26 มี.ค. 2019 เวลา 10:54 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
แมงกะพรุนที่เป็นอมตะ "Turritopsis dohrnii"
ในทางวิทยาศาสตร์ระบุช่วงหนึ่งของวงจรชีวิตแมงกะพรุนว่า ‘เมดูซ่า’ (Medusa) หรือ ‘อีฟีรา’ (Ephyra)ซึ่งไปพ้องกับตำนานปกรณัมของกรีกอย่างจงใจ
https://www.reddit.com/r/NatureIsFuckingLit/comments/9khklm/turritopsis_dohrnii_the_immortal_jellyfish_it/
ก่อนหน้านี้วิทยาศาสตร์มักมองข้ามแมงกะพรุนมาตลอดหลายร้อยปี จากที่พวกมันไม่มีสมองส่วนกลาง ร่างกายมีส่วนประกอบเป็นน้ำถึง 98% การจะทำความเข้าใจชีวิตแมงกะพรุนเป็นเรื่องเหลือกำลังของคนสมัยก่อน
เวลาผ่านไป วิทยาการก้าวหน้ายิ่งขึ้น เราพบว่าแมงกะพรุนมีพฤติกรรมซับซ้อนและรับรู้การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมระดับลึกซึ้ง สามารถแหวกว่ายในน้ำโดยใช้พลังงานอย่างประหยัดที่สุด
เรารู้จักแมงกะพรุนส่วนใหญ่ในขั้นที่มันเป็นเมดูซ่า (Medusa)แล้ว แต่อีกสถานะหนึ่งที่ลี้ลับไม่แพ้กัน คือขณะที่มันยังเป็น ‘โพลิป’ (Polyp) ซึ่งมีสัณฐานเหมือนดอกไม้ทะเลขนาดจิ๋วเกาะอยู่ใต้ก้อนหิน หรือไม่ก็ถูกคลื่นกวาดเกยตื้น พวกมันเป็นสมาชิกอันชุกชุมของมหาสมุทร คอยช่วยเหลือสัตว์อื่นโดยเป็นอาหารของระบบนิเวศ แต่นักวิทยาศาสตร์ยัง ‘โนไอเดีย’ ว่าจะหาพวกมันเจอที่ไหน
1
https://onedio.co/content/this-jellyfish-may-actually-make-humans-immortal-14252
เรื่องราวแมงกะพรุนอมตะ (Immortal jellyfish) ถูกจุดติดขึ้นครั้งแรกในปี 1988 โดยนักศึกษาชีววิทยาทางทะเลที่ไปเก็บตัวอย่างแมงกะพรุนจากท่าเจนัว (Genoa) ในประเทศอิตาลี เรื่องราวความบังเอิญเกิดขึ้น เมื่อความขี้ลืมของเขาทิ้งเหล่าแมงกะพรุนไว้ในถังในคืนวันศุกร์โดยไม่ได้เก็บเข้าตู้แช่
เมื่อถึงวันจันทร์ก็ต้องผงะ เมื่อเหล่าแมงกะพรุนที่เป็นเมดูซ่าได้อันตรธานหายไปจากถังทั้งหมด! แต่แท้จริงพวกมันไม่ได้หายไปไหน แต่เปลี่ยนเป็น ‘โพลิป’ (Polyp) เหมือนดอกไม้ทะเลที่เล็กจิ๋วหลิวนั่นเอง
เป็นที่รู้กันว่าแมงกะพรุนมีวงจรชีวิตที่เปลี่ยนรูปร่างไปในแต่ละช่วงชีวิต จากไข่ที่ผสมแล้วของแมงกะพรุนโตเต็มวัยที่มีลักษณะเป็นถุงตัวอ่อน (Larva) ไปยึดเกาะกับหิน จากนั้นจะค่อยๆ พัฒนาเป็นโพลิปและกลายเป็นขั้นเมดูซ่าที่โตเต็มวัยพร้อมผสมไข่กับสเปิร์มต่อไปจนครบวงจร
แต่สิ่งที่นักชีววิทยาหนุ่มพบกลับพิสดารกว่า เพราะแมงกะพรุนกลุ่มนี้ไม่น่าจะมีการขยายพันธุ์รวดเร็วตามวงจรชีวิตที่เราเคยรู้จักในเพียงไม่กี่คืนเท่านั้น แต่มันเหมือนกับแมงกะพรุนมีการเติบโตแบบ ‘ย้อนกลับ’ คือแทนที่จะแก่ กลับอ่อนเยาว์ลงกลายเป็นเด็ก
👉แต่แมงกะพรุนหลายสายพันธุ์กลับไม่เล่นตามกฎวงจรชีวิตนี้ บ้างข้ามจากขั้นโฟลิปไปเลย อีกสายพันธุ์ก็ข้ามการเป็นเมดูซ่าเช่นกัน หรือคงสถานะเป็นโฟลิปอยู่อย่างนั้น กลายเป็นว่าวงจรชีวิตของแมงกะพรุนมีความยืดหยุ่นสูงมากกว่าที่ใครคาดคิด หลังจากนั้นนักวิจัย Stefano Piraino จากมหาวิทยาลัย Salento ในประเทศอิตาลีพบแมงกะพรุนอมตะกลุ่มเดียวกันที่มีชื่อว่า Turritopsis
วงจรชีวิตของ Turritopsis ที่สลับไปมาได้ไม่ยึดติดกับวงจรชีวิตเดิม จาก A Silent Invasion 2009
พวกเขาศึกษาชีวิตมันอย่างใกล้ชิด พบพฤติกรรมที่แมงกะพรุนพัฒนาจากขั้นโพลิปเป็นเมดูซ่า และจากเมดูซ่ากลับไปเป็นโพลิปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ไม่ตาย อันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ลองจินตนาการว่า คุณพบผีเสื้อที่สามารถกลับไปเป็นดักแด้หรือถอยหลังกลายเป็นหนอนได้ตลอดช่วงชีวิตของพวกมัน และเหนือสิ่งอื่นใด ‘พวกมันเป็นอมตะจากอายุขัย’ อย่างไรก็ตามชีวิตของมันยังถูกทำลายได้จากการถูกกิน บี้ให้ตาย หรือติดเชื้อ
http://submergemag.com/tag/turritopsis-dohrnii/
ในปี 2016 เกิดเหตุบังเอิญ (บังเอิญอีกแล้ว!) เมื่อนักศึกษาชาวจีน Jinru He ลืมดูแลแมงกะพรุนพระจันทร์ (Moon jellyfish) เขาพบมันลงไปนอนแน่นิ่งใต้ก้นบ่อ ร่างกระจุยเป็นชิ้นๆ ถ้าคนอื่นเห็นก็คงตักไปทิ้งแล้ว แต่นักศึกษาคนนี้เลือกจะจับตาดูร่างแมงกะพรุนต่ออีกหลายเดือน ก็ต้องตกตะลึงเมื่อร่างของแมงกะพรุนค่อยๆ ซ่อมแซมตัวเองอีกครั้ง ไม่ต่างจากนกฟีนิกซ์ที่เกิดใหม่จากเถ้าธุลี หนวดค่อยๆ งอกใหม่กลับไปสู่ร่างโฟลิป
เซลล์ของมันล้วนเป็นเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) ที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตอีกเรื่อยๆ ราวกับไม่มีขีดจำกัด เซลล์กล้ามเนื้อของ Turritopsis สามารถเปิด/ปิดยีนได้ ทำให้เซลล์เหล่านี้ย้อนกลับได้หลายครั้ง
ซึ่งหากเราสามารถไขความลับนี้ได้ วิทยาการแพทย์สมัยใหม่อาจค้นพบกระบวนการรักษาที่เกี่ยวกับเซลล์เสื่อมสภาพได้ อาทิ โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) หรือโรคมะเร็งที่เซลล์เนื้อร้ายเติบโตอย่างต่อเนื่อง หากเรานำความรู้ที่ได้จากแมงกะพรุนมาใช้เปิด/ปิดยีนเจริญเติบโตเซลล์มะเร็ง ก็อาจพบทางสว่างในการรักษามะเร็งที่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยต่ำ
ล่าสุดพบว่าแมงกะพรุนสายพันธุ์ Turritopsis ที่พบในญี่ปุ่น ปานามา ฟลอริด้า สเปน ล้วนเป็นสายพันธุ์เดียวกันราวกับฝาแฝดที่ทำสำเนามา และสามารถเจริญเติบโตในทุกมหาสมุทรทั่วโลกโดยมีพฤติกรรมเบียดเบียนระบบนิเวศน้อยมาก และทำหน้าที่เป็นอาหารให้กับสัตว์ทะเลมากกว่า
นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเซลล์ต้นกำเนิดชาวญี่ปุ่น Shinya Yamanaka และ Kazutoshi Takahashi ได้ทดลองนำยีนของแมงกะพรุนอมตะไปฉีดในผิวหนังหนูทดลอง ด้วยการนำโปรตีนที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการแสดงออกหรือไม่แสดงออกของยีนที่เรียกว่า ทรานสคริปชันแฟคเตอร์ (Transcription factors)ไปจับกับเส้น DNA เพื่อควบคุมการเปิดปิดของยีนคล้ายกลไกในแมงกะพรุน พบว่าสามารถควบคุมเซลล์ผิวหนังของหนูให้ย้อนกลับได้ ซึ่งอาจมีส่วนช่วยให้นักวิจัยเลี้ยงเซลล์ประสาท เซลล์เลือด เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ให้กลับมางอกใหม่ได้ ผลงานวิจัยนี้ส่งผลให้นักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้รับรางวัลโนเบลในปี 2012
ยังมีแมงกะพรุนอีกหลายสายพันธุ์ที่ซุกซ่อนความมหัศจรรย์ที่รอความบังเอิญ (หรือความขี้ลืม) เพื่อไปให้ถึงหัวใจของการตั้งคำถาม
👉ชีวิตแมงกะพรุนสอนใจเราได้อย่างดีเยี่ยมราวกับสัจธรรมบทหนึ่งที่ธรรมชาติมอบให้
“ทำชีวิตให้ง่ายเข้าไว้ เพื่อพร้อมเติบโตได้ใหม่ในเวลาที่เราแตกสลาย”
ขอบคุณข้อมูลจาก
โฆษณา