3. ค่าลดหย่อนจากประกันชีวิตและการลงทุน
3.1 เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป หรือ เบี้ยฝากแบบมีประกันชีวิต = ตามที่จ่ายจริงแต่ ≤ 100,000 บาท ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้สามารถหักค่าเบี้ยประกันจะหักได้สูงสุด 10,000 บาท แต่ถ้าหากคู่สมรสมีรายได้จะหักสูงสุดได้ 100,000 บาท
3.2 เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง = ตามที่จ่ายจริงแต่ ≤ 15,000 บาทและเมื่อรวมกับข้อ 3.1 แล้วต้อง ≤ 100,000 บาท
3.3 เบี้ยปะกันสุขภาพพ่อแม่ ตนเอง = ตามที่จ่ายจริงแต่ ≤ 15,000 บาท
3.4. กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) = 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ ≤ 500,000 บาทและต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 7 ปีปฎิทินด้วย ปีนี้เป็นปีสุดท้ายสำหรับ LTF แล้วครับ
3.5 เงินประกันสังคม = ตามที่จ่ายจริงแต่ ≤ 9,000 บาท
3.6 เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ = 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ ≤ 200,000 บาท มีรายได้ละเอียดดังนี้
- ระยะเวลาคุ้มครอง ≥ 10 ปี
- ทำกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย
- กำหนดช่วงอายุของการจ่ายผลประโยชน์เมื่อเรามีอายุตั้งแต่ 55-85 ปี หรือมากกว่านั้น โดยมีการจ่ายผลประโยชน์สม่ำเสมอเป็นรายงวดและต้องจ่ายเบี้ยประกันครบก่อนได้รับผลประโยชน์
3.7 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข./กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน =15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ ≤ 500,000 บาท
3.8 กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) = 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ ≤ 500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- ซื้อติดต่อกันทุกปี (แต่ถ้าผิดเงื่อนไขสามารถผิดได้ 1 ปี)
- ซื้อเป็นจำนวนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี หรือ 5,000 บาท
- ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวม ≥ 5 ปี และอายุครบ 55 ปี จึงจะสามารถขายได้
3.9 กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ตามที่จ่ายจริงแต่ ≤ 13,200 บาท
โดยค่าลดหย่อมรวมข้อ 3.6 – 3.9 ≤ 500,000 บาท