8 เม.ย. 2019 เวลา 05:16 • ธุรกิจ
มองบิทคอยน์ด้วยแว่นของเศรษฐศาสตร์แบบบ้านๆ
ออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เก่งเรื่องเศรษฐศาสตร์ก็พอรู้บ้างแบบพื้นฐานเหมือนกับคุณผู้อ่านหลายๆคนนั้นแหละครับ
จำนวนจำกัด
เราเคยได้ยินคำว่า ลิมิเต็ด (limited) กันไหมครับ?
ผมว่าคงไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำนี้นะครับ มันเป็นคำที่มีพลังมหาศาลในการโฆษณาสินค้าต่างๆ เพียงแค่ได้ยินก็ทำให้รู้สึกว่าสินค้านั้นๆมันทีค่าขึ้นมาทันทีเลย หลายๆคนเสียหายไปกับคำว่า ลิมิเต็ด กันมาเท่าไหร่แล้ว ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันครับ อะไรที่ลิมิเต็ดชอบที่จะซื้อมาเก็บไว้ บางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะซื้อมาทำไม
หนังสือบางเรื่องผลิตมาแบบพิเศษปกแข็งมีเพียง 1,000 เล่มเท่านั้น
สินค้าชิ้นนี้ผลิตมาขายแค่ 10,000 ชิ้นเท่านั้น
สินค้ารุ่นนี้ limited edition
ของเก่าหลายๆอย่างกลับมีค่าอย่างมาก ก็เพราะมันไม่ผลิตใหม่แล้ว มีจำนวนจำกัด ของเก่าบางอย่างก็อาจมีเพียงแค่ชิ้นเดียวในโลก คนที่ได้ครอบครองมันไว้ นอกจากจะรู้สึกมีค่าทางจิตใจแล้ว เขาอาจไม่อยากขายมันอีกเลยก็ได้ ไม่ว่าราคาซื้อมันจะสูงเท่าไหร่ก็ตาม
ค่าทางจิตใจบางทีก็มีค่ากว่าตัวเงิน
เรื่องราว
นอกจากคำว่าจำนวนจำกัดแล้ว มูลค่าของบางอย่างก็ยังขึ้นอยู่กับสตอรี่เรื่องราวความเป็นมาของมันด้วย ผมว่าเรื่องราวเป็นอะไรที่ค่อนข้างมีเสน่ห์อย่างมาก มันเหมือนเป็นพื้นฐานของบางสิ่งบางอย่างเลยก็ว่าได้
แบรนด์ที่มีเรื่องราวผู้คนมักจะหลงรักแบรนด์นั้นๆด้วยเรื่องราวของมัน ดังเช่น apple ของบางอย่างอาจผลิตมาขายเยอะ ทว่ามันกลับมีค่ามากก็ด้วยเรื่องราวบางอย่างของสิ้นค้านั้นๆ
ถ้าจะให้เห็นภาพชัดๆ ทั้งในเรื่องของ จำนวนจำกัดและเรื่องราวผมว่าพระเครื่อง น่าจะเห็นภาพชัดเจนที่สุด
ทำไมพระเครื่องบางรุ่น บางกรุ ถึงได้มีราคาแพง?
เพราะพระเครื่องบางรุ่น บางกรุ ผลิตมาน้อยมากๆ ยิ่งบวกกับเรื่องราวความเป็นมาของพระเครื่องนั้นๆ กระบวนการสร้าง การพิมพ์ที่ยากกว่าปกติ รวมถึงสรรพคุณความขลังต่างๆด้วยแล้ว ราคาเช่าแน่นอนว่า ถ้าคิดจากทุนของพระเครื่องเทียบกับราคาตลาด ก็กำไรกันหลายพันเท่าตัว นี่จึงทำให้พระเครื่องบางรุ่น บางกรุ มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อหรือเช่ามาไว้ครอบครองมิได้
bitcoin
ในวันที่ผมรู้จักบิทคอยน์ครั้งแรกราวๆปี 2559 ก็เฉยๆนะครับ ยังไม่รู้สึกว่าอยากจะลงทุนอะไรมากนัก เพราะขณะนั้นผมยังยึดติดกับงบการเงิน ติดบ่วงกับคำว่า VI (Value Investor) การลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า ก่อนจะลงทุนก็ต้องประเมินมูลค่าที่แท้จริงของมันก่อน อะไรทำนองนั้น แต่พอผมลองไม่ยึดติดกับงบการเงิน ไม่ยึดติดกับการลงทุนในแบบเดิมๆ แล้วก็มาหาข้อมูลของบิทคอยน์ดู จึงพบความน่าสนใจของมันในเชิงเศรษฐศาสตร์ นั่นก็คือ จำนวนจำกัด และเรื่องราว
ราคาของบิทคอยน์ตอนที่ผมรู้จักใหม่ๆนั้น ราวๆ หมื่นต้นๆ ต่อ 1bitcoin ตอนนั้นผมรู้สึกและคิดว่า เหรียญบ้าอะไรเนี่ย ราคาเป็นหมื่น ใครซื้อก็บ้าแล้ว นั่นคือความคิดผมตอนยังไม่รู้จักมันดีพอครับ หลังจากที่ผมลองทำความรู้จักและเข้าใจมันเบื้องต้นแล้ว ทว่ามันติดปัญหาตรงที่ไม่มีงบการเงิน เราจะประเมินมูลค่าที่แท้จริงของมันได้ยังไงล่ะ ผมคิดว่าในเมื่อมันมิใช่หุ้น เราก็ควรไม่ยึดติดงบการเงิน ผมจึงใช้หลักเศรษฐศาสตร์แบบบ้านๆเข้ามาวิเคราะห์แทน
แนวคิดการลงทุน
21,000,000btc คือ จำนวนจำกัดของมันที่ไม่สามารถสร้างเพิ่มหรือสร้างใหม่ได้อีกแล้ว ก่อนจะลงทุนผมคิดง่ายๆเลยครับว่า คนทั้งโลกมีราวๆ 7,000 กว่าล้านคน ถ้าในอนาคตบิทคอยน์เป็นที่นิยมหรือเป็นที่รู้จักของคนทั้งโลกล่ะ ไม่ต้องทั้งโลกก็ได้ เอาแค่ครึ่งโลกก็พอ มันก็จะเข้าหลักเศรษฐศาสตร์ ในเรื่องของ อุปสงค์ (demand) อุปทาน (supply)
21,000,000btc กับความต้องการซื้อมาเก็บไว้ของคน 3,500 ล้านคน ราคาของบิทคอยน์มันจะอยู่ที่ไหร่ ผมนึกและประเมินราคาอนาคตของมันไม่ออกเลย ความรู้สึกว่ามันแพงจึงหายไปทันที ราคาหมื่นต้นๆ ณ เวลานั้นผมรู้สึกว่า มันถูกมากๆเลย จึงตัดสินใจลงทุนกับบิทคอยน์ไว้
อาจจะมีบางคนแย้งว่ามันเสี่ยง ถูกต้องครับ มันเสี่ยงมาก
แต่ผมคิดว่าขึ้นชื่อว่า การลงทุน มันก็ย่อมเสี่ยงอยู่แล้ว เสี่ยงมากเสี่ยงน้อย ก็คือเสี่ยงเหมือนกัน
มันอยู่ที่เราว่าชอบเสี่ยงไหม ชอบความเสี่ยงแค่ไหน
พร้อมที่จะสูญเสียไหม พร้อมจะสูญเสียแค่ไหน
ชอบการลงทุนไหม ชอบการลงทุนแค่ไหน
ในส่วนของเรื่องราว story นั่นก็คือ
Satoshi Nakamoto นี่แหละ ที่บอกว่าคือ ผู้สร้างบิทคอยน์ขึ้นมา ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่าเขาคือใคร เขาเป็นใคร มาจากไหน เป็นคนคนเดียวหรือเป็นทีมกันแน่ ตรงนี้ผมมองว่ามันคือเสน่ห์แฝงมนขลังของเรื่องราว
ถ้าเรารู้ตัวตนของคนสร้างมันขึ้นมา สมมุติว่าถ้าเขามีข่าวอื้อฉาว ข่าวไม่ดี หรือคนส่วนใหญ่ไม่ชอบ ก็อาจส่งผลต่อราคาบิทคอยน์ ความน่าเชื่อถือ ของมันลงไปอย่างมากเลยก็ได้ มันมีความน่าค้นหาและปริศนาของผู้สร้าง นี่แหละคือเสน่ห์ของมัน
ในเมื่อมันไม่มีงบการเงิน ผมจึงมองว่า การที่มันมีจำนวนจำกัด มีเรื่องราว มีเทคโนโลยีที่ชื่อว่า บล็อกเชน นี่แหละคือ พื้นฐาน
กูรูอาจจะบอกว่า แต่มันไม่มีอะไรค้ำประกัน ไม่มีอะไรแบคอัพ
ถ้าคิดแบบเดิมๆ ก็ตอบว่า ใช่ มันไม่มีอะไรค้ำประกันในแบบความคิดเดิมๆไง
ถ้ามองในมุมของเทคโนโลยี ไม่ยึดติดกับความคิดแบบเดิมๆ มันต้องมีอะไรค้ำประกันในแบบเดิมๆด้วยรึ?
ีติดตามช่องทางอื่นๆ
โฆษณา