8 เม.ย. 2019 เวลา 03:42 • ธุรกิจ
ออกแบบชีวิต ก่อนออกแบบรายได้
แนวคิดในการเลือกประกอบอาชีพของบุคคลหรือนักศึกษาจบใหม่ ส่วนใหญ่มักตั้งเป้าไปที่รายได้ของอาชีพนั้นๆเป็นหลัก โดยอิงจากกระแสสังคมที่ตั้งขึ้นมาว่า จบในวุฒิปริญญาตรี เงินเดือนจะต้องได้ประมาณเท่านั้นเท่านี้ และงานที่ได้ส่วนมากก็มักจะไม่ตรงกับสื่งที่เรียนมา บางคนเงินเดือนถึงตามที่ตัวเองปราถนา ก็ทนๆกันไป..ก้มหน้าก้มตากันไปตามมีตามเกิด แต่กับบางคนที่หางานที่ให้ผลตอบแทนไม่ได้ตามที่ต้องการก็วิ่งหาต่อไป ไม่จบไม่สิ้น โดยยังยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่เรียกว่าเงินเดือน.. รู้ทั้งรู้ว่างานนั้นถึงจะเงินดี แต่ทำแล้วมีความทุกข์ (กู)ก็ยอม เห็นเค้ามีรถก็อยากมีบ้างนี่หว่า เห็นเค้ามีบ้านก็อยากได้ไปกะเค้าด้วย เออเพื่อนมันมีบัตรเครดิต 3-4 ใบมันดีจริงๆอยากมีกับเค้าบ้างรูดปรึ๊ดสะดวกสะบาย เดี๋ยวพอมีเงินเดือนเยอะหน่อยก็จ่ายได้เองแหละ ไม่มีปัญหา(มึงแน่ใจนะ) มันเลยเป็นตรรกะ ความคิดที่ฝังอยู่ในกบาลของคนส่วนมากที่ยังไม่พัฒนาตัวเอง
ทีนี้ลองมาดูอีกมุมหนึ่งบ้างดีกว่า กับบุคคลที่ต้องทำธุรกิจต่อจากที่บ้าน ผมพอจะรู้จักเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ขอเอาประสบการณ์ชีวิตของเค้าคนนั้นมาเล่าให้อ่านเพื่อเป็นตัวอย่าง.. เค้าคนนี้ก็ดำเนินชีวิตเหมือนกับทุกๆคนนั่นแหละ จบ ม.ปลาย เรียนต่อมหาวิทยาลัย วันว่างๆก็ช่วยงานที่บ้านเล็กๆน้อยๆ คนมันเห็นทุกวันตั้งแต่เกิด ก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับอาชีพของพ่อของแม่ ไม่รู้สึกผูกพันธ์เท่าไหร่ เห็นปัญหาห่าเหวต่างๆที่พ่อกับแม่เจอมาทั้งชีวิต “ไม่ไหวหว่ะ กูหนีดีกว่า ปัญหาที่แก้ได้ยากกูไม่เอาหรอก เรียนจบไปทำงานเป็นนายหน้าขายหุ้นดีกว่า เงินต้องดีแน่ๆ(คิดเองเออเอง)” พอเรียนจบปั๊บ รับปริญญาปุ๊บ ก็เร่งอ่านหนังสือเตรียมสอบเพื่อเป็นนายหน้า อ่านตั้งแต่เช้ายังค่ำ วันดีคืนดี พ่อเค้าก็มาบอก”เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะเปิดร้านให้นะ ไม่ต้องไปสอบแล้วนายหน้าอะไรนั่น เป็นเถ้าแก่หน่ะดีแล้ว กูทำได้มึงก็ต้องทำได้” เด็กหนุ่มก็เลยตอบกลับไปพร้อมกับใบหน้าเหยเกรวมกับอารมณ์งุนงงว่า”เอาก็เอา”
จุดพลิกผันมันก็เริ่มมาจากตรงนั้น ตรงที่เค้าไม่ได้ออกแบบชีวิตที่เค้าอยากให้เป็น เด็กคนนี้ต้องมาทำตามที่พ่อแม่ออกแบบให้ แน่นอนเงินดีรายได้ดี แต่...ชีวิตเค้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น รับแรงกดดันมากขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคำพูดจากปากของพ่อกับแม่ของเค้าคำว่า”ทุกๆสิ่งที่สร้างมามันเป็นของลูก มันไม่ไปไหนหรอก ถึงจะเหนื่อยแต่มันก็เป็นของๆเราเอง” เด็กคนนี้ก็ได้แต่ยักหน้าหงึกๆที่เต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลไม่รู้จักจบจักสิ้น หยดเหงื่อร่วงลงพื้นพร้อมกับกำลังใจที่เริ่มอ่อนแรง เค้าทำได้แค่คุยกับตัวเองว่า”นี่กูกำลังทำอะไรอยู่วะ มันใช่wayของมึงเหรอ มึงจะต้องทนอีกนานแค่ไหน”
ปัจจุบันเด็กหนุ่มคนนั้นบอกกับผมคำเดียวว่า”ทนไม่ไหวแล้ว” เค้าคนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งความคิดและการกระทำ อ่านหนังสือมากขึ้น คิดวิเคราะห์มากขึ้น หาบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมาเป็นแบบอย่างแล้วมาประยุกต์ใช้ในชีวิต บทความนี้เขียนเพื่ออะไร...เพื่อจะบอกกับทุกคนที่อ่านบทความนี้ผ่านตาว่า จะเลือกทำงานอะไร ออกแบบให้ชีวิตเรานั้นมีที่ว่าง มีจุดพลิกตัวเพื่อมองหาโอกาสใหม่ๆ ให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้บางสิ่งเพิ่มเติมมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพราะคนส่วนมากเมื่อไปทำงานประจำ มักจะถูกสิ่งแวดล้อมกลืนกิน ในด้านการพัฒนาตนเอง(จะเก่งขึ้นไปทำไมเดี๋ยวงานแม่งงอก เหนื่อยกว่าเดิมแต่เงินเดือนเท่าเดิม กูอยู่นิ่งๆของกูหน่ะดีแล้ว) กลืนกินในด้านชีวิตที่เราอยากให้เป็น(เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว รถยุโรปที่อยากได้ไม่เป็นไรเอาแค่รถญี่ปุ่นมือสองก็พอ ขับได้เหมือนกัน บ้านหลังใหญ่แม่งแพงไปหว่ะ กูอยู่ห้องเช่าก็พอแล้ว ส่วนพ่อกับแม่ตอนแก่ก็ให้อยู่กับพี่ชายละกันเค้ารวยกว่าเรา) เห็นไหมครับคนส่วนใหญ่มักจะคิดออกมาในแนวๆนี้ มีเงินเดือนใช้ไปวันๆตามที่ต้องการในตอนแรกก็พอแล้ว....[เมื่อเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีบรรยากาศเป็นแบบไหนเราก็จะเป็นคนแบบนั้น]
แล้วจะต้องทำยังไงหล่ะ?....แค่เลือกรูปแบบงานที่ตัวเองพึงพอใจ ไม่บีบรัดตนเอง ประมาณรายได้ที่พอดีและไม่สร้างหนี้ที่ไม่จำเป็นและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เปลี่ยนแปลงตนเองทั้งความคิดและทัศนคติโดยเร็วที่สุด นำความรู้เก่าที่ได้เคยเรียนมานำมาประยุกต์และพลิกแพลงใช้กับอาชีพปัจจุบันที่ทำอยู่...ทำได้ด้วยเหรอ?....แล้วเพื่ออะไรหล่ะ?....เพื่อให้สนุกกับงานที่ทำมากขึ้น มองในมุมที่แปลกแตกต่างออกไป อาจจะเกิดแนวทางใหม่ในธุรกิจเกิดเป็นmodel ต้นแบบให้บุคคลอื่นนำไปใช้หรือต่อยอดได้..คุณว่าเจ๋งไหมหล่ะ?
สุดท้ายนี้ผมขอยกตัวอย่างบุคคลอีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จสามารถออกแบบชีวิตในแบบของเค้า แล้วร่ำรวยจากการกล้าที่จะเปลี่ยน.....
ผู้ชายคนหนึ่งเรียนโรงเรียนการแพทย์ เขาฝันอยากเป็นศัลยแพทย์ แต่หลังจากไปเป็นทหาร เป็นแพทย์สนาม เขากลับพบว่ามันไม่ใช่ตัวเขา
เขาน่าจะเป็นช่างภาพ แต่เมื่อลองเป็นช่างภาพดู เขากลับพบว่าเขาเก่งไม่พอที่จะทำมันให้เป็นอาชีพ ในเวลาต่อมาเขากลายเป็นพนักงานในห้างสรรพสินค้า มีหน้าที่จัดตู้โชว์หุ่นแสดงเสื้อผ้าผู้ชายให้ออกมาดูดี เขาเริ่มพบว่า เออ! นี่แหละตัวฉัน เขาได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว กลายเป็นฝ่ายจัดซื้อเสื้อผ้า
กลายเป็นดีไซเนอร์ และกลายเป็นเจ้าของธุรกิจเสื้อผ้าในที่สุด
เขาชื่อ “จิออร์จิโอ อาร์มานี่” คุณรู้จักเขาใช่มั้ยครับ?
ทัตเทพ เขียวสำราญ
Mass Coordinator
โฆษณา