาลนี้”
พญานาค : “ข้าเสียดายความงามของเจ้านะ เทพกินรี เจ้า”มาเป็นของข้าดีกว่า ก่อนที่โลกานี้จะสูญสิ้น ข้าขอครอบครองตัวเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
สิงห์ : “ท่านพญานาคทำเช่นนี้ หมายจะไม่รับผิดชอบเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นสินะ หากใครที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เทพกินรี ก็ต้องเป็นข้าสิ”
พญานาค : “เจ้าคิดจะขวางข้ารึเจ้าสิงห์”
สิงห์ : “ใช่แล้ว ไหนๆโลกาแห่งนี้ก้อจะสูญสิ้นอยู่แล้วข้าขอครองครองตัวนางก่อนที่จะหาไม่ก็เพียงพอแล้ว”
คชสีห์ : " ท่านพญานาค หากทำเช่นนี้ก้อเท่ากับเปิดศึกกับข้าแล้ว ข้าคงยอมท่านมิได้อีกแล้ว”
พญานาค : “ถ้าเช่นนั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ ท่าน!!!”
1
กินรี : “ท่านทั้งหลาย อย่าทำเช่นนี้เลย ข้ายินดีพลีชีพในครั้งนี้เอง ทำไมพวกท่านถึงเป็นอย่างนี้ ข้ายอมสละด้วยตัวข้าเองนะ ไม่ได้ต้องการให้พวกท่านมาแย่งชิงตัวข้า…”
นางเทพกินรีได้แต่นั่งโศกเศร้าเสียใจ เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดสู้รบกันเพื่อแย่งชิงตัวนาง กลายเป็นสงครามที่ไม่อาจแก้ไขได้ ทันใดนั้นเอง กบิลปักษา ที่ไม่มีปากเสียงใดๆในการประชุมได้กล่าววาจา พร้อมกำมือกุมหัวใจไว้
1
กบิลปักษา : “ข้ามีเพียงแค่มือเปล่า แต่จะยอมเข้าไปเผชิญความยิ่งใหญ่ เพื่อจะคอยประคองตัวนางนั้นไว้ ข้ายอมไม่ได้ให้ผู้ใดแย่งชิง ไม่ว่าจะเป็นสรรพชีวิต แม้นแสงอาทิตย์แผดเผา แม้นต้องสู้กับเหล่าพญาผู้สูงศักดิ์”
กินรี: “เจ้ากบิลปักษา…”
 
กบิลปักษาโผบินขึ้นไปในนภา ใช้มือควักหัวใจที่อกออกมาพร้อมกับตะโกนว่า
กบิลปักษา : “แม้นข้าจะมีเพียงมือเปล่า แต่สิ่งที่คืออาวุธของข้า ก็คือ หัวใจ ขอทำเพื่อทุกสิ่งบนโลกา ข้าขอเรียกมันว่า ความเสียสละ”
เมื่อกล่าวจบหัวใจในมือกบิลปักษากลายสภาพเป็นดาบและพุ่งเข้าไปหาเสาค้ำจุนโลก พร้อมๆกับที่ร่างของกบิลปักษาร่วงหล่นสู่พสุธา ดาบแห่งความเสียสละพุ่งเข้าเสียบที่ร่างของปลาอานนท์ เกิดแสงเปล่งประกาย สั่นสะเทือนทั่วโลกาหิมพานต์ เสาค้ำจุนล้มลงและกระแทกกับพระอาทิตย์จนถูกดีดลอยไกลออกไป ส่วนดวงอาทิตย์อีกดวงที่แยกออกมากลับเริ่มดึงดูดผืนพสุธาเข้าหา แปรเปลี่ยนโลกาจากหลังเต่า กลับกลายเป็นรูปลักษณ์ที่เป็นวงกลมรี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง ร่างของกบิลปักษาที่ไร้หัวใจและวิญญาณแล้วในเพลานั้น ถูกโอบอุ้มด้วยนางเทพกินรี
กินรี : “เจ้าช่างเป็นผู้กล้าหาญ ข้าขอขอบคุณเจ้านะ ความรักที่เจ้ามีให้กับข้ามันช่างดูใหญ่ยิ่งนัก”
ส่วนระมาดเกิดความสำนึกผิดในการกระทำของตัวเอง จึงกลับใจผันตัวเองจากกินเนื้อเป็นกินพืชแทน และบำเพ็ญจิต และรักสงบนับแต่นั้นมา แลเปลี่ยนชื่อเป็นแรด ในปัจจุบัน
โฆษณา